กฤตย์ รัตนรักษ์
กฤตย์ รัตนรักษ์ (เกิด 19 เมษายน พ.ศ. 2489) เป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด และช่อง 7 เอชดี รวมถึงอดีตเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และอดีตสมาชิกวุฒิสภา ประวัติกฤตย์ เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 6 คน มีน้องสาว 5 คน ปัจจุบันน้องสาว 4 คนอาศัยอยู่ต่างประเทศ [1] นิตยสารฟอบส์เคยกล่าวถึงตระกูลรัตนรักษ์ว่าเป็น "กลุ่มคนที่ลึกลับ"[2] และบุตรชายของกฤตย์ ชัชชน รัตนรักษ์ ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "ผู้ทรงอิทธิพลที่ดำรงตนไม่ดึงดูดความสนใจ"[3] ตระกูลรัตนรักษ์ถือเป็นตระกูลรุ่นบุกเบิกตระกูลหนึ่งของสังคมธุรกิจไทย[4] มารดาของกฤตย์ ศศิธร รัตนรักษ์ มาจากครอบครัวพ่อค้าผู้มั่งคั่งรุ่นที่สามในฝั่งธนบุรี ส่วนบิดา ชวน รัตนรักษ์ เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ปูนซีเมนต์นครหลวง (ผู้ผลิตปูนอินทรี) และ บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (บีบีทีวี)[5] ด้วยความสามารถในการสร้างอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองเช่นนี้ ทำให้ชวนได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุดท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย[6] หลังจากชวนเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2536 กฤตย์จึงเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจต่อ การทำงานตระกูลรัตนรักษ์ถือเป็นหนึ่งในตระกูลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตระกูลหนึ่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทไทยหลากหลายบริษัท อาทิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ปูนซีเมนต์นครหลวง, อลิอันซ์ อยุธยา, แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น, มีเดีย ออฟ มีเดียส์, อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน), บริษัท รักษาความปลอดภัย เอชอาร์ โปร แอนด์ เซอร์วิส และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบีบีทีวี[2] กฤตย์เริ่มทำงานในธนาคารกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2515 ก่อนเลื่อนขึ้นเป็นประธานในปี พ.ศ. 2525 และเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในปี พ.ศ. 2533 ในปี พ.ศ. 2536 เขาดำรงตำแหน่งประธานและประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ประธานบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด, ประธานบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และประธานบริษัท ศรีอยุธยา ประกันภัย [7] ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2540 กฤตย์ช่วยให้ธุรกิจที่อยู่ใต้การบริหารทั้งหมดผ่านพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งได้สำเร็จ ส่งผลให้กลุ่มรัตนรักษ์ เป็นหนึ่งใน 8 ตระกูลนักธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย จากที่เคยมีถึง 40 ตระกูล ให้ยังคงสามารถเป็นตระกูลมหาอำนาจทางธุรกิจตามการจัดอันดับในปี พ.ศ. 2552[8] ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 กลุ่มรัตนรักษ์ได้ทำการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปูนซีเมนต์นครหลวง โดยการขายส่วนของผู้ถือหุ้นที่กลุ่มถือหุ้นอยู่ให้แก่บริษัท Holderbank (ปัจจุบันคือบริษัท Holcim) แต่ข่าวที่เผยแพร่ผิดพลาดจากความเป็นจริงไปว่าเงินที่ได้จากขายหุ้นแก่ Holderbank นั้นใช้ระดมทุนเพื่อปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ดี ข้อตกลงแสดงไว้อย่างชัดเจนในเงื่อนไขการขายหุ้นดังกล่าวว่าเงินทั้งหมดจากการขายหุ้น และรวมถึงทุนส่วนที่กลุ่มรัตนรักษ์ได้ลงเพิ่มเติมนั้นต้องลงกลับเข้าไปเป็นทุนในปูนซีเมนต์นครหลวงเท่านั้น ส่วนเงินทุนที่ทางกลุ่มได้ลงไปในการปรับโครงสร้างของธนาคารกรุงศรีอยุธยามาจากทุนสำรอง[9] ในปี พ.ศ. 2556 กลุ่มรัตนรักษ์ถือหุ้น 47% ในปูนซีเมนต์นครหลวง คิดเป็นมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตามราคาตลาด โดยไม่มีหนี้ที่เป็นสาระสำคัญใด ๆ ส่วน Holcim ถือหุ้นอยู่ 27.5% ของหุ้นทั้งหมด[10] ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2541 ก่อนการเข้าร่วมทุนกับ Holderbank กลุ่มรัตนรักษ์ถือหุ้นประมาณ 50%[11] ในวิกฤติต้มยำกุ้ง ธนาคารไทยหลายแห่งต้องปิดกิจการหรือขายหุ้นให้ต่างชาติ กลุ่มรัตนรักษ์สามารถใช้กลไกการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้กลุ่มสามารถรักษากิจการไว้ได้แล้ว ยังช่วยปรับปรุงการดำเนินงานของธนาคารต่อมาภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจอีกด้วย[12] ในปี พ.ศ. 2539 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีมูลค่าหุ้นในตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[13] ซึ่งได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2557[14] สัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารของกลุ่มที่ลดลงจาก 35%[15] ไปเป็น 25%[10] ในปี พ.ศ. 2550 เพื่อดำเนินการตามกฎระเบียบการถือครองหุ้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2551 การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาของกลุ่ม เป็นไปโดยการเข้ามาถือหุ้นของบริษัท GE Capital ซึ่งทางกลุ่มได้มอบหมายให้ดูแลการบริหารงานธนาคารในปี พ.ศ. 2550[16] ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2556 บริษัท GE Capital ได้ขายหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้แก่ธนาคาร MUFJ ธนาคารสัญชาติญี่ปุ่น เนื่องจากการขาดทุนของบริษัท GE Capital เองในช่วงวิกฤติธนาคารในปี พ.ศ. 2551[17][18][10] กลุ่มรัตนรักษ์ได้ผ่านวิกฤติการณ์หลายครั้งแต่ก็ยังคงสามารถดำรงสถานะหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 5 อันดับในประเทศไทย [12] และเป็น 1 ใน 3 ตระกูลธนาคารที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย ร่วมกับตระกูลโสภณพนิชของธนาคารกรุงเทพ และตระกูลล่ำซำของธนาคารกสิกรไทย[19] การเมืองในปี พ.ศ. 2524 ด้วยอายุเพียง 35 ปี กฤตย์ ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิก ซึ่งถือเป็นวุฒิสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดและดำรงตำแหน่งนาน 4 สมัย [20] ข้อมูลส่วนตัวกฤตย์ รัตนรักษ์ หย่า และมีบุตรชาย 1 คน คือ นายชัชชน รัตนรักษ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2515 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ดูเพิ่มอ้างอิง
|