การให้ทารกกินนมจากอกแม่
สัญลักษณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สากล (Matt Daigle, ผู้ชนะการประกวดของนิตยสาร Mothering ปี ค.ศ. 2006)
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (อังกฤษ : breastfeeding, nursing ) คือการป้อนนม ให้กับทารกหรือเด็กด้วยน้ำนมจากหน้าอก ของผู้หญิง ทารกจะมีกลไกอัตโนมัติในการดูดที่จะทำให้เขาสามารถดูดและกลืนน้ำนมได้
มีหลักฐานจากการทดลองชี้ให้เห็นว่า น้ำนมคนเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก[ 1] แต่ผู้เชี่ยวชาญยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าควรให้ทารกกินนมแม่นานเท่าไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด และจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่าไรจากการให้สารทดแทนน้ำนมคนแก่ทารก[ 2] [ 3] [ 4]
ทารกอาจจะกินน้ำนมจากอกของแม่ของตัวเองหรือผู้หญิงอื่นที่ร่างกายสามารถผลิตน้ำนมได้ (ซึ่งอาจจะเรียกว่า แม่นม) น้ำนมอาจจะถูกบีบออกมา (เช่น ใช้เครื่องปั๊มนม) และป้อนให้ทารกโดยใช้ขวด และอาจเป็นน้ำนมที่รับบริจาคมาก็ได้ สำหรับแม่หรือครอบครัวที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการให้ลูกกินนมแม่ก็อาจให้สารทดแทนนมแม่แทน การศึกษาวิจัยยังมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับคุณค่าสารอาหารในสารทดแทนนมแม่ เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าการให้ทารกกินนมผสมที่มีขายในท้องตลาดจะไปรบกวนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทั้งในทารกที่คลอดตามกำหนดและคลอดก่อนกำหนด[ 5] ในหลายๆ ประเทศการให้ลูกกินสารทดแทนนมแม่ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคท้องร่วงในทารกเพิ่มขึ้น[ 6] แต่ในพื้นที่ที่มีน้ำสะอาดมีเพียงพอ การให้ลูกกินสารทดแทนนมแม่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้[ 3]
มีนโยบายของรัฐบาลและความพยายามจากหน่วยงานนานาชาติในการส่งเสริมและสนับสนุนให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงทารกในช่วงปีแรกและนานกว่านั้น องค์การอนามัยโลก และสถาบันกุมารแพทย์ของอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ก็มีนโยบายสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่[ 7] [ 8]
การหลั่งน้ำนม
การหลั่งน้ำนม (Lactation) คือ กระบวนการในการสร้าง การหลั่ง และการไหลออกมาของน้ำนม การหลั่งน้ำนม เป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ใช้นิยาม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
น้ำนมแม่
คุณสมบัติของนมแม่ยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่คุณค่าสารอาหารของน้ำนมที่สมบูรณ์แล้วจะค่อนข้างคงที่ องค์ประกอบของน้ำนมจะมาจากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป, สารอาหารต่างๆ ในกระแสเลือดของแม่ในระหว่างที่ให้น้ำนม และสารอาหารที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ ในการศึกพบว่าผู้หญิงที่ให้ลูกกินนมแม่ล้วนๆ จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกวันละ 500-600 แคลอรี ในการผลิตน้ำนมให้ลูก[ 9] ส่วนประกอบของน้ำนมจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และแต่ละชั่วโมง ขึ้นอยู่กับลักษณะการให้ทารกกินนม, อาหารที่แม่รับประทาน, และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ดังนั้นอัตราส่วนของน้ำต่อไขมันในน้ำนม แม่ จึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ช่วงอายุของลูกหลังจากที่คลอดแล้วฮอร์โมนในร่างกายแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงแล้วจะกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมขึ้นในช่วงแรกน้ำนมจะเป็นสีเหลืองเมื่อลูกดูดกินไปเรื่อยๆจะกลายเป็นน้ำนมสีขาวในที่สุด
น้ำนมส่วนหน้า (Foremilk) ซึ่งเป็นน้ำนมที่ไหลออกมาในช่วงแรกของการให้นม จะค่อนข้างใส ไขมัน ต่ำ คาร์โบไฮเดรต สูง น้ำนมส่วนหลัง (Hindmilk) ซึ่งเป็นน้ำนมจะไหลออกมาหลังจากให้นมทารกไปได้ระยะหนึ่ง จะมีลักษณะข้นกว่า แต่ไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างน้ำนมส่วนหน้ากับน้ำนมส่วนหลัง น้ำนมจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง งานวิจัยของ Human Lactation Research Group เก็บถาวร 2007-08-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ปีเตอร์ ฮาร์ทมันน์ (Peter Hartmann) แสดงว่าปริมาณไขมันจะแปรผันไปตามความสามารถในการดึงน้ำนมออกจนหมดเต้า ยิ่งมีน้ำนมในเต้าน้อยเท่าไร ปริมาณไขมันในน้ำนมจะยิ่งมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงเต้านมจะไม่มีทางหมดเต้าได้ เพระต่อมน้ำนมจะผลิตน้ำนมออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ประโยชน์
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อทั้งแม่และทารก ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ สารอาหารและภูมิต้านทานต่างๆ จะถูกส่งผ่านไปยังทารก ในขณะที่ฮอร์โมนจะหลั่งออกมาในร่างกายของแม่[ 10] สายสัมพันธ์ระหว่างทารกและแม่จะแนบแน่นมากขึ้นในระหว่างการให้ลูกกินนมแม่[ 11]
ประโยชน์ต่อทารก
มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับประโยชน์ทางสุขภาพ ตามที่สถาบันกุมารแพทย์ของอเมริกากล่าวไว้ว่า
การทำงานวิจัยมากมาย โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่หลากหลายและน่าทึ่งของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีต่อทารก, แม่, สมาชิกในครอบครัว และสังคม และการใช้น้ำนมแม่เป็นอาหารสำหรับทารก ประโยชน์ที่ได้คือ สุขภาพที่ดีกว่า สารอาหาร ภูมิต้านทาน ผลดีต่อสภาพจิตใจ สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
—
คำแถลงนโยบายของสถาบันกุมารแพทย์อเมริกา[ 8]
ทารกที่กินนมแม่จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคไหลตายในเด็ก (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS) และโรคอื่นๆ น้อยกว่า การดูดที่อกแม่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของฟันและอวัยวะในการออกเสียงอย่างเหมาะสม นอกจากนี้น้ำนมแม่ยังมีอุณภูมิที่เหมาะสมและมีพร้อมให้ทารกกินได้ทันที
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่เด็กจะได้รับ จากการดื่มนมแม่ก็คือ เด็กจะมีภูมิคุ้มกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนี้การให้ลูกดื่มนมยังช่วยให้ ลูกน้อยรู้สึกใกล้ชิดกับแม่ ซึ่งจะก่อให้เกิดความอบอุ่นใจและทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคต่อไปนี้ได้
โรคภูมิแพ้ (Allergies)[ 12]
โรคหอบหืด (Asthma)[ 13] [ 14]
โรคไทรอยด์ (Autoimmune thyroid diseases)[ 15]
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial meningitis)[ 8]
โรคมะเร็งเต้านม (Breast cancer)[ 10]
โรคขาดสารอาหาร (Celiac disease)[ 16]
โรคโครห์น (Crohn's disease)[ 17]
โรคเบาหวาน (Diabetes)[ 8] [ 11]
โรคท้องร่วง (Diarrhea)[ 8] [ 11]
โรคผิวหนังอักเสบออกผื่น (Eczema)[ 18]
กระเพาะและลำไส้เล็กอักเสบ (Gastroenteritis)[ 19]
โรคมะเร็งปุ่มน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin's lymphoma)[ 8] [ 11]
ลำไส้เล็กและใหญ่อักเสบ (Necrotizing enterocolitis)[ 8]
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)[ 15]
โรคอ้วน (Obesity)[ 8] [ 11]
หูชั้นกลางหรือแก้วหูอักเสบ (Otitis media)[ 8] [ 11]
โรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ (Respiratory infection และ Wheeze)[ 8] [ 11]
โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ (Rheumatoid arthritis)[ 20]
โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)[ 8]
ประโยชน์ต่อแม่
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อแม่ เพราะช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนออกซีโทซินและโปรแลกติน ซึ่งทำให้แม่รู้สึกผ่อนคลายและมีความรู้สึกรักใคร่ทะนุถนอมทารก[ 21] การให้ลูกกินนมแม่ทันทีหลังจากคลอดลูกจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนออกซีโทซินในร่างกาย ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วและลดอาการตกเลือด[ 22]
ไขมันที่ถูกสะสมในร่างกายในช่วงตั้งครรภ์จะถูกใช้ในการผลิตน้ำนม การยืดระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้นานขึ้นจะช่วยให้แม่สามารถลดน้ำหนักตัวได้เร็ว[ 23] [ 24] การให้ลูกกินนมบ่อยๆ หรือให้ลูกกินนมแม่เพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้การมีประจำเดือนช้าลง จึงมีส่วนในการช่วยคุมกำเนิด บางครั้งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงถูกนำมาใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิด ซึ่งอาจจะสามารถคุมกำเนิดได้ 98% โดยจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะต้องเป็นแหล่งอาหารเพียงอย่างเดียวของทารก และทารกจะต้องดูดน้ำนมจากอกแม่เท่านั้น การให้ทารกกินนมผสม หรือการใช้เครื่องปั๊มนมแทนที่จะให้ทารกดูดจากอก และการให้กินอาหารเสริม จะลดความสามารถในการคุมกำเนิด
ทารกจะต้องได้กินนมจากอกแม่ทุกๆ 4 ชั่วโมง ในตอนกลางวัน และทุกๆ 6 ชั่วโมง ในตอนกลางคืน เป็นอย่างน้อย
ทารกอายุไม่เกิน 6 เดือนและสามารถรับประทานต่อได้ถึง 2ปีหรือ3 ปี
แม่จะต้องไม่มีประจำเดือนอย่างน้อย 56 วันหลังคลอด
อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นวิธีการคุมกำเนิด เนื่องจากการตกไข่หลังคลอดบุตรอาจเกิดขึ้นก่อนการมีประจำเดือน ดังนั้นผู้หญิงจึงสามารถ (และบ่อยครั้ง) ตั้งท้องได้ก่อนที่จะเริ่มกลับมามีประจำเดือนอีกครั้ง
แม่ยังคงสามารถให้ลูกกินนมแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว การผลิตน้ำนมจะลดลงหลังจากตั้งครรภ์ได้ระยะหนึ่ง
แม่ที่ให้ลูกกินนมแม่จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายๆ โรคลดลง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ
อ้างอิง
↑ Picciano M (2001). "Nutrient composition of human milk" . Pediatr Clin North Am . 48 (1): 53–67. PMID 11236733 .
↑ Kramer M, Kakuma R (2002). "Optimal duration of exclusive breastfeeding". Cochrane Database Syst Rev : CD003517. PMID 11869667 .
↑ 3.0 3.1 Baker R (2003). "Human milk substitutes. An American perspective". Minerva Pediatr . 55 (3): 195–207. PMID 12900706 .
↑ Agostoni C, Haschke F (2003). "Infant formulas. Recent developments and new issues". Minerva Pediatr . 55 (3): 181–94. PMID 12900705 .
↑ Riordan JM (1997). "The cost of not breastfeeding: a commentary" . J Hum Lact . 13 (2): 93–97. PMID 9233193 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-07-11. สืบค้นเมื่อ 2007-09-28 .
↑ Horton S (1996). "Breastfeeding promotion and priority setting in health" . PMID 10158457 .
↑ "Exclusive Breastfeeding" . WHO: Child and Adolescent Health and Development . สืบค้นเมื่อ 2006-05-03 .
↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 Gartner LM; และคณะ (2005). "Breastfeeding and the use of human milk" . Pediatrics . 115 (2): 496–506. doi :10.1542/peds.2004-2491 . PMID 15687461 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-08-26. สืบค้นเมื่อ 2007-09-28 .
↑ "Breastfeeding Guidelines" . Rady Children's Hospital San Diego. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2004-06-23. สืบค้นเมื่อ 2007-03-04 .
↑ 10.0 10.1 "Breastfeeding" . Centers for Disease Control and Prevention . สืบค้นเมื่อ 2007-01-23 .
↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 "Benefits of Breastfeeding" . U.S. Department of Health and Human Services . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-03-16. สืบค้นเมื่อ 2007-01-23 .
↑ Kull I, Wickman M, Lilja G, Nordvall S, Pershagen G (2002). "Breast feeding and allergic diseases in infants-a prospective birth cohort study" . Arch Dis Child . 87 (6): 478–81. PMID 12456543 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ [W H Oddy, senior research officer http://www.bmj.com/cgi/content/full/319/7213/815 Asthma BMJ 1999]
↑ [Oddy 2004 Journal of Asthma 2004 Sept. http://jhl.sagepub.com/cgi/content/abstract/19/3/250 เก็บถาวร 2010-06-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน A review of the effects of breastfeeding on respiratory infections, atopy, and childhood asthma]
↑ 15.0 15.1 Fort P, Moses N, Fasano M, Goldberg T, Lifshitz F (1990). "Breast and soy-formula feedings in early infancy and the prevalence of autoimmune thyroid disease in children". J Am Coll Nutr . 9 (2): 164–7. PMID 2338464 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Akobeng A, Ramanan A, Buchan I, Heller R (2006). "Effect of breast feeding on risk of coeliac disease: a systematic review and meta-analysis of observational studies" . Arch Dis Child . 91 (1): 39–43. PMID 16287899 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Rigas A, Rigas B, Glassman M, Yen Y, Lan S, Petridou E, Hsieh C, Trichopoulos D (1993). "Breast-feeding and maternal smoking in the etiology of Crohn's disease and ulcerative colitis in childhood" . Ann Epidemiol . 3 (4): 387–92. PMID 8275215 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Pratt H (1984). "Breastfeeding and eczema". Early Hum Dev . 9 (3): 283–90. PMID 6734490 .
↑ "Gastroenteritis" . Merck Manuals Online Medical Library . 1 February 2003. Retrieved 21 November 2006.
↑ Jacobsson L, Jacobsson M, Askling J, Knowler W (2003). "Perinatal characteristics and risk of rheumatoid arthritis". BMJ . 326 (7398): 1068–9. PMID 12750209 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Dettwyler K ; Stuart-Macadam P (1995). Breastfeeding: Biocultural Perspectives . Aldine Transaction. p. 131. ISBN 978-0-202-01192-9 .
↑ Chua S, Arulkumaran S, Lim I, Selamat N, Ratnam S (1994). "Influence of breastfeeding and nipple stimulation on postpartum uterine activity". Br J Obstet Gynaecol . 101 (9): 804–5. PMID 7947531 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Dewey K, Heinig M, Nommsen L (1993). "Maternal weight-loss patterns during prolonged lactation". Am J Clin Nutr . 58 (2): 162–6. PMID 8338042 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Lovelady C, Garner K, Moreno K, Williams J (2000). "The effect of weight loss in overweight, lactating women on the growth of their infants". N Engl J Med . 342 (7): 449–53. PMID 10675424 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
แหล่งข้อมูลอื่น