การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดงรัก
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดงรัก (อังกฤษ: Dangrek genocide) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า การผลักดันพระวิหาร (Preah Vihear pushback) หรือ กรณีเขาพระวิหาร[1] เป็นเหตุการณ์ที่ชายแดนซึ่งเกิดขึ้นตามทิวเขาพนมดงรักบนชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนจำนวนมากเสียชีวิต เนื่องจากประเทศไทยปฏิเสธไม่ให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาหนีภัยในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2522 บริบท: การหลบหนีจากความอดอยากหลังจากการล่มสลายของเขมรแดงในช่วงต้นปี พ.ศ. 2522 กองกำลังเวียดนามได้โค่นล้มระบอบกัมพูชาประชาธิปไตยในประเทศกัมพูชาที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน ทหารเวียดนามได้บุกเข้าโจมตีประเทศและรุกเข้าไปถึงค่ายทหารของเขมรแดงในทิวเขาพนมดงรักบนชายแดนไทย–กัมพูชา[2] ชาวกัมพูชาจำนวนมากเบื่อหน่ายสงครามและอดอยากจากความแร้นแค้นหลังจากถูกเขมรแดงปกครองเป็นเวลาสามปี จึงหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารหรือการตอบโต้โดยขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ชาวเดการ์ซึ่งเป็นผู้นำกองกำลังต่อต้านชาวมงตาญญาร์ซึ่งต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ของกรุงฮานอยก็ใช้โอกาสนี้หวังที่จะเข้าถึงฝั่งตะวันตกเช่นกัน แต่หลายคนถูกทหารเขมรแดงภายใต้การนำของ ซน เซน จับตัวไว้ได้ และบังคับให้พวกเขาต่อสู้กับเวียดนามในฐานะ "ศัตรูร่วม" อย่างไรก็ตาม เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้หลบหนี จึงมีการวางทุ่นระเบิดไว้รอบๆ ค่ายที่ชาวเดกาถูกกักขัง ทำให้หลายคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ[2] ผู้ลี้ภัยชาวเขมรประมาณ 140,000 คนขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศไทยระหว่างฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงของปี พ.ศ. 2522 จำนวนผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศไทยมีถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด[3] เส้นเวลามีนาคม 2522: ปิดพรมแดนไทยในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2522 เนื่องจากเกรงว่าผู้ลี้ภัยจะมากล้นเกินความควบคุม ประเทศไทยจึงประกาศว่าจะปิดพรมแดนและขุดวางทุ่นระเบิดในดินแดนรกร้าง (no man's land) บริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา เริ่มมีค่ายผู้อพยพเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของไทยได้พัฒนานโยบาย "การยับยั้งอย่างมีมนุษยธรรม" เพื่อลดจำนวนผู้ลี้ภัยชาวเขมรในค่ายเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ถูกเรียกว่าผู้ลี้ภัยอีกต่อไป แต่เรียกว่าผู้อพยพผิดกฎหมาย ค่ายเหล่านี้ได้รับเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ผู้มาใหม่ถูกปฏิเสธสิทธิ์ในการสัมภาษณ์กับตัวแทนระหว่างประเทศเพื่อที่จะย้ายไปยังต่างประเทศ[3] มิถุนายน 2522: การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดงรักในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2522 กองบัญชาการทหารสูงสุดได้สั่งการให้กองทัพบกไทย ผลักดันบังคับให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาราว 42,000[1] ถึง 45,000 คนที่ข้ามเข้ามาในไทยให้กลับเข้าไปในฝั่งกัมพูชาอีกครั้ง ขณะเดียวกันได้มีการสั่งการให้กองทัพเรือและตำรวจน้ำผลักดันเรือของเวียดนามออกจากชายฝั่งไปยังทะเลเช่นกัน[1] ผู้ลี้ภัยชาวเขมรที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วอำเภออรัญประเทศ ถูกบังคับให้ขึ้นรถบัสและขับรถไปยังทิวเขาพนมดงรักซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 300 กิโลเมตร จากที่นั่นพวกเขาถูกบังคับให้เดินลงไปยัง "หน้าผาในทิวเขาดงรัก ซึ่งเป็นสันเขาที่เต็มไปด้วยภูเขาและป่าทึบ"[4] ผู้ลี้ภัยเหล่านี้มีครอบครัวที่เปราะบาง หลายครอบครัวที่มีลูก ๆ อยู่ด้วย รวมถึง เมงลี่ จานดี้ ควอช ผู้ลี้ภัยชาวเขมรที่บรรยายถึงความยากลำบากนี้ในอัตชีวประวัติของเขา[5] และเช่นเดียวกับเขา ผู้ลี้ภัยชาวเขมรหลายคนมีบรรพบุรุษเป็นชาวจีน[6] หลังจากผู้ลี้ภัยชาวเขมรบางส่วนพยายามล่าถอยออกจากแนวพรมแดนเนื่องจากกลัวว่าจะต้องกลับเข้าไปอยู่ใต้การปกครองของเขมรแดงและเดินข้ามทุ่นระเบิด ทหารไทยจึงเปิดฉากยิงพวกเขา[7] คาดว่าผู้ลี้ภัยชาวเขมรหลายพันคนเสียชีวิตในสิ่งที่เรียกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดงรัก[8] ในขณะที่ผู้ที่ล่าถอยกลับไปยังฟั่งกัมพูชาและรอดจากการกราดยิงของทหารไทย ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการขาดน้ำ ท้องร่วง และจากทุ่นระเบิดซึ่งถูกวางไว้ในพื้นที่โดยทั้งกองทัพเขมรแดงและกองทัพเวียดนามที่รุกราน ตุลาคม 2522: จากการประชุมเจนีวาสู่การแก้ปัญหาทางการทูตข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าวในทิวเขาพนมดงรักได้ปลุกเร้ากระแสความคิดเห็นของสาธารณชนและก่อให้เกิดความโกรธแค้นในระดับนานาชาติ เพื่อแก้ไขโศกนาฏกรรมที่ผู้ลี้ภัยชาวอินโดจีนต้องเผชิญ จึงมีการจัดประชุมเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 ที่สำนักงานใหญ่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่เจนีวา ซึ่งจัดโดยสภาคริสตจักรโลก โดยมีรองข้าหลวงใหญ่ฯ เป็นประธาน โดยมีตัวแทนจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วม[9] อุปดิศร์ ปาจรียางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยถูกกล่าวหาว่าใช้วิกฤติด้านมนุษยธรรมนี้เพื่อให้ได้ชัยชนะทางการเมืองโดยบังคับให้เวียดนามล่าถอย ซึ่งเวียดนามปฏิเสธที่จะหารือ[10] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2522 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนชายแดนและรู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดจากความทุกข์ยากที่เขาได้พบเห็น[11] ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2522 กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและโครงการอาหารโลกได้ดำเนินการตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ที่ชายแดน ส่งผลให้ดึงดูดผู้ลี้ภัยจำนวนมากจากกัมพูชา และนำไปสู่การสร้างค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่ง[4] ด้วยเหตุนี้ ค่ายผู้อพยพสระแก้วจึงถูกจัดตั้งขึ้น "แทบจะชั่วข้ามคืน" ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2522 ต่อมา โรซาลีนน์ คาร์เตอร์ ได้เดินทางเยี่ยมชมค่ายดังกล่าวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2522[12] และในเดือนเดียวกัน ค่ายที่ใหญ่ที่สุดคือศูนย์ที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชาเขาอีด่างได้เปิดขึ้น ผู้ลี้ภัยชาวเขมรจำนวนมากเดินทางมาหลบหนีจากแผนเค 5 ที่กองทัพเวียดนามที่ยึดครองอยู่บังคับใช้ ซึ่งบังคับให้ชายชาวเขมรเกณฑ์ทหารเพื่อพยายามสร้าง "กำแพงไม้ไผ่" เพื่อเป็นม่านเหล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพื่อปกป้องกัมพูชาจากการรุกรานของไทย อย่างไรก็ตาม หลังจากการเลือกตั้งทำให้รัฐบาลของไทยเปลี่ยนแปลง นโยบายพรมแดนเปิดก็ถูกพลิกกลับ และพรมแดนของไทยก็ถูกปิดอีกครั้งโดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2523 โดยอ้างถึงความกลัวว่าเขมรแดงจะแทรกซึมเข้ามาในประเทศไทย[13] ในความเป็นจริง จากค่ายผู้อพยพทั้งหมด มีอยู่ 5 แห่งที่ถูกเขมรแดงครอบงำอยู่ รวมถึงไซต์ 8[14] รัฐบาลไทยได้สร้างคำศัพท์ใหม่ขึ้นมา คือ ผู้ถูกอพยพ (evacuees) เพื่อสื่อว่าผู้ลี้ภัยจะได้รับการต้อนรับเพียงชั่วคราวเท่านั้น และจะต้องย้ายไปที่อื่นโดยเร็วที่สุด[15] ผลสืบเนื่องการปลูกฝังความรู้สึกต่อต้านสยามของชาวเขมรเนื่องจากชาวเขมรหลายหมื่นคนถูกบังคับให้ลี้ภัยในประเทศไทยเนื่องจากความอดอยาก การตอบสนองอย่างรุนแรงของทางการไทยได้ทิ้งรอยประทับไว้ในจิตสำนึกของคนยุคใหม่[7] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยชาวเขมรอย่างไร้มนุษยธรรมได้จุดชนวนความรู้สึกต่อต้านสยามในกัมพูชา เหตุการณ์จลาจลต่อต้านไทยในปี พ.ศ. 2546 ในกัมพูชาเต็มไปด้วยความทรงจำเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัยในทิวเขาพนมดงรัก[8] เหตุการณ์ดงรักไม่เพียงแต่จุดชนวนความรู้สึกต่อต้านสยามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกต่อต้านเวียดนามด้วย เนื่องจากเขมรแดงใช้ความโหดร้ายในพนมดงรักเป็นเวทีในการล็อบบี้ต่อต้านการยึดครองของเวียดนาม[16] กรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชาเหตุการณ์ที่ดงรักเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นหลายจุดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา การเนรเทศผู้ลี้ภัยหลายพันคนไปยังทิวเขาพนมดงรักแม้ว่าทางการไทยจะอ้างว่าเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดในการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวเขมร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์หลังจากคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2507 ซึ่งมอบอำนาจควบคุมปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา[6] ตามสนธิสัญญาในปี พ.ศ. 2447 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องตามมาหลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 โดยยึดถือพรมแดนในบริเวณทิวเขาพนมดงรักทอดยาวตามแนวสันปันน้ำ[17] การกำจัดทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนหลังสงครามสิ้นสุดลง ต้องใช้เวลานานหลายสิบปีจึงจะกำจัดทุ่นระเบิดที่ทิ้งไว้โดยเขมรแดง ทหารไทย และเวียดนาม บนทิวเขาพนมดงรัก รวมไปถึงทั่วกัมพูชาออกไปได้ อ้างอิง
บรรณานุกรม
|