Share to:

 

ฉันท์

ฉันท์ เป็นลักษณ์หนึ่งของการประพันธ์ประเภทร้อยกรองในวรรณคดีไทยที่บังคับเสียงหนัก - เบาของพยางค์ ที่เรียกว่า ครุ - ลหุ ฉันท์ในภาษาไทยรับแบบมาจากประเทศอินเดีย ตำราฉันท์ที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียเป็นภาษาสันสกฤต คือ ปิงคลฉันทศาสตร์ แต่งโดยปิงคลาจารย์ ส่วนตำราฉันท์ภาษาบาลีเล่มสำคัญที่สุดได้แก่ คัมภีร์วุตโตทัยปกรณ์ ผู้แต่งคือ พระสังฆรักขิตมหาสามี เถระชาวลังกา แต่งเมื่อ พ.ศ. 1703 เป็นที่มาของ คัมภีร์วุตโตทัย ซึ่งเป็นต้นตำหรับการแต่งฉันท์ของไทย[1] เมื่อคัมภีร์วุตโตทัยแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย กวีจึงได้ปรับปรุงให้เหมาะกับขนบร้อยกรองไทย เช่น จัดวรรค เพิ่มสัมผัส และเปลี่ยนลักษณะครุ-ลหุแตกต่างไปเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความไพเราะของภาษาไทยลงไป

ฉันท์ ในคัมภีร์วุตโตทัยได้แปลงเป็นฉันท์ไทยครบทั้ง 108 ชนิด ในสมัยรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยนายฉันท์ ขำวิไล เป็นผู้ดัดแปลงเพิ่มเติมจนครบถ้วนและจัดพิมพ์รวมเล่มทั้งหมดในปี พ.ศ. 2474 ใช้ชื่อว่า ฉันทศาสตร์

นอกเหนือจากฉันท์ทั้ง 108 ชนิดดังกล่าวแล้ว กวีได้ทดลองประดิษฐ์ฉันท์ในรูปแบบใหม่ ๆ โดยดัดแปลงจากฉันท์เดิมบ้าง โดยเลียนเสียงเครื่องดนตรีบ้าง หรือโดยแรงบันดาลใจจากฉันท์ต่างประเทศ หรือชื่อบุคคลสำคัญบ้าง อย่างไรก็ตาม ฉันท์ที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ล้วนจัดอยู่ในประเภทฉันท์วรรณพฤติทั้งสิ้น[2]

ฉันท์ในคัมภีร์วุตโตทัย

มีทั้งสิ้น 108 ชนิด แบ่งเป็น ฉันท์วรรณพฤติ ซึ่งบังคับพยางค์ จำนวน 81 ชนิด กับ ฉันท์มาตราพฤติ ซึ่งบังคับมาตรา จำนวน 27 ชนิด

ฉันท์วรรณพฤติ

ฉันท์วรรณพฤติ มีทั้งสิ้น 81 ชนิด บังคับจำนวนพยางค์ ตั้งแต่ บาทละ 6 พยางค์ ถึง 25 พยางค์ แต่ ฉันท์ที่คนไทยนิยมแต่ง มีเพียงไม่กี่ชนิด ได้แก่

จิตรปทาฉันท์ 8

หนึ่งบทมี 4 บาท บาทละ 8 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 4 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอน

ลักษณะครุ-ลหุเหมือนกับทุกบาท คือ ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

เหตุพินาศ อนุศาสน์ แสดง
ฉัพพิธะแจง นรปรีชา
เชิญมละโทษ ดุจพรรณนา
จักยศถา วรสวัสดี
ฉันทภิปราย อธิบายบท
คามภิรพจน์ ศุภสารศรี
จิตระปทา พฤตินามมี
จินตกวี รนิพนธ์แถลง
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

วิชชุมมาลาฉันท์ 8

วิชชุมมาลาฉันท์ มีความหมายว่า "ระเบียบแห่งสายฟ้า" ประกอบด้วยครุล้วน จึงใช้บรรยายความอย่างธรรมดา

หนึ่งบทมี 4 บาท บาทละ 8 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 4 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอน

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ครุ-ครุ ครุ-ครุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

แรมทางกลางเถื่อน ห่างเพื่อนหาผู้
หนึ่งในนึกดู เห็นใครไป่มี
หลายวันถั่นล่วง เมืองหลวงธานี
นามเวสาลี ดุ่มเดาเข้าไป
ผูกไมตรีจิต เชิงชิดชอบเชื่อง
กับหมู่ชาวเมือง ฉันอัชฌาสัย
เล่าเรื่องเคืองขุ่น ว้าวุ่นวายใจ
จำเป็นมาใน ด้าวต่างแดนตน
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

มาณวกฉันท์ 8

มาณวกฉันท์ มีความหมายว่า "ประดุจเด็กหนุ่ม" ใช้แต่งบรรยายความที่รวดเร็ว

หนึ่งบทมี 4 บาท บาทละ 8 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 4 คำ ส่งสัมผัสแบบกลอน

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม
หนึ่งณนิยม ท่านทวิชงค์
เมื่อจะประสิทธิ์ วิทยะยง
เชิญวรองค์ เอกกุมาร
เธอจรตาม พราหมณไป
โดยเฉพาะใน ห้องรหุฐาน
จึงพฤฒิถาม ความพิสดาร
ขอ ธ ประทาน โทษะและไข
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

ปมาณิกฉันท์ 8

หนึ่งบทมี 4 บาท บาทละ 8 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 4 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอน

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาทคือ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ประดิษฐ์ประดับ ประคับประคอง
ละเบงละบอง จำแนกจำนรร
ระเบียบและบท สุพจน์สุพรรณ์
จะเฉิดจะฉัน วิเรขวิไล
ลิลิตลิลาศ มิคลาดมิคล้อย
ก็เรียบก็ร้อย อำพนอำไพ
จะจัดจะแจง ผิแขงผิไข
แถลงไถล ก็เสื่อมก็ทราม
(ฉันทศาสตร์)

อุปัฏฐิตาฉันท์ 11

หมายถึงฉันท์ที่กล่าวสำเนียงอันดังก้องให้ปรากฏ

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม
พราหมณ์เวทอุดม ธก็ลอบแถลงการณ์
ให้วัลลภะชน คมะดลประเทศฐาน
กราบทูลนฤบาล อภิเผ้ามคธไกร
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

อินทรวิเชียรฉันท์ 11

อินทรวิเชียรฉันท์ มีความหมายว่า "ฉันท์ที่มีลีลาดุจสายฟ้าของพระอินทร์" เป็นฉันท์ที่นิยมแต่งกันมากที่สุด มีลักษณะและจำนวนคำคล้ายกับกาพย์ยานี 11 แต่ต่างกันเพียงที่ว่าอินทรวิเชียรฉันท์ มีข้อบังคับ ครุและลหุ

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศะเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังก็หลั่งโล- หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ ตละล้วนระรอยหวาย
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

อุเปนทรวิเชียรฉันท์ 11

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กละห์เหตุยุยงเสริม
กระหน่ำและซ้ำเติม นฤพัทธะก่อการ
ละครั้งระหว่างครา ทินะวาระนานนาน
เหมาะท่าทิชาจารย์ ธก็เชิญเสด็จไป
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

อุปชาติฉันท์ 11

หนึ่งบทมี 4 บาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ

  • บาทที่ 1 และบาทที่ 4 เป็นอุเปนทรวิเชียรฉันท์ คือ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ
  • บาทที่ 2 และบาทที่ 3 เป็นอินทรวิเชียรฉันท์ คือ ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

พิธีณะฉันทศาสตร์ อุปชาตินามเห็น
เชลงลักษณลำเค็ญ กลนัยสลับกัน
นาเนกะบัณฑิตย์ จะประกิจประกอบฉันท์
พินิจฉบับบรรพ์ บทแน่ตระหนักใจ
(ประชุมจารึกวัดประเชตุพนฯ)

สาลินีฉันท์ 11

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

พราหมณ์ครูรู้สังเกต ประจักษ์เหตุตระหนักครัน
ราชาวัชชีสรร พะจักสู่พินาศสม
ยินดีบัดนี้กิจ จะสัมฤทธิ์มนารมณ์
ทำมาด้วยปรากรม และอุตสาหะแห่งตน
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

สวาคตาฉันท์ 11

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 7 พยางค์ วรรคหลัง 4 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ข้าสดับสุมะทะนา วจะว่าวอน
ใจก็นึกกรุณะหล่อน ฤดิสงสาร
เล็งก็รู้ณพะหุเหต ทุขะเภทพาล
ใคร่จะช่วยและอุปะการ ยุวะนารี
มัทนะพาธา, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

วังสัฏฐฉันท์ 12

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 12 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 7 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

อนี้และนามวัง สฐะดั่งฉบับนิพนธ์
ประกอบวิธียล บทแบบก็แยบขบวน
ดิเรกะวิญญู ชนะรู้แลใคร่แลครวญ
สนุกเสนอควร สุขจิตรประดิษฐ์ณะฉันท์
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

อินทวงศ์ฉันท์ 12

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 12 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 7 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ราชาประชุมดำ- ริหะโดยประการะดัง
ดำรัสตระบัดยัง วจนัตถ์ปวัตติพลัน
ให้ราชภัฏโป ริสะไปขมีขมัน
หาพราหมณ์ทุพลอัน บุระเนระเทศะมา
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

โตฎกฉันท์ 12

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 12 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

มะทะนาดนุรัก วรยอดยุพะดี
และจะรักบมิมี ฤดิหน่ายฤระอา
ผิวะอายุจะยืน ศะตะพรรษะฤกว่า
ก็จะรักมะทะนา บมิหย่อนฤดิหรรษ์
มัทนะพาธา, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ภุชงคประยาตฉันท์ 12

ภุชงคประยาตฉันท์ 12 มีความหมาย "งูเลื้อย" มีทำนองที่สละสลวย มักใช้แต่งกับเนื้อหาที่มีการต่อสู้ บทสดุดี บทชมความงาม บทถวายพระพร และบทสนุกสนาน นอกจักนั้นยังสามารถใช้แต่งบรรยายความให้รวดเร็วได้

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 12 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ลหุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ทิชงค์ชาติ์ฉลาดยล คเนกลคนึงการ
กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย
เหมาะแก่การจะเสกสัน ปวัตติ์วัญจะโนบาย
มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัคคิ์สนธิ์สโมสร
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

กมลฉันท์ 12

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 12 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคละ 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ทวิโลกยาฤๅคุณ ก็บุลยบันดาล
อภิมงคลาลาญ ทุวิบากวิบัติภัย
คณะฉันทสรรค์นาม กรตามบุราณไข
บทกลอนกระมลไพ เราะหพร้องลบองแสดง
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

วสันตดิลกฉันท์ 14

วสันตดิลกฉันท์ มีความหมายว่า "ฉันท์ที่มีลีลาดังจอมเมฆในฤดูใบไม้ผลิ (ฤดูฝน)" เป็นหนึ่งในฉันท์ที่นิยมแต่งกันมากที่สุด เนื่องจากอ่านแล้วฟังได้รื่นหู รู้สึกซาบซึ้งจับใจ มักใช้แต่งชมความงาม และสดุดีความรักหรือของสูง

หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 14 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 8 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกาพย์

ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

แสงดาววะวาวระกะวะวับ ดุจะดับ บ เด่นดวง
แขลับก็กลับพิภพะสรวง มิสะพรึบพะพราวเพรา
เคยเห็นพระเพ็ญ ณ รัศมี รัชนีถนัดเนา
เหนือนั่นแน่ะพลันจะสละเงา กลเงินอร่ามงาม
เหมือนพระจันทร์ข้างแรม, ชิต บุรทัต

มาลินีฉันท์ 15

ชื่อฉันท์แปลว่า ดอกไม้ เป็นฉันท์ที่แต่งยากแต่ทว่ามีความงามประดุจดอกไม้ ทำนองฉันท์สั้นกระชับในตอนต้น แล้วราบรื่นในตอนปลาย เป็นฉันท์ที่มีท่วงทำนองเคร่งขรึมน่ายำเกรง กวีมักใช้แต่งเพื่ออวดความสามารถในการใช้ศัพท์และเป็นเชิงกลบท

หนึ่งบทมี 15 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคแรก 8 พยางค์ วรรคสอง 4 พยางค์ วรรคสุดท้าย 3 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ-ครุ ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

กษณะทวิชะรับฐา นันดร์และที่วา
จกาจารย์
นิรอลสะประกอบภาร พีริโยฬาร
และเต็มใจ
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

ประภัททกฉันท์ 15

หนึ่งบทมี 15 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรแรก 7 พยางค์ วรรคสอง 4 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 4 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

สุวุติปภัททกา รจิตนา
มกรประกาศ
บทคณฉันทศาสตร์ นิกรปราชญ์
ประพฤติเพียร
พจนพิจิตรเรียน อลสะเพียร
มโนวิจารณ์
วิบุลยปรีชญาณ พลจะชาญ
ฉลาดนิพนธ์
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

วาณินีฉันท์ 16

หนึ่งบทมี 16 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคแรก 7 พยางค์ วรรคสอง 4 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 5 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

นรนฤนาทภิบาล กลประมาณ
ประเล่ห์อุประมา
จะประพฤติราชกิจา นุกิจสา \
ธุธรรม์บอาธรรม์
บุพบทวากยวรร ณวุดิฉัน
ทวณินีนาม
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

กุสุมิตลดาเวลลิตาฉันท์ 18

หนึ่งบทมี 18 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคแรก 11 พยางค์ วรรคสอง 4 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 3 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

เสวกพึงศึกษาณสุวสดิดอุด-
ดมดิเรกดุจ วิการกถา
ฉันท์นี้ธีเรศอ้างกุสุมิตลดา
เวลลิตานา มกรขนาน
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

เมฆวิปผุชชิตาฉันท์ 19

หนึ่งบทมี 19 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรแรก 12 พยางค์ วรรคสอง 4 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 3 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ลหุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

ขบวรเลบงเพรงพากย์พร้องก็เพราะพจนกลอน
เสนอกระวีวร ทฤษฎี
ลบองเมฆวิปผุชชาติตาสุวุฒิกลมี
ฉันทคัมภีร์ พฤโตทัย
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

สัททุลลวิกกีฬิตฉันท์ 19

สัททุลลวิกกีฬิตฉันท์ มีความหมาย "เสือผยอง" ใช้แต่งบทไหว้ครู บทโกรธ และบทยอพระเกียรติ

หนึ่งบทมี 19 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคแรก 12 พยางค์ วรรคสอง 5 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 2 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ครุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

พร้อมเบญจางคประดิษฐ์สฤษติตษฎี
กายจิตร์วจีไตร วาร
ไหว้คุณพระสุคตอนาวรณญาณ
ยอดศาสดาจารย์ มุนี
อีกคุณสุนทรธรรมะคัมภิรวิธี
พุทธ์พจน์ประชุมตรี ปิฎก
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต

อีทิสังฉันท์ 20

อีทิสังฉันท์ 20 เป็นฉันท์ที่มีจังหวะกระแทกกระทั้น ฉะนั้นจึงใช้แต่งบรรยายความรัก ความวิตก และความโกรธ

หนึ่งบทมี 20 พยางค์ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรแรก 9 พยางค์ วรรคสอง 8 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 3 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

อ้าอรุณแอร่มระเรื่อรุจี
ประดุจมโนภิรมย์ระตี ณ แรกรัก
แสงอรุณวิโรจน์นภาประจักษ์
แฉล้มเฉลาและโศภินัก ณ ฉันใด
หญิงและชาย ณ ยามระตีอุทัย
สว่าง ณ กลางกมลละไม ก็ฉันนั้น
มัทนะพาธา, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

สัทธราฉันท์ 21

ฉันท์ที่มีลีลาวิจิตรประดุจสตรีเพศผู้ประดับด้วยพวงมาลัย

หนึ่งบทมี 21 พยางค์ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรแรก 7 พยางค์ วรรคสอง 7 พยางค์ วรรคสาม 4 พยางค์ และวรรคสุดท้าย 3 พยางค์ ส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิก

ลักษณะครุ-ลหุ คือ

ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ลหุ-ครุ
ครุ-ลหุ-ครุ-ครุ ลหุ-ครุ-ครุ

ตัวอย่างคำประพันธ์

อรรถแสดงแห่งเหตุพิเศษผล นิกรวิธุรชน
เชิญประกอบกล ประกาศสาร
รังสรรค์ฉันทพากยโบราณ บุนรจนวิถาร
สัทธราขนาน ณนามกร
(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ)

ฉันท์มาตราพฤติ

ฉันท์มาตราพฤติ เป็นฉันท์ที่บังคับมาตรา โดยกำหนดให้พยางค์เสียงหนักคือ พยางค์ครุเป็นพยางค์ละ 2 มาตรา ส่วนพยางค์เสียงเบา คือ พยางค์ลหุ เป็นพยางค์ละ 1 มาตรา ในคัมภีร์วุตโตทัยมีฉันท์มาตราพฤติ 27 ชนิด ตั้งแต่บทละ 45 มาตรา จนถึง 68 มาตรา แบ่งเป็น 4 พวกใหญ่ ๆ คือ

อริยชาติฉันท์

มี ๗ ชนิด ได้แก่ อริยฉันท์, อริยสามัญญฉันท์, อริยปัฐยาฉันท์, อริยวิปุลาฉันท์, อริยจปลาฉันท์, อริยมุขจปลาฉันท์ และ อริยชฆนจปลาฉันท์

คีติชาติฉันท์

มี ๔ ชนิด ได้แก่ คีติฉันท์, อุปคีติฉันท์, อูคีติฉันท์ และอริยคีติฉันท์

เวตาฬิยชาติฉันท์

มี ๙ ชนิด ได้แก่ เวตาฬิยฉันท์, โอปัจฉันทสกะฉันท์, อาปาตลิฉันท์, ลักขณันตฉันท์, อุทิจจวุตติฉันท์, ปัจจวุตติฉันท์, ปวัตตกฉันท์, อปรันติกฉันท์ และจารุหาสินีฉันท์

มัตตาสมกชาติฉันท์

มี ๗ ชนิด ได้แก่ อจลฐิติฉันท์, มัตตาสมกฉันท์, วิสิโลกฉันท์, วานวาสิกฉันท์, จิตราฉันท์, อุปจิตราฉันท์ และปาทากุลกฉันท์

ฉันท์มาตราพฤติเป็นฉันท์ที่กำหนดมาตรา ไม่กำหนดคณะฉันท์ ผู้แต่งสามารถพลิกแพลงอักษรใช้ได้หลายแบบในมาตราที่กำหนด ทำให้ดูขาดระเบียบ และไม่กำหนดฉันทลักษณ์ที่แน่นอนลงได้ รวมทั้งกำหนดจังหวะอ่านลำบาก กวีจึงไม่นิยมใช้ฉันท์มาตราพฤติในงานกวีนิพนธ์ จะมีก็แต่ในตำราฉันท์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเท่านั้น[2]

ฉันท์ประดิษฐ์ขึ้นใหม่

การประดิษฐ์ฉันท์ใหม่ของกวีตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่ามี 2 ลักษณะ[1]คือ

  • ฉันท์ที่ประดิษฐ์จากฉันท์เดิมในคัมภีร์วุตโตทัย
  • ฉันท์ที่ประดิษฐ์ใหม่จากแหล่งที่มาอื่น

ฉันท์ที่ประดิษฐ์จากฉันท์เดิมในคัมภีร์วุตโตทัย

ฉันท์ที่ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยอยุธยาและปรากฏชื่อในจินดามณี

มี ๓ ชนิด คือ วิเชียรดิลกฉันท์, ดิลกวิเชียรฉันท์ และโตฎกดิลกฉันท์

  • วิเชียรดิลกฉันท์ เกิดจากการผสมระหว่างอินทรวิเชียรฉันท์ กับวสันตดิลกฉันท์ หนึ่งบทมี ๒ บาท ๒๕ พยางค์ บาทแรกเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ พยางค์ บาทที่ ๒ เป็นวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ พยางค์ มีบังคับระหว่างบาทกับระหว่างบท ตัวอย่าง
เคยพาดพระหัตถ์เหนือ(๕) อุรราชกัลยา(๖)
กอดเกี้ยวคือกาญจนลดา(๘) อันโอบอ้อมทุมามาลย์(๖)
พิศพักตรมณฑลศศิ บริสุทธิเปรียบปาน
เปรมร่วมมฤธูรสุบันดาน รดีดัดบันเจิดใจ
(จินดามณี)
  • ดิลกวิเชียรฉันท์ เกิดจากการผสมระหว่างวสันตดิลกฉันท์ กับอินทรวิเชียรฉันท์ หนึ่งบทมี ๒ บาท ๒๕ พยางค์ บาทแรกเป็นวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ พยางค์ บาทที่ ๒ เป็นอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ พยางค์ มีบังคับสัมผัสระหว่างบาทกับสัมผัสระหว่างบท ตัวอย่าง
อุรประทับอรถนัง(๘) บรามัสสิวรไวย(๖)
จุมพิตริมไร(๕) โอษฐคันฐกัลยา(๖)
บริสังคติพระอุระองค์ อานุชพนิดา
สมสนุกนิเสน่หา รสราคเอมอร
(จินดามณี)
  • 'โตฎกวิเชียรฉันท์ เกิดจากการผสมระหว่างโตฎกฉันท์ กับวสันตดิลกฉันท์ หนึ่งบทมี ๒ บาท ๒๖ พยางค์ บาทแรกเป็นโตฎกฉันท์ ๑๒ พยางค์ บาทที่ ๒ เป็นวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ พยางค์ มีบังคับสัมผัสระหว่างบาทกับสัมผัสระหว่างบท ตัวอย่าง
วรรังษิประไพ(๖) บุรโชติพรายพรรณ(๖)
เสตาเจนิรัตนสรรพ(๘) ปริโตปิลังโค(๖)
หรคัณหปิงคำ กปิโลโลปิตโต
สิหัษรโทโพอรุโณ ภาศรัศศมี
(จินดามณี)

ฉันท์ที่ประดิษฐ์ในสมัยรัตนโกสินทร์

  • กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้ทรงประดิษฐ์ฉันท์ขึ้น ๕ ชนิด ในพระนิพนธ์เฉลิมเกียรติกษัตรีคำฉันท์ โดยผสมฉันท์ ๔ ชนิดได้แก่ อินทรวิเชียรฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ ภุชงคปยาตฉันท์ และอินทวงศ์ฉันท์ เข้าด้วยกันเกิดเป็น ภุชพงศ์ฉันท์ (ผสมระหว่างภุชงคปยาตฉันท์กับอินทวงศ์ฉันท์) วสันตวงศ์ฉันท์ (ผสมระหว่างวสันตดิลกฉันท์กับอินทวงศ์ฉันท์) วสันตปยาตฉันท์ (ผสมระหว่างวสันตดิลกฉันท์กับภุชงคปยาตฉันท์) ภุชงควิเชียรฉันท์ (ผสมระหว่างภุชงคปยาตฉันท์กับอินทรวิเชียรฉันท์) และอินทรลิลาตฉันท์ (ผสมระหว่างอินทรวิเชียรฉันท์กับภุชงคปยาตฉันท์)

ตัวอย่างวสันตวงศ์ฉันท์ 15

ผัวเมียพม่าทุพละพาศน์ หินะชาตินิวาศพนอม
ขัดแคลนนิแสนทุรนะตรอม อุระเท้งเขยงขยัน
ทำตาลก็นานนิตยะเพียง ผละเลี้ยงชีวินละวัน
เกิดบุตรีก็สุดจะปิยะฉัน ชิวะพ่อพะนอถนอม
(เฉลิมเกียรติกษัตรีคำฉันท์)

ตัวอย่างอินทรลิลาตฉันท์ 11

ผ่านฟ้าพญาเสือ ดุร้ายเหลือและโลภโกง
เสมือนต้อนตะโพงโขลง พศกหาภุกาเมนทร์
ไทเอือนพระเหมือนม่าน เพราะบักอานกะการเกณฑ์
เดือดดาลกะบาลเบน ขบถไท้ผิใครชวน
(เฉลิมเกียรติกษัตรีคำฉันท์)
ราตรีก็แม่นมี ขณะดีและร้ายปน
ไป่ผิดกะคนคน คุณโทษประโยชน์ถม
ราตรีกลีกลพิโรธ หฤโหดกระหึมลม
มืดตื้อกระพือพิรุณพรม และฤเราจะแยแส
(โคลงกลอนของครูเทพ เล่ม ๒)

ตัวอย่างคำประพันธ์

สะพรึบสะพรั่ง
ณหน้าและหลัง ณซ้ายและขวา
ละหมู่ละหมวด ก็ตรวจก็ตรา
ประมวลกะมา สิมากประมาณ
นิกายเสบียง
ก็พอก็เพียง พโลปการ
และสัตถภัณ ฑสรรพภาร
จะยุทธราญ กะเรียกระดม
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต
ความลับจะดำมืด ความชืดจะชินชา
ด้วยเล่ห์ ณ เวลา มองฟ้าสิอาจม
คนไทยไฉนเล่า โง่เง่าและงายงม
หลงชื่นระรื่นชม นานนมนิยมมา
ต่างเห็นจะเป็นเหยื่อ เฝ้าเชื่อและบูชิต
ยิ่งคาดอนาถผิด เจ็บจิตอนิจจา
ฝังปลูกกระดูกผี กี่ปีก็เปรมปรา
โคตรใครจะไคลคลา ไพร่ฟ้าสิหน้าเขียว
สามแพร่งชีวิตคำฉันท์, คมทวน คันธนู

ฉันท์ที่ประดิษฐ์ใหม่จากแหล่งที่มาอื่น

ชโยสยาม ณ ยามจะรุ่น สยามดรุณจะเร็วเจริญ
ณ คราวจะเรียนก็เพียรจะเพลิน ฤ ใครจะเกินสยามดรุณ
กุมาระไทยไฉนจะหลง จะลืมพระองคะทรงสกุล
ยามะรัฐอุบัติเพราะบุญ พระเดชพระคุณพระราชะวงศฯ
ณยามสายัณห์ตะวันย้อยต่ำ เถอะเร่งเท้าตำจะค่ำแล้วหนอ
ตะแล้กแต้กแต้กจะแหลกแล้วพ่อ กระด้งเขารอจะขอรับไป
บุรุษรอทีสตีเร่งเท้า บุรุษยั่วเย้ากระเซ้าเสียงใส
กระเดื่องตำข้าวก็กราวเสียงไกล สนุกน้ำใจสมัยราตรี
โอ้องค์พระทรงสมญา "ปิยมหาจุฬาลงกรณ์"
ไทยสามิภักดิ์ภูธร หทยเทอดพระเลิศเลอธรรม์
แสงสูริย์จรูญจำรัส รพิประภัสสร์ก็เพียงกลางวัน
แสงโสมชโลมแหล่งสรรพ์ ภพอร่ามก็ยามกลางคืน
รวมปฐมพระจักริวงศ์ วีระทรงบำราบอมิตร
เบญจมงค์วรงค์มหิทธิ์ ปิยะราชผนิตสยาม
ดั่งพระเนาวมงค์พระนาม ไท้พระภัทร "ภูมิพลฯ"
ครบฉนำเฉลิมพระชนม์ ปกประชาพิเศษพิชัย
รพีพัฒนศักดิ์ พระเอกอัคคุณ
อร่ามเรือง ณ อรุณ สถิตทอนิติธรรม
ละครวิทยุ ประลุวิทยานันท์
กระแสส่งนภาพลัน ระกะสายกระจายเสียง
มิเปลืองฉากธนะ ผิแสดงก็สรรเพียง
ประโลมโลกนิยายเรียง รจเรขรำพันครวญ
สยามชาติเจริญรุ่ง คติมุ่งจรุงมั่น
วิบูลย์สุขขจายครัน ศุภนันทนาการ
ผดุงกิจการแผ้ว ก่อทแกล้ววิวัฒน์งาน
สฤษฎีวิถีภาร ฐิติสานลุมั่นคง
  • พรหมเทพ ชัยกิตติวณิชย์ ประดิษฐ์ฉันท์ใหม่ คือ สุริยดิลกฉันท์ เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 โดยผสมผสานวสันตดิลกฉันท์กับกลอนวะกะหรือทังกะของญี่ปุ่น กล่าวคือ สองวรรคสุดท้ายจบคล้ายกลอนทังกะ แต่ใช้จำนวนพยางค์ 8 พยางค์ให้เท่ากับวรรคแรกของวสันตดิลกฉันท์ ในขณะที่ในกลอนทังกะ 2 วรรคสุดท้ายมีจำนวนพยางค์วรรคละ 7 พยางค์ญี่ปุ่น ตัวอย่าง
ในศุภวารติถิมาส นรราษฏร์ก็จงรัก
แต่งปาฏลีสตุติภัก ดิเฉลิมพระชนมา
องค์เทพรัตนสุดา พรมังคลาฐิตะนิรันดร์
  • ภูวรินทร์ กนกพรไพบูลย์ ประดิษฐ์ฉันท์ใหม่ คือ ภูวรอินทรฉันท์ ๑๖ เป็นฉันท์ที่มีรากฐานมาจากอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ และมีจำนวนคำเหมือนกลอน ๘ โดยที่ ๑ บท มี ๔ วรรค และในแต่ล่ะวรรคมี ๘ คำ โดยที่วรรคแรกของภูวรอินทรฉันท์จะนำวรรคที่ ๑ ของอินทรวิเชียรฉันท์มา และนำ ๓ คำแรกของวรรคที่สองมาต่อท้าย และวรรคที่สองของภูวรอินทรฉันท์จะนำวรรคที่ ๑ ของอินทรวิเชียรฉันท์มาและนำ ๓ คำสุดท้ายของวรรคที่สองมาต่อท้าย ส่วนวรรคที่ ๓ และ ๔ จะเหมือนกับวรรคที่ ๑ และ ๒ ตามลำดับ ใน ๑ บท
    • ตัวอย่าง
แก้วกัลยาสวยบริสุทธิ์ ความงามฤดีผุดสกาวใส
ผิวพรรณอนงค์นางระอุใจใจ นวลขาวมิใครเทียบบ่เทียมเคียง
ปรางเจ้ากมลเย้าจิตแผ้ว วาจาก็เพริศแพร้วระรื่นเสียง
ทุมถันระริกตั้งอุระเรียง ทำได้พินิจเพียงมิได้ยล

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 กวีนิพนธ์ไทย ๑ - ๒, สุภาพร มากแจ้ง, กรุงเทพฯ, โอเดียนสโตร์, 2539.
  2. 2.0 2.1 ครรภครรลองร้อยกรองไทย, กรมศิลปากร, กรุงเทพ, พ.ศ. 2544, หน้า 265.
Kembali kehalaman sebelumnya