ความเป็นแม่เหล็ก
ความเป็นแม่เหล็ก (อังกฤษ: magnetism) ในทางฟิสิกส์ หมายถึง คุณสมบัติอย่างหนึ่งของวัสดุที่สามารถสร้างแรงดูดหรือผลักกับวัสดุอีกอย่างหนึ่งได้ วัสดุที่ทราบกันดีว่ามักจะมีความเป็นแม่เหล็กคือ เหล็ก เหล็กกล้า และโลหะบางชนิด อย่างไรก็ตาม วัสดุต่างๆ จะเกิดความเป็นแม่เหล็กมากหรือน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับสนามแม่เหล็ก(ดูในตารางที่ 1) ประเภท
ไดอะแม็กเนติกวัตถุจำพวกไดอะแมกเนติก (diamagnetic material) เป็นวัตถุที่แสดงคุณสมบัติแม่เหล็กในเชิงด้านกับสนามแม่เหล็กภายนอก ไม่มีโมเมนต์แม่เหล็กถาวรในโครงสร้างอะตอม โดยที่เมื่อมีสนามแม่เหล็กภายนอกกระทำต่ออะตอมของวัตถุ จะทำให้อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่เป็นวงโคจรรอบนิวเคลียสของอะตอมเสียสมดุล เกิดขั้วแม่เหล็กขนาดเล็กขึ้นในอะตอมขั้วแม่เหล็กจะต้านกับสนามแม่เหล็กภายนอก ทำให้เกิดผลในเชิงลบ วัตถุจำพวกนี้มีคุณสมบัติค่าสภาพรับไว้ในเชิงแม่เหล็กของวัตถุมีค่าเป็นลบ ตัวอย่างแร่ที่มีคุณสมบัติแม่เหล็กประเภทนี้ได้แก่ ควอตซ์ เกลือหิน แคลไซ เป็นต้น พาราแม็กเนติกวัตถุจำพวกพาราแมกเนติก (paramagnetic material) เป็นวัตถุที่เมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็กภายนอก วัตถุจะถูกเหนียวนำให้มีสภาพเป็นแม่เหล็ก นั่นคือ ในโครงสร้างอะตอมของวัตถุจำพวกนี้มีโมเมนต์แม่เหล็กถาวรประกอบอยู่ แต่การเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ (ดูในรูปที่ 1) ดังนั้นเมื่อถูกเหนียวนำจึงมีการเรียงตัวของโมเมนต์แม่เหล็กไปตามสนามแม่เหล็กที่มีห้องนำ การเรียงตัวจะไม่เป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์ และเมื่อนำสนามแม่เหล็กออกไป วัตถุนั้นก็จะไม่มีความเป็นแม่เหล็กอีกต่อไป วัตถุจำพวกนี้มีคุณสมบัติของสภาพรับไว้เชิงแม่เหล็กของวัตถุเป็นค่าบวกและมีค่าอยู่ระหว่าง วัตถุที่มีคุณสมบัติแม่เหล็กจำพวกนี้ได้แก่วัตถุทุกชนิดที่ไม่ใช่วัตถุจำพวกไดอะแมกเนติก เฟร์โรแม็กเนติกเฟอร์โรแมกเนติก (Ferromagnetism) เป็นสมบัติทางแม่เหล็กที่มีในวัสดุบางชนิด เช่น เหล็ก (Fe), โคบอลต์ (Co), และนิกเกิล (Ni) ซึ่งสามารถแสดงแรงแม่เหล็กถาวรได้โดยไม่ต้องอาศัยสนามแม่เหล็กภายนอก โดยสมบัตินี้เกี่ยวข้องกับการเรียงตัวของโมเมนต์แม่เหล็กในระดับอะตอม ซึ่งอยู่ภายในโครงสร้างที่เรียกว่า โดเมนแม่เหล็ก (Magnetic Domains) การค้นพบสมบัติเฟอร์โรแมกเนติก สมบัติเฟอร์โรแมกเนติกได้รับการศึกษาและมากขึ้นในศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ 1. วิลเลียม กิลเบิร์ต (William Gilbert) โดยในปี 1600 กิลเบิร์ตเป็นผู้เริ่มต้นศึกษาคุณสมบัติของแม่เหล็กในหนังสือ De Magnete ซึ่งวางรากฐานสำหรับการศึกษาแม่เหล็กในอนาคต 2. ปิแอร์ คูรี (Pierre Curie) ในช่วงปี1895-1900 ปิแอร์ คูรีค้นพบว่าแม่เหล็กเฟอร์โรจะสูญเสียสมบัติแม่เหล็กเมื่ออุณหภูมิสูงกว่าจุดวิกฤตที่เรียกว่า อุณหภูมิคูรี (Curie Temperature) ซึ่งตั้งชื่อตาม ปิแอร์ คูรี 3. เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heisenberg) ในปี 1928 ไฮเซนเบิร์กได้อธิบายสมบัติเฟอร์โรแมกเนติกในเชิงกลศาสตร์ควอนตัมโดยใช้แนวคิดของ แรงแลกเปลี่ยน (Exchange Interaction) ซึ่งช่วยอธิบายการจัดเรียงตัวของโมเมนต์แม่เหล็กในวัสดุเฟอร์โรแมกเนติก คุณสมบัติสำคัญของวัสดุเฟอร์โรแมกเนติก 1. โมเมนต์แม่เหล็กสุทธิสูง ในแต่ละโดเมนแม่เหล็กโมเมนต์แม่เหล็กเรียงตัวในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดโมเมนต์แม่เหล็กรวมที่แข็งแรง 2. อุณหภูมิคูรี (Curie Temperature) เมื่อวัสดุมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดนี้ โมเมนต์แม่เหล็กในโดเมนจะกระจัดกระจายและสูญเสียสมบัติทางแม่เหล็ก 3. ฮิสเทอรีซิส (Hysteresis) หลังจากนำสนามแม่เหล็กภายนอกออก วัสดุเฟอร์โรแมกเนติกยังคงมีแรงแม่เหล็กหลงเหลืออยู่ กลไกการเกิดสมบัติเฟอร์โรแมกเนติก สมบัติเฟอร์โรแมกเนติกเกิดจาก แรงแลกเปลี่ยน (Exchange Interaction) ซึ่งเป็นผลจากกลศาสตร์ควอนตัมที่ทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมที่อยู่ใกล้กันจัดเรียงตัวแบบขนานในทิศทางเดียวกันเพื่อลดพลังงานรวมของระบบ ส่งผลให้วัสดุมีสนามแม่เหล็กรวมที่แข็งแกร่ง การใช้งานวัสดุเฟอร์โรแมกเนติก 1. แม่เหล็กถาวร: ใช้ในมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และลำโพง 2. หม้อแปลงไฟฟ้า: ใช้ในแกนหม้อแปลงเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน 3. อุปกรณ์บันทึกข้อมูล: เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือแถบบันทึกข้อมูล[1]
1. เฟอร์โรแมกเนติกแบบบริสุทธิ์ (Pure Ferromagnetism) เป็นแม่เหล็กที่วัสดุมีโมเมนต์แม่เหล็กในทุกส่วน (หรือทุกโดเมน) จัดเรียงตัวในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทำให้วัสดุแสดงสมบัติแม่เหล็กอย่างชัดเจน โดยสมบัตินี้พบในโลหะบางชนิด เช่น เหล็ก (Fe), นิกเกิล (Ni) และ โคบอลต์ (Co) โดยในปี ค.ศ. 1895 Pierre Curie ได้ค้นพบอุณหภูมิที่เรียกว่า Curie Temperature ซึ่งเป็นจุดที่วัสดุเฟอร์โรแมกเนติกสูญเสียสมบัติแม่เหล็กเมื่อถูกให้ความร้อนจนเกินอุณหภูมิดังกล่าว และจากการค้นพบนี้ช่วยอธิบายว่าเฟอร์โรแมกเนติกเกิดจากการจัดเรียงตัวของโมเมนต์แม่เหล็กภายในโครงสร้างของอะตอม 2. แอนติเฟอร์โรแมกเนติก (Antiferromagnetism) เป็นแม่เหล็กที่โมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมในวัสดุจัดเรียงตัวในทิศทางตรงข้ามกันแต่มีขนาดเท่ากัน ซึ่งส่งผลให้สนามแม่เหล็กสุทธิของวัสดุเท่ากับศูนย์ วัสดุแอนติเฟอร์โรแมกเนติกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบ เช่น แมงกานีสออกไซด์ (MnO) และ นิกเกิลออกไซด์ (NiO) โดยในปี ค.ศ. 1936 Louis Néel ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับสมบัตินี้ ซึ่งเขาอธิบายว่าในโครงสร้างผลึกบางประเภท โมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมสามารถเรียงตัวในลักษณะดังกล่าวได้ และงานของเขาในด้านนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1970 3. เฟอร์ริแมกเนติก (Ferrimagnetism) เป็นแม่เหล็กที่คล้ายกับแอนติเฟอร์โรแมกเนติก แต่มีความแตกต่างที่เด่นชัดคือโมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมในโครงสร้างจะเรียงตัวในทิศทางตรงข้ามกัน แต่มีขนาดไม่เท่ากัน ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กสุทธิที่ไม่เป็นศูนย์ โดยวัสดุประเภทนี้มักเป็นสารประกอบออกไซด์ เช่น แมกนีไทต์ (Fe₃O₄) และ เฟอร์ไรต์ (MnFe₂O₄) ซึ่งวัสดุเฟอร์ริแมกเนติกมักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตหัวอ่านฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์[2] |