กระท่อม (พืช)
กระท่อม[2] หรือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mitragyna speciosa Korth.[3] เป็นพืชในวงศ์กาแฟ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ทางภาคใต้เรียก ใบท่อม (thom) ภาคกลางเรียก อีถ่าง มาเลย์เรียก เบี๊ยะ (biak) หรือ เคอตุ่ม (ketum) หรือ เซบัท (sepat) เป็นพืชท้องถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า และ ปาปัวนิวกินี[4] ที่ซึ่งปรากฏการใช้งานกระท่อมในฐานะยาสมุนไพรมาตั้งแต่อย่างน้อยคริสต์ศตวรรษที่ 19[5] กระท่อมมีคุณสมบัติโอปีออยด์ และมีผลคล้ายสารกระตุ้นบางส่วน[6][7] ข้อมูลจาก ปี 2018 ระบุว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกระท่อมยังคงไม่สามารถสรุปได้ และยังคงไม่ได้รับการอนุมัติเป็นยารักษาโรคเนื่องจากงานวิจัยเกี่ยวกับกระท่อมจำนวนมากขาดคุณภาพ[8][9] ใน ค.ศ. 2019 องค์การอาหารและยาสหรัฐบันทึกไว้ว่า ไม่มีหลักฐานที่ว่ากระท่อมปลอดภัยหรือมีผลต่อการรักษาทุกแบบ[10] อย่างไรก็ตาม ปรากฏผู้คนบางส่วนใช้กระท่อมเพื่อบรรเทาอาการปวดเรื้อรัง, อาการถอนฝิ่น รวมไปถึงการใช้ในเชิงนันทนาการ[4][8] เวลาแสดงผลของกระท่อมอยู่ที่ประมาณ 5-10 นาที และจะคงอยู่ไปถึง 2-5 ชั่วโมง[4] ลักษณะทางพฤกษศาสตร์กระท่อม (kratom)[11] เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นสีเทา ลำต้นของกระท่อมมีลักษณะตรง แตกกิ่งก้านน้อย ลักษณะเป็นใบเดี่ยว เรียงเป็นคู่ตรงกันข้าม ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบป้าน ขอบใบเรียบ แต่บางชนิดอาจมีปลายใบเป็นหยัก เรียก ชนิดหางก้ัง หรือ ยักษ์ใหญ่ ผิวใบเรียบลื่น แผ่นใบบาง ด้านท้องใบมีเส้นใบเป็นสันเห็นได้ชัดเจน มีเส้นแขนงใบ ข้างละประมาณ 10-15 เส้น ขนาดใบแตกต่างกันในแต่ละพื้นถิ่น ใบเพสลาดกว้าง 10-16 เซนติเมตร ก้านใบยาว 3-5 เซนติเมตร ยอดอ่อนเห็นหูใบรูปใบหอกอยู่ตรงกลางระหว่างกันใบอ่อนท้งสองข้าง จำนวน 1 คู่ เส้นบริเวณท้องใบเป็นสัน ดอกเป็นช่อกระจุกแน่นทรงกลม ออกจากปลายกิ่งประมาณ 1-3 ช่อ ก้านช่อดอกยาว 7-12 เซนติเมตร แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 70-80 ดอก ดอกเมื่อแรกบานมีสีขาวนวลแล้วเปลี่ยนเป็น สีเหลือง เป็นชนิดดอกแบบสมบูรณ์เพศ ลักษณะผลกลุ่มอัดแน่นเป็นรูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 เซนติเมตร ภายในผลย่อยมีเมล็ดประมาณ 140-160 เมล็ด และมีปีกบาง ๆ สามารถปลิวไปได้ไกล[12] การขยายพันธุ์พืชกระท่อมใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ เมล็ดที่มีปีกบาง จะสามารถปลิวไปได้ไกลตามแรงลม และสามารถแขวนลอยไปกับน้ำได้ง่าย จึงสามารถพบต้นกระท่อมได้ตามริมลำธารโดยเฉพาะดินชื้นแฉะ เนื่องจากพืชกระท่อมจัดเป็นพืชเสพติดให้โทษ จึงไม่มีการศึกษาวิธีการขยายพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปก็เพาะต้นกล้าจากเมล็ด จนได้ต้นกล้าสูง 15-20 เซนติเมตร ย้ายไปปลูกในพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นเหมาะสม นอกจากนั้นอาจใช้วิธีการติดตา ทาบกิ่งกับต้นตอที่มี ความแข็งแรง รวมไปถึงการติดตากับต้นกระท่อมขี้หมูที่โตไวกว่า มีรายงานวิจัยของประเทศมาเลเซีย[13] เรื่อง การขยายพันธุ์พืชกระท่อมโดยวิธีการปักชำ โดยใช้ต้นกล้าอายุ 2 ปี จากนั้นตัดกิ่งที่มีตาข้าง (ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 8) ปักในกระบะดิน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเร่งราก สภาวะเลี้ยงคือ ที่อุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ไม่ต่ำกว่า 80% การกระจายพันธุ์พบที่บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนคาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และนิวกีนี โดยในประเทศไทยพบทางภาคใต้ มักขึ้นตามป่าดิบชื้นระดับต่ำหรือป่าพรุความสูงระดับต่ำๆ [14] ประเภทของกระท่อมสามารถจำแนกออกตามประเภทของสีของเส้นใบ (Vein) ซึ่งแตกต่างกัน ได้หลักๆดังนี้ 1. กระท่อมขาว (White Vein Kratom) เป็นกระท่อมท่ผลิตจากใบที่มีอายุอ่อนลักษณะเส้นใบจะมีสีขาวได้รับความนิยมมากในตลาดของสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าสามารถช่วยเพิ่มกำลังและช่วยทำให้มีอารมณ์ดีคลายเครียด โดยมีประเภทแยกย่อยออกไปตามแหล่งเพาะปลูกอีก เช่น กระท่อมขาวไทย (White Thai Kratom) กระท่อมขาว สุมาตรา (White Sumatra Kratom) และกระท่อมขาวอินโด (White Vein Indo) เป็นต้น 2. กระท่อมเขียว (Green Vein Kratom) เป็นกระท่อมที่ผลิตจากใบที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ลักษณะเส้นใบจะมีสีเขียวมีฤทธิ์คล้ายกับกระท่อมขาวแต่อ่อนกว่า เชื่อว่าช่วยเพิ่มกำลังและทำให้มีความกล้ามาก ขึ้นเหมาะสำหรับคนที่ขี้อายไม่กล้าเข้าสังคม อีกทั้งยังเชื่อว่าสามารถช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยให้มีอารณ์ดีด้วย โดยมีประเภทแยกย่อยอีก เช่น กระท่อมเขียวมาเลเชียน (Malaysian Green) และ กระท่อมเขียวปอนเตียนาค (Pontianak Green Horn) ชื่อเมืองในประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น 3. กระท่อมแดง (Red Vein Kratom) เป็นกระท่อมที่ผลิตจากใบแก่ลักษณะเส้นใบจะมีสีแดงอุดมไปด้วยสาร Mitragynine ทำให้มีประสิทธ์ภาพในการออกฤทธ์ดีจึงถือว่าเป็นประเภทกระท่อมท่มีคุณภาพดีที่สุดจึง ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด เชื่อว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับสามารถผ่อนคลายร่างกายและ อารมณ์ และช่วยลดความเครียดได้ โดยมีประเภทแยกย่อยอีกหลายชนิด เช่น กระท่อมแดงไทย (Red Thai) กระท่อมแดงสุมาตรา (Red Sumatra) กระท่อมแดงปอนเตียนาค (Pontianak Red Horn) และชนิดอื่น ๆ และสามารถจำแนกออกเป็นประเภทอื่นๆเพิ่มเติม ได้ดังนี้ 4. กระท่อมแมงดา (Maeng Da Kratom) เป็นกระท่อมสายพันธุ์ที่เพาะปลูกได้ในประเทศไทย โดยได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ด้วยเทคนิคการทาบกิ่งจนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่และกระจายแหล่งเพาะปลูกไปยัง อินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยกระท่อมแมงดาเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคมาก เนื่องจากเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้าและอาการทางจิตช่วยให้อารมณ์คงที่ อีกท้งยังช่วยเพิ่มกำลังด้วย 5. กระท่อมเบนทูแอนจี (Bentuangie Kratom) โดย Bentuangie หมายถึง “Tropical Blend” กระท่อมประเภทนี้จะผลิตจากใบกระท่อมแห้งและใบกระท่อมหมัก ซึ่งทำให้เกิดเป็นสีน้ำตาลเข้มมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แม้ว่ากระท่อมประเภทน้จะเพิ่งเข้าตลาดได้ไม่นาน แต่ก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เช่อว่า สามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยผ่อนคลาย ช่วยในการนอนหลับ และช่วยทำให้อารมณ์ดี อีกทั้ง ยังเชื่อว่าออกฤทธ์นานกว่ากระท่อมประเภทอื่นด้วย 6. กระท่อมเหลือง (Yellow Vein Kratom) เป็นกระท่อมประเภทสีขาวที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตพิเศษจนทำให้เกิดเป็นสีเหลืองแม้ว่าจะไม่เป็นที่นิยมในตลาดมากนัก แต่เชื่อว่าสามารถช่วยเพิ่มกำลัง ช่วยลดอาการ วิตกกังวล และช่วยเพิ่มสมาธิได้ อีกท้งยังเชื่อว่าสามารถออกฤทธิ์ได้นานกว่ากระท่อมขาวด้วย พฤกษเคมีของพืชกระท่อมสารเสพติดที่พบในใบกระท่อม[15] คือ ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกับยาเสพติดกลุ่มเดียวกัน เช่น psilocybin LSD และ ยาบ้า ใบ1. กลุ่มสาร: แอลคาลอยด์ ajmalicine; akuammigine; angustine; corynantheidine; corynantheidaline; corynantheidalinic acid; corynoxeine; corynoxine; corynoxine B; hirsutine; hirsuteine; isocorynoxeine; isomitraphylline; isomitrafoline; isospeciofoline; isorhynchophylline; isocorynantheidine; javaphylline; mitraciliatine; mitrafoline; mitragynalinic acid;mitragynine oxindole mitrajavine; mitraphylline; mitrasulgynine; mitragynaline; mitragynine; mitralactonal; paynantheine; speciociliatine; speciofoline; speciogynine; -3isoajmalicine; -3,4,5,6tetradehydromitragynine; 7a-hydroxy7-H-mitragynine; -3dehydro-mitragynine[16][17][18] 2. กลุ่มสาร: ฟลาโวนอยด์ apigenin; apigenin-7-O- rhamnoglucoside; astragalin; cosmosiin; hyperoside; kaempferol; quercetin; quercitrin; quercetin-3-galactoside-7-rhamnoside; rutin; (-)-epicatechin[19][20][21][22][23] 3. กลุ่มสาร: เฟนิลโพรพานอยด์ caffeic acid; chlorogenic acid 4. กลุ่มสาร: ลิกแนน (+)-pinoresinol 5. กลุ่มสาร: ไตรเทอร์ปีนอยด์ ursolic acid; oleanolic acid เปลือกต้นกลุ่มสาร: แอลคาลอยด์ ciliaphylline; isomitraphylline; isorhynchophylline; isospecionoxeine; javaphylline; mitraciliatine;[24] mitragynine oxindole A; mitragynine oxindole B; mitraphylline; rhynchociline; rhynchophylline; speciogynine; speciociliatine; specionoxeine[25] เปลือกรากกลุ่มสาร: แอลคาลอยด์ ciliaphylline; corynoxeine; isocorynoxeine; isomitraphylline; isorhynchophylline; isospecionoxeine; mitraciliatine; mitraphylline; rhynchociline; rhynchophylline; speciociliatine; speciogynine; specionoxeine[26] พิษวิทยาของพืชกระท่อมความเป็นพิษต่อเซลล์ของสารสกัดแอลคาลอยด์จากพืชกระท่อมและไมทราไจนีน พบว่าสารสกัดแอลคาลอยด์จากพืชกระท่อมมีความเป็นพิษต่อเซลลเ์พาะเลี้ยงชนิด HepG2 , HEK293 , MCL-5, cHol และ SH-SY5Y แบบขึ้นกับความเข้มข้น (dose-dependent manner) และที่ความเข้มข้น 1,000 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ทำให้เซลล์ตายท้ังหมด ส่วนการศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดพืชกระท่อมต่อสัตว์ทดลองแบบเฉียบพลันมีรายงานว่าค่า LD50 (Lethal Dose 50%) ซึ่งหมายถึง ปริมาณของสารเคมีที่ให้กับสัตว์ทดลองท้ังหมดเพียงคร้ังเดียว แล้วทำให้กลุ่มของสัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 (ครึ่งหนึ่ง) ของสารสกัดแอลคาลอยด์จากพืชกระท่อมมีค่าเท่ากับ 173.20 ถึง 591 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[27] ส่วนไมทราไจนีนมีค่า LD50 เท่ากับ 477 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[28] ส่วนสารสกัดน้ำพืชกระท่อม มีค่า LD50 มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[29] ซึ่งถือว่าสารสกัดน้ำพืชกระท่อมมีความเป็นพิษน้อย การศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์มีรายงานฉบับแรกของ Grewal และคณะ[30] โดยให้ อาสาสมัครจำนวน 5 ราย ดื่มสารละลายไมทราไจนีน ในน้ำท่ีมีปริมาณไมทราไจนีนอะซิเตรด (mitragynine acetate) เท่ากับ 50 มิลลิกรัมในอาสาสมัคร 4 ราย และผงใบกระท่อมน้ำหนัก 1.3 กรัมในอาสาสมัคร 1 ราย พบว่า อาสาสมัครทุกรายมีอาการ cocaine-like effects ได้แก่ มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มมีความสุข หัวใจเต้นเร็ว เบื่ออาหาร และนอนไม่หลับ เป็นต้น บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มือส่ันเล็กน้อย และ หน้าแดง การศึกษาของ Singh และคณะ[31] ได้ทำการศึกษาความเป็นพิษของพืชกระท่อมต่อค่าพารามิเตอร์ทางห้องปฏิบัติการทางโลหิตวิทยาและเคมีคลินิกของเลือด (hematological and clinical-chemistry parameters) ในผู้ใช้พืชกระท่อมจำนวน 55 รายเทียบกับอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรงจำนวน 19 ราย พบว่าค่าพารามิเตอร์หรือผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการของผู้ใช้พืชกระท่อมส่วนใหญ่ มีค่าไม่แตกต่างจากอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง มีเพียงค่าฮีโมโกบิน จำนวนเม็ดเลือดขาว ปริมาณแคลเซียม คลอเลสเตอรอลชนิด HDL (high density lipoprotein) ที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง ส่วนค่าพารามิเตอร์อื่นๆ ที่เป็นผลตรวจจากห้องปฏิบัติการอยู่ในช่วงค่าปกติ รวมถึงผู้ใช้ใบพืชกระท่อมมาเป็นเวลานานมากกว่า 5 ปีและได้รับไมทราไจนีนในปริมาณ 76.3-114.8 มิลลิกรัมต่อวันท่ีเข้าร่วมการศึกษาดังกล่าว การใช้ประโยชน์สรรพคุณของต้นกระท่อม[32]1. ช่วยบำรุงกำลังเพิ่มพลังให้ทำงานได้นานขึ้น สรรพคุณแรกที่อยากแนะนำ คือ ความสามารถในการช่วยบำรุงกำลังเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย จึงมีผลทำให้การทำงานยาวนานขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ทนแดดทนลม กล้ามเนื้ออึดขึ้น ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่เป็นอยู่ได้ดี แต่กระนั้นต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย 2. รักษาอาการลำไส้ติดเชื้อ ลำไส้ติดเชื้อ หรือท้องเสีย ท้องร่วง ถ่ายเหลว เราสามารถนำต้นกระท่อมไปต้มเพื่อดื่มกินได้ หรือจะเคี้ยวใบ ชงกับน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่มีปัญหา เมื่อดื่มไปแล้วตัวสรรพคุณที่มีในใบ หรือลำต้นก็จะไปช่วยยับยั้งเชื้อในลำไส้ไม่ทำให้เกิดอาการกำเริบอีก 3. ช่วยลดอาการปวดที่มีผลดีกว่ามอร์ฟีน กระท่อมมีสารชื่อว่า “ไมทราไจนีน” อันถือเป็นสารที่มีความสำคัญมาก ในไทยพบสูงถึง 66% มีส่วนช่วยกดประสาทส่วนกลาง เพราะมีสารจำนวนอัลคอลอยด์ผสมอยู่ด้วย จึงระงับอาการปวดต่าง ๆ โดยเฉพาะที่มีความรุนแรงได้ดี รู้สึกง่วงซึม กระตุ้นให้เกิดความเคลิ้มอย่างมีความสุข ผลจากการศึกษาสารนี้ในใบกระท่อม พบว่ามีส่วนช่วยลดอาการเจ็บปวดที่รุนแรงมากกว่ามอร์ฟีน 13 เท่า ทั้งยังช่วยบำบัดผู้ที่เสพติดมอร์ฟีนในบางคนได้ดีอีกด้วย 4. ลดอาการขาดยาจากสารเสพติด สารเสพติดอย่าง เฮโรอีน, ฝิ่น, มอร์ฟีน เมื่อใครต้องการบำบัดให้หายขาดสามารถเลือกใช้ต้นกระท่อมช่วยได้ แต่ต้องมีการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงระยะเวลาไม่นานมากเกินไป กระท่อมจะให้ผลข้างเคียงในการบำบัดที่น้อยกว่าสารตัวอื่น ๆ 5. ช่วยแก้อาการปวดฟัน โดยทั่วไปแล้วเราสามารถต้มน้ำกระท่อมโดยใช้ส่วนใบเด็ด ล้างให้สะอาดแล้วให้นำมาต้มดื่มกินเป็นน้ำสมุนไพรตามตำราแผนโบราณบอกว่าฤทธิ์ที่มีจะช่วยให้อาการปวดฟันต่าง ๆ ทุเลาลงได้ แต่กระนั้นปัจจุบันไม่ค่อยได้ทำกันแล้วเพราะมีเป็นยาเม็ดแก้ปวดแทน 6. ช่วยลดความดันโลหิตสูง อย่างที่ทราบว่ากระท่อมมีสารที่ชื่อไมทราไจนีน นอกจากจะช่วยระงับความเจ็บปวดของร่างกายได้ดีกว่ามอร์ฟีน ก็ยังมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดได้ด้วย ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดความดันโลหิต ซึ่งตามตำรับยาแผนโบราณแล้วมีผลวิจัยว่าช่วยปัญหาความดันเลือดสูงจริง 7. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน กระท่อมเป็นพืชที่สามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเอาใบมาเคี้ยวแล้วคายกากออก หรือต้มดื่มกินในชีวิตประจำวันก็ได้หมด ช่วยในการดูดกลับของน้ำตาลกลูโคส ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอินซูลินในร่างกายของผู้ป่วยอีกต่างหาก 8. ช่วยรักษาแผลในปาก แก้ไอ สุดท้ายสำหรับสรรพคุณของต้นกระท่อมนอกจากเรื่องต่าง ๆ ข้างต้นยังสามารถใช้รักษาอาการแผลในปาก ไม่ว่าจะเกิดจากการกัดปากตัวเอง ร้อนในที่เกิดขึ้น รวมถึงอาการไอ ก็แก้ได้เช่นกัน ซึ่งฤทธิ์ที่มีจะช่วยสมานแผล ห้ามเลือด ที่สำคัญช่วยถอนพิษจากสัตว์ร้ายได้ด้วย 9. การลดอาการปวดเบ่งก่อนคลอด หมอพื้นบ้านบางท่านที่เคยมีประสบการณ์ใน การทำคลอด เคยต้มใบกระท่อมให้ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูกกิน เพราะก่อนคลอดจะมีอาการปวดเบ่ง เมื่อได้กินน้ำต้มกระท่อมจะช่วยลดอาการปวดลง แต่หมอพื้นบ้านบางท่านบอกว่าอันตราย คนจะคลอดลูกให้กินใบกระท่อมไม่ได้ เลือดมันจะแรงขึ้น เพราะรสเมาของกระท่อมเข้าไปกระตุ้น อันตรายมาก ใบกระท่อมเป็นตัวกระตุ้น จึงห้ามใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือใช้ลดอาการปวดเบ่ง ทั้งนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในประเด็นนี้ 10. ช่วยรักษาโรคตานซาง มักเกิดในเด็กช่วงอายุประมาณ 1-5 ปี เป็นตุ่มพุพอง น้ำเหลืองย้อย เด็กมีอาการไข้ ตำารับยาที่ใช้ได้แก่ เปลือกกระท่อม โดยคนโบราณนิยมใช้เปลือก เพราะเปลือกกระท่อมขมน้อยกว่าใบ มีรสฝาด ข้าวเย็นเหนือ ตาลน้ำนม ตาลดำ ตาลเสี้ยน ตาลมอญ ตาลลูกอ่อน แต่ละอย่างใช้ปริมาณเท่า ๆ กัน อย่างละ 1 กำ แล้วนำไปต้ม เอาให้เด็กกินประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วดูอาการของเด็ก กินจนกว่าแผลที่พุพองจะแห้ง น้ำเหลืองแห้ง กินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาย 11. ช่วยรักษาอาการไอเรื้อรัง คนไข้ที่มีอาการไอบางคนกินกระท่อมซีกเดียวก็หายบางคนใช้ 2-3 ใบ ห่อน้ำตาลทรายแดงแล้วกิน ส่วนคนที่ไอเรื้อรังหมอพื้นบ้านใช้ใบกระท่อมต้มกับอ้อยแดง อ้อยแดงสับเป็นท่อน แทนน้ำตาลทรายแดง แล้วต้มกับใบกระท่อม “อาการไอเรื้อรัง คือไอเกิน 15 วัน ไปซื้อยาที่ตลาดกินเท่าไรก็ไม่หาย กินกระท่อมต้มกับอ้อยแดงหม้อเดียวหายเลย หม้อดินเล็ก ๆ ประมาณ 1 ลิตร ก็ให้เขาจิบกิน เพราะอ้อยแดงทำให้ ชุ่มคอ บำรุงกำลังไม่ให้เพลีย ไม่ให้เจ็บอก ใส่กระท่อมก้านแดง ถ้าใบใหญ่ 8 ใบ ถ้าใบเล็ก 12 ใบ มีเคล็ดอยู่ว่าถ้ารักษาคนให้ใส่เกิน 7 จะหาย ถ้าไม่เกิน 7 ยังเจ็บอยู่ ไม่หาย ใบกระท่อมใช้ใบค่อนข้างแก่ เลยจากเพสลาด (ครึ่งอ่อนครึ่งแก่) ใช้อ้อยปริมาณ 3 ขีด น้ำ 1 ลิตร ต้มให้เหลือครึ่งลิตร ก็ใช้ได้ ใส่ขวดลิโพให้คนไข้ไปไว้จิบแก้ไอ ถ้าอาการไอเรื้อรังยังไม่หายต้องทำสูตรใหม่ และต้องดูว่าเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ ก็จะใช้กะเพราด้วยเพื่อเสริมฤทธิ ปริมาณของกระท่อมและอ้อยแดงเท่าเดิม และเพิ่มกะเพรา กะเพราหักเป็นก้านแล้วนำไปตากแดดให้หมาด ตากน้ำค้าง 1 คืน แล้วนำมาต้มกับกระท่อมและอ้อยแดง 12. เป็นยาสมุนไพร สำหรับสัตว์เลี้ยง เมื่อสัตว์เลี้ยงเช่น วัว ควาย และหมู ท้องเสีย เจ้าของจะเก็บใบกระท่อมมาผสมกับอาหารให้กิน ผสมให้กินประมาณ 2-3 มื้อ อาการก็ดีขึ้น ช่วยประหยัดเงินในการไปหาซื้อยามารักษา ประวัติศาสตร์การใช้ประโยชน์พืชกระท่อมกับการแพทย์แผนไทยมีการใช้พืชกระท่อมเป็นยารักษาโรค ตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน และตำรับยาแผนโบราณ ยกตัวอย่างเช่น 1. ยาประสะกระท่อม เอาเทียนทั้ง 5 ฝางเสน แก่นสน ครั่ง งาช้าง สักขี แก่นจันทน์ท้ง 2 ข่า ใบเทียน ใบทับทิม ใบชิงช้าชาลี เขากวาง ใบมะลิซ้อน ใบมะลิลา เอาสิ่งละ 1 สลึง กำลังวัวเถลิง ขิงแห้ง ขมิ้นชัน การะบูน เอาสิ่งละ 1 เฟื้อง ขมิ้นอ้อย 1 สลึงเฟื้อง กระทือ 2 สลึง ไพลหมกไฟ 1 บาท ใบกระท่อมเท่ายาทั้งหลาย บดปั้นแท่งด้วยสุรา แก้ปวดมวน ละลายน้ำกานพลูต้มกิน ยานี้แก้โรคธาตุพิการ (อย่างแรง)[33] 2. ยาทำให้อดฝิ่น เอาขี้ยา 2 สลึง เถาวัลย์เปรียงพอประมาณ กัญ(น)ชาครึ่งกำ ใบกระท่อมเอาให้มากกว่ายาอย่างอื่น ต้มกิน ให้กินตามเวลาที่เคยสูบฝิ่น เมื่อกินไป 1 ถ้วย ให้เติมน้ำ 1 ถ้วย ให้ทำดังนี้ จนกว่ายาจะจืด เมื่อกินจนน้ำจืดแล้วยังไม่หาย ให้ต้มกินหม้อใหม่ต่อไป[34] 3. ยาหนุมานจองถนนปิดมหาสมุทร เบญกานี ผลกล้วยตีบ ใบกระท่อม ใบกระพังโหม ใบทับทิม ลูกทับทิมอ่อน ใบสะแก ชันย้อย ดินกิน กระเทียมกรอบ บดละลายน้ำเปลือกต้นคาง แก้ท้องร่วงอย่างแรง 4. ยาแก้บิดลงเป็นเลือด ใบกระท่อม ขมิ้นอ้อย ไพล เมล็ดผักกาด กระพังโหมท้ง 2 ตำใส่กระบอกไม้ไผ่สีสุก เอาสุราเป็นน้ำหลามแทรกฝิ่นกิน แก้บิด 5. ยาแก้บิดหัวลูก ใบพลู 3 ใบ ใบกระท่อม ใบไม้ท้งสองปิ้งให้เกรียม กระเทียมสุกบด แทรกฝิ่น ละลายน้ำปูนใส น้ำกระชายกิน แก้บิด 6. ยาประสะกาฬแดง รากช้าพลู สะค้าน รากเจตมูลเพลิงแดง ขิง ดีปลี หัวแห้วหมู ลูกมะตูมอ่อน ลูกจันทน์ กานพลู พริกไท โกฐท้งห้า เทียนท้งห้า เปลือกลูกทับทิม เอาสิ่งละ 1 บาท ลูกกระวาน 1 สลึง เบญกานี สีเสียดทั้งสอง ครั่ง หมากขี้ไก่ เปลือกลูกมังคุด เมล็ดตะบูน เปลือกขี้อ้าย เอาสิ่งละ 4 บาท บดปั้นแท่ง แก้ลงท้อง ละลายน้ำ เปลือกต้นแค ต้มกิน หรือละลายน้ำ เปลือกสะเดา เปลือกขี้อ้าย เทียนดำ ต้มกิน แก้บิดปวดมวน เอาเปลือกต้นไข่เน่า ใบกระท่อม บอระเพ็ด ขมิ้นอ้อย เทียนดำ ใบเสนียด เอาสิ่งละ 1 บาท ขี้ยาฝิ่น 2 สลึง ต้มเป็นน้ำกระสาย เวลาบด แทรกน้ำเนื้อไม้ต้มแทรกพิมเสนด้วย แก้บิด[35] 7. ยาเหลืองกระท่อม เอาเทียนท้ง 5 ฝางเสน 1 ครั่ง 1 เขากวาง 1 งาช้าง 1 แก่นใน 1 สักขี 1 จันทน์ทั้ง 2 ข่า 1 ใบเทียน 1 ใบทับทิม 1 ใบชิงชาชาลี 1 ใบมะลิท้ง 2 กำลังวัวเถลิง 1 ขิงแห้ง 1 ขมิ้นชัน 1 การบูร 1 เอาสิ่งละ 1 สลึง ขมิ้นอ้อย 1 สลึง 1 เฟื้อง กระทือ 1 สลึง 1 เฟื้อง ใบกระท่อม 7 บาท แก้บิดปวดมวนฯ[36] 8. ประมวลศิลาจารึกว่าด้วยริดสีดวง บิด เลือดเน่า ศิลาจารึกแผ่นที่ 28 คำอ่านจารึก สิทธิการิยะ ยาลงเลือด ฝาง 1 รากกล้วยตีบ 1 ฝิ่นต้น 1 ต้ม 3 เอา 1 กินหายแลฯ แก้บิดลงเลือด เบญจกะเม็ง 1 ตำเอาน้ำ 1 เอาลูกช้าพลู 1 ดีปลี 1 พริก 1 กะเทียม 1 เทียนดำ 1 ตำใส่น้ำกะเม็ง แล้วเผาสรรพคุณชุบเสกด้วยสักกัตวากินหายฯ ขนานหนึ่งใบกระท่อม 1 ขมิ้นอ้อย 1 ไพล 1 พรรผักกาด 1 กระพังโหมท้ง 2 ตำใส่กระบอกไม้หลามให้สุก เอาเหล้าเป็นกระสายแทรกฝิ่นกินหายฯ ถ้ามิฟังพริก 1 ขิง 1 กระเทียม 1 หอม 1 ไพล 1 ดินประสิวขาว 1 สารส้ม 1 กำมะถัน 1 หรดาล 1 ลูกจันทน์ 2 ดอกจันทน์ 2 ลูกกราย 1 ใบไม้เท้ายายม่อม 1 ขมิ้นอ้อย 1 กัญชาเท่ายาท้งหลายบดด้วยน้ำมะนาว น้ำมะงั่ว น้ำส้มสายชู แก้สรรพโรคบิด ออกฝีหัดกินหายฯ วัฒนธรรมการใช้พืชกระท่อมชาวบ้านในภาคใต้เคี้ยวใบกระท่อมมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยใช้เป็นตัวกระตุ้นเพื่อช่วยในการทำงานให้ทนนานมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำนา ทำสวน หรือประมง ,ใช้เป็นยารักษาโรค , ของขบเคี้ยวหรือของกินสำหรับต้อนรับแขกที่มาเยือน ตลอดจนใช้ในการสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง ซึ่งในอดีต ก่อนท่จะมีการปราบปรามการใช้พืชกระท่อมอย่างเข้มงวดและการโค่นทำลายต้นกระท่อม ในเขต ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ต้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตามร้านน้ำชาจะมีใบกระท่อมให้กินฟรี และในตลาดจะมีใบกระท่อมสดมัดวางขายเป็นประจำทั่วไป กระท่อมจึงเป็นพืชท่แสดงถึงบทบาทหน้าที่ทางสังคมวัฒนธรรมของท้องถิ่นภาคใต้ของประเทศไทยอย่างชัดเจน มูลค่าทางเศรษฐกิจตลาดสินค้ากระท่อมในสหรัฐฯ[37]กระท่อมเริ่มเป็นที่รู้จักในสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงยุค 90 ในกลุ่มธุรกิจร้านยาสูบ (Smoke Shop) แต่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยในปี 2016 คาดว่ามีจำนวนผู้ใช้กระท่อมทั่วสหรัฐฯ เพียงประมาณ 8,000 คนเท่านั้น โดยกระท่อมเริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกันมากขึ้น เนื่องจากกระแสการเปิดเสรีด้านการใช้กัญชาทางการแพทย์และ เพื่อการผ่อนคลายมากขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้บริโภคชาวอเมริกันบางส่วนเชื่อว่ากระท่อมออกฤทธิ์คล้ายสารเสพติด แต่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าสามารถช่วยลดความเครียด อาการนอนไม่หลับ อาการเจ็บปวด และช่วย ฟื้นฟูสภาพผู้ติดยาเสพติดประเภทอื่น อีกทั้งยังเป็นสินค้าประเภทอาหารเสริม (Supplement) ที่ไม่ถือว่าผิด กฎหมายในระดับรัฐบาลกลางด้วย 1 ขนาดตลาดและแนวโน้มตลาด สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดผู้บริโภคสินค้าจากกระท่อมที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าตลาดทั้งสิ้นประมาณ 1.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ปัจจุบันคาดว่ามีชาวอเมริกันที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากกระท่อมประมาณ 11 – 15 ล้าน คนในสหรัฐฯ 2 ผู้ประกอบการสินค้ากระท่อมในสหรัฐฯ ปัจจัยด้านความนิยมบริโภคสินค้าจากกระท่อมของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ ผ่านมาส่งผลทำให้อุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก และดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่า มีผู้ประกอบการนำเข้าแปรรูปหรือจำหน่ายสินค้าจากกระท่อมมากกว่า 100 รายในสหรัฐฯ โดย ผู้ประกอบการจำหน่ายปลีกสินค้ากระท่อมที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในตลาดสหรัฐฯ ยกตัวอย่างเช่น - แบรนด์ Golden Monk (เมือง Las Vegas รัฐเนวาดา) - แบรนด์ Kraken Kratom (เมือง Portland รัฐออริกอน) - แบรนด์ Phytoextractum (เมือง Portland รัฐออริกอน) - แบรนด์ Kratom Spot (เมือง Orange รัฐแคลิฟอร์เนีย) - แบรนด์ Organic Kratom USA (เมือง Kansas City รัฐมิสซูรี) - แบรนด์ Coastline Kratom (เมือง Supply รัฐนอร์ทแคโรไลนา) - แบรนด์ Kratom Krazy (เมือง Supply รัฐนอร์ทแคโรไลนา) - แบรนด์ Buy Kratom Bulk USA (เมือง New York รัฐนิวยอร์ก) - แบรนด์ Happy Hippo Herbals (เมือง Meridian รัฐอินเดียนา) - แบรนด์ Kats Botanicals (เมอื ง Fort Lauderdale รัฐฟลอริดา) - แบรนด์ New Dawn Kratom (เมือง Colorado Spring รัฐโคโรลาโด) - แบรนด์ Mitragaia (เมือง Henderson รัฐเนวาดา) 3. ข้อมูลการนำเข้าสินค้ากระท่อมของสหรัฐฯ สินค้ากระท่อมที่สหรัฐฯ นำเข้าสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ใบกระท่อมอบแห้ง (HS Code 121190) และกระท่อมแปรรูปส่วนใหญ่อยู่ในรูปผง (HS Code 130190) โดยในช่วงระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2564 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้ากระท่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยเป็นปริมาณทั้งสิ้น 1,755.94 ตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 1,065.89 แบ่งเป็นสินค้าใบกระท่อมอบแห้งเป็นปริมาณทั้งสิ้น 912.61 ตัน และสินค้ากระท่อมแปรรูปเป็นปริมาณทั้งสิ้น 843.33 ตัน ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า สหรัฐฯ เริ่มมีปริมาณนำเข้าสินค้ากระท่อม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาใน สหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของชาวอเมริกัน ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนในตลาดหันไปเลือกใช้สินค้าจากกระท่อมเพื่อคลายเครียด และการผ่อนคลายมากขึ้น โดยสหรัฐฯ นำเข้าสินค้ากระท่อมเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 95) มาจากอินโดนีเซีย 4. ช่องทางการจัดจำหน่าย สินค้ากระท่อมมีวางจำหน่ายตามร้านค้าปลีกทั่วไปบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนมากจะจำหน่ายตามร้าจำหน่ายยาสูบ (Smoke Shop) ร้านจำหน่ายกัญชาถูกกฎหมาย (Dispensers) และร้านรับสักเจาะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ เป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดจำหน่ายสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการหันไปจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้นถึงเกือบร้อยละ 90 เนื่องจากสะดวกและเข้าถึงกลุ่ม ลูกค้าได้ครอบคลุมมากกว่า คาดการณ์การตีตลาดสหรัฐฯ ของพืชกระท่อมจากประเทศไทย[38]พืชกระท่อม จากยาเสพติดประเภท 5 สู่พืชเศรษฐกิจมูลค่านับหมื่นล้านบาท GTH เปิดเกมลุยรายแรก พร้อมส่งออกอเมริกา ล็อตแรก 150 ตัน ชี้ภายในปี 65 ตลาดกระท่อมไทยคึกคัก กำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัน หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท นายจุลภาส เครือโสภณ ผู้ก่อตั้ง บริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด หรือ GTH เปิดเผยว่า จากการปลดล็อกพืชกระท่อมที่ถือเป็นยาเสพติดประเภท 5 สู่พืชเศรษฐกิจที่ไม่ผิดกฎหมายแบบ 100% จะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดพืชกระท่อมได้เป็นอย่างดี เพราะเมล็ดกระท่อมไทย จัดว่าดีที่สุดในโลก “ปัจจุบันตลาดกระท่อมที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้เพื่อช่วยรักษาโรคซึมเศร้า, บำบัดยาเสพติด, เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกระท่อมมีจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น อาหารเสริม ยาดม ชา เป็นต้น ขณะที่อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีการส่งออกกระท่อมเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่บอกว่าเมล็ดมาจากประเทศไทย รวมถึงแบรนด์ก็ใช้ชื่อไทย อย่างเช่น แบรนด์ แมงดา ที่ทำรายได้จากการส่งออกกระท่อมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี” ด้านนายแดน ปฐมวณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด หรือ NRF กล่าวว่า ทางบริษัทได้ร่วมกับ GTH ในการรุกตลาดพืชกระท่อม ซึ่งขณะนี้ถือว่าเราเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่มีวัตถุดิบใบกระท่อมอยู่ในมือกว่า 150 ตันที่พร้อมส่งออกภายในเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงมีพันธมิตรทั้งในรูปแบบของผู้ปลูกพืชกระท่อม โดยเฉพาะในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ปลูกพืชกระท่อมมากสุดในประเทศไทย และพันธมิตรในรูปแบบ B2B ที่เราจะป้อนวัถตุดิบพืชกระท่อมให้เพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เซียงเพียวอิ๊ว ที่จะผลิตเป็น ยาดมใบกระท่อม, สมูทอี ที่จะผลิตเป็นครีมชูกำลัง รวมถึงบริษัทเครื่องดื่ม ที่จะผลิตน้ำกระท่อมชูกำลัง และบริษัทขายตรงอีกรายที่จะผลิตสินค้าเกี่ยวกับพืชกระท่อม เป็นต้น “แผนการดำเนินงานของ NRF จะยังคงเน้นช่องทางอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มาจากพืช โดยเฉพาะพืชกระท่อมที่ร่วมกับทาง GTH โดยรูปแบบการทำธุรกิจจะเป็นแบบ B2B เพราะเน้นเป็นธุรกิจอาหาร ซึ่งจากการรุกตลาดพืชกระท่อมครั้งนี้เชื่อว่าในปี 2565 บริษัทจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50%” นายแดนกล่าว นายจุลภาส กล่าวเสริมว่า พืชกระท่อมถือเป็นพืชเศรษฐกิจ และเป็นการต่อยอดเสริมไปสู่กลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ เช่น หากเข้าไปเสริมในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง เพียงแค่ 25% ก็มีมูลค่านับหมื่นล้านบาทแล้ว แต่หากคิดเฉพาะต้นน้ำจริงๆ ปัจจุบันเรารับซื้อใบกระท่อมที่กิโลกรัมละ 200 บาท ซึ่งเรามีอยู่แล้ว 150 ตัน และหลังจากปลดล็อกพืชกระท่อมไปแล้ว เชื่อว่าในปี 2565 คาดว่าจะมีพืชใบกระท่อมไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท โดยทาง GTH พร้อมรับซื้ออย่างต่อเนื่อง และพร้อมเป็นตัวแทนจากพันธมิตรในการส่งออกสินค้าที่ผลิตจากใบกระท่อมไปยังสหรัฐอเมริกาทั้งหมด เนื่องจากมีช่องทางจำหน่ายอยู่แล้วในสหรัฐอเมริกา ตำนาน เรื่องเล่า ความเชื่ออีกบทบาทหนึ่งของพืชกระท่อมคือ การใช้บนบานศาลกล่าวเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านเล่าว่า หากของมีค่าหายหรือหาไม่พบ เขาจะจุดธูปเทียนบนบานกับเจ้าที่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เคารพนับถือ เพื่อช่วยในสิ่งที่เขาขอให้ประสบความสำเร็จ หากสำเร็จใบกระท่อมจะถูกนำมาเป็น เครื่องบูชา รวมถึงประเพณีพื้นบ้านต่าง ๆ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง ผู้ล่วงลับ นอกจากลูกหลานจะจัดเตรียมสำรับอาหารคาวหวานเครื่องดื่มต่าง ๆ ยังไม่ลืมที่จะจัดใบกระท่อมสดวางไว้ข้าง ๆ เพื่อ สักการะแด่ดวงวิญญาณอันเป็นที่เคารพรักของพวกเขา ในทุก ๆ วันที่ตีเหล็ก ช่างตีเหล็กจะนำใบกระท่อม 3 ใบมาบูชาครูในตอนเช้าก่อนการทำงาน เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ช่างตีเหล็กในหมู่บ้านจะได้รับการยกย่องเป็นครูคนหนึ่งเพราะเป็นวิถีการผลิตที่อยู่คู่กับสังคมการเกษตร ช่างตีเหล็กในหมู่บ้านจะมีครูที่พวกเขาเคารพนับถือ เรียกว่า “หลวงช่าง” “หลวงแสง” พวกเขาต้องเข้าใจเรื่องเหล็ก เรื่องของไฟ แสงไฟบนเหล็ก น้ำหนักของการลงฆ้อนตีเหล็ก ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษที่ช่างท้งหลายให้ความเคารพ ทุกเช้าของการทำงาน เมื่อกระท่อมถูกวางไว้บนแท่นเหล็ก ช่างตีเหล็กบูชาครู การทำงานจึงเริ่มขึ้น ของที่ไหว้ครูช่างมักไม่นำมากิน แต่ถ้าจะนำมากินก็ได้ เมื่อตีเหล็กเสร็จก็ขอ บอกกล่าวครู เรียกว่า “เดนชานของครู” ช่างตีเหล็กจะมีพิธีไหว้ครูในช่วงเดือน 6 ของทุกปี ที่เป็นวันเปิด หรือวันข้างขึ้น 9 ค่ำ หรือ 3 ค่ำ เรียกว่าไหว้ครูใหญ่ เครื่องไหว้ครู ได้แก่ ข้าวเหนียว ขนมขาว ขนมแดง ขนมถั่ว ขนมงา ขนมพอง ขนมลา กล้วย อ้อย มะพร้าวอ่อน หมากพลู ใบกระท่อม เป็นต้น การนำใปใช้ในทางที่ผิดปัจจุบันใบกระท่อมมีปัญหาการแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียน อาจเนื่องมาจากมีราคาถูกและทำให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มได้เช่นเดียวกับสารเสพติดอื่น โดยมักนิยมนำน้ำกระท่อมต้ม ผสมกับโค้ก ยากันยุง และยาแก้ไอ (4×100)[39] ผลจากการเสพพบว่าหลังเคี้ยวใบกระท่อมไปประมาณ 5-10 นาที จะมีอาการเป็นสุข กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกหิว (ไม่อยากอาหาร) กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้นานและทนแดดมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่นเวลาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผู้เสพจะมีผิวหนังแดงเพราะเลือดไปเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น อาการข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย เบื่ออาหาร ท้องผูก อุจจาระแข็งเป็นก้อนเล็กๆ นอนไม่หลับ ถ้าเสพใบกระท่อมในปริมาณมากๆ จะทำให้มึนงง และคลื่นไส้อาเจียน (เมากระท่อม) แต่ในบางรายเสพเพียง 3 ใบ ก็ทำให้เมาได้ ในรายที่เสพใบกระท่อมมากๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ำและเข้มขึ้น และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจากตัวใบก่อน อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ถุงท่อม” ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้ บางรายจะมีอาการโรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง อาการเมื่อหยุดเสพไม่มีแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูก แขนขากระตุก อ่อนเพลีย ไม่สามารถทำงานได้ อารมณ์ซึมเศร้า นํ้าตาไหล นํ้ามูกไหล ก้าวร้าว นอนไม่หลับ ร่างกายมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ถ่ายอุจจาระเหลวมากปกติ อยากอาหารยาก อาเจียนคลื่นใส้ มีอาการไอมากขึ้น กระวนกระวายมากขึ้น อ้างอิง
|