ชุดยิง (หน่วยทหาร)
ชุดยิง (อังกฤษ: fireteam หรือ fire team) เป็นหน่วยรองทางทหารขนาดเล็กของทหารราบสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหลักนิยมทางยุทธ์วิธีของ "ความริเริ่มของนายทหารชั้นประทวน" (NCO initiative), "การรบผสมเหล่า" (combined arms), "การเฝ้าระวังเป็นห้วง" (bounding overwatch) และ "การยิงประกอบการเคลื่อนที่" (fire and movement) ในการรบ[2] ขึ้นอยู่กับความต้องการของภารกิจ รูปแบบ "มาตรฐาน" ของชุดยิงประกอบไปด้วสมาชิกสี่คนหรือน้อยกว่านั้น ได้แก่ พลยิงอาวุธกล, พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก, พลปืนเล็ก และผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดยิง บทบาทหน้าที่ของหัวหน้าชุดยิงหรือการดูแลให้ชุดยิงทำงานประสานกันเป็นหน่วย ชุดยิงสองหรือสามชุดจะถูกจัดเป็นตอนหรือหมู่ในการปฏิบัติการร่วมกัน ซึ่งนำโดยผู้บังคับหมู่[3][4][5][6][7] ในอดีตนั้น กองทัพมีการพึ่งพาและให้ความสำคัญกับสถาบันของเหล่านายทหารชั้นประทวนที่มีการกระจายอำนาจและจัดการโครงสร้างการบังคับบัญชาชุดยิงอย่างมีประสิทธิภาพ "จากล่างขึ้นบน" ส่งผลให้เกิดประสิทธิผลอย่างสูงจากการปฏิบัติการของทหารราบ เมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพที่จำกัดเพราะการปฏิบัติการของนายทหาร ซึ่งตามธรรมเนียมนั้นหน่วยที่ใหญ่กว่าขาดผู้นำที่เป็นนายทหารชั้นประทวน และสั่งการแบบรวมศูนย์ "จากบนลงล่าง" การจัดหน่วยแบบชุดยิงในการสงครามในศตวรรษที่ 21 นั้น ต้องเผชิญกับการต่อสู้และปะทะที่เร็วขึ้น มีอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น โดยจะมีการระบุและรื้อถอนทุกสิ่งที่ทำให้การตอบสนองช้าลงระหว่างทิศทางการตรวจจับศัตรูครั้งแรกและพื้นที่โดยรอบของชุดยิง[8][9] หลักนิยมของกองทัพบกสหรัฐนับว่าชุดยิง หรือลูกเรือ เป็นหน่วยทางหทารที่เล็กที่สุด[10][11] ในขณะที่หลักนิยมของเนโทมีการใช้หน่วยทางทหารที่เล็กที่สุดคือชุด[12] ชุดยิงเป็นหน่วยทางทหารพื้นฐานที่ใช้งานในหน่วยทหารราบสมัยใหม่ในกองทัพบกสหราชอาณาจักร, กรมอากาศโยธินกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร, ราชนาวิกโยธิน, กองทัพบกสหรัฐ, เหล่านาวิกโยธินสหรัฐ, กองกำลังอากาศโยธินกองทัพอากาศสหรัฐ, กองทัพแคนาดา และกองทัพบกออสเตรเลีย แนวคิดแนวคิดของชุดยิงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการทางยุทธ์วิธีที่มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการทางทหาร ชุดยิงมีความสามารถในการปฏิบัติการด้วยตัวของมันเอกเมื่อเข้าไปรวมกันกับหน่วยปฏิบัติการที่ขนาดใหญ่กว่า การจัดกำลังชุดยิงที่มีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยการฝึกทหารที่ดี มีประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกัน มีการสื่อสารกันที่ดี และเหล่านายทหารชั้นประทวนที่มีความเป็นมืออาชีพเพื่อถ่ายทอดคำสั่งการทางยุทธ์วิธีให้กับสมาชิกในชุดยิง จากความต้องการเหล่านี้ได้นำไปสู่ความสำเร็จของแนวคิดชุดยิงโดยกองทัพมืออาชีพมากขึ้น มันใช้กองกำลังทางทหารที่น้อยกว่าในการจัดรูปขบวนทหารราบหรือช่วยลดการระดมพลการเกณฑ์ทหารอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งการเกณฑ์ทหารทำให้การจัดชุดยิงทำได้ยาก เนื่องจากสมาชิกในชุดจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากมีประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกันและมีความผูกพันธ์กันจากการใช้เวลาปฏิบัติการร่วมกันเมื่อเวลาผ่านไป ในการรบ ขณะโจมตีหรือใช้กลยุทธ์ ชุดยิงจะกระจายกำลังออกไปในระยะห่าง 50 เมตร (160 ฟุต) เมื่ออยู่ในตำแหน่งการตั้งรับ ชุดสามารถครอบคลุมได้ถึงระยะยิงของอาวุธหรือขีดจำกัดการมองเห็น แล้วแต่ว่าในขณะนั้นระยะใดน้อยกว่า ในขณะที่ภูมิประเทศเปิดโล่ง ชุดยิงที่มีประสิทธิภาพสามารถมีระยะครอบคลุมได้ถึง 500 เมตร (1,600 ฟุต) แม้ว่าระยะของการตรวจพบจะมีประสิทธิภาพในระยะไม่เกิน 100 เมตร (330 ฟุต) หรือประมาณระยะนั้นโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ซึ่งตราบใดที่อาวุธหลักยังคงใช้งานได้ชุดยิงก็จะมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการอยู่ รูปแบบของชาติต่าง ๆแคนาดาในกองทัพบกแคนาดา "ชุดยิง" หมายถึงทหารสองนายที่จับคู่กันเพื่อยิงและเคลื่อนที่ สองชุดยิงรวมกันเป็น "กลุ่มจู่โจม" ซึ่งคล้ายกันกับรูปแบบของกองทัพอื่น ๆ สองกลุ่มโจู่โจมและกลุ่มยานพาหนะ หนึ่งพลขับและหนึ่งพลปืนจะนับเป็นหนึ่งตอนที่ประกอบไปด้วยกำลังสิบนาย[13]
จีนกองทัพปลดปล่อยประชาชนใช้รูปแบบของ "เซลล์" สามคน (three-man "cells" เทียบเท่ากับชุดยิง) เป็นรูปขบวนทหารที่เล็กที่สุด และหน่วยทางทหารดังกล่าวถูกใช้งานตลอดช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง, สงครามกลางเมืองจีน, สงครามเกาหลี, สงครามจีน-อินเดีย และตลอดช่วงสงครามจีน–เวียดนาม มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ระบบ สาม-สาม" (three-three organization จีน: 三三制)[14] ในแหล่งข้อมูลของจีน กลยุทธ์นี้เรียกว่า "ชุดยิง สาม-สาม"ตามองค์ประกอบของการโจมตี: ทหารสามนายจะประกอบเป็นชุดยิง 1 ชุด และชุดยิง 3 ชุดจะเป็น 1 หมู่ 1 หมวดของจีนประกอบไปด้วยทหารจำนวน 50 นาย ซึ่งจะจัดชุดยิงสามระดับ ใช้การโจมตี "จุดเดียว" จากทั้ง "สองด้าน"[15] โดยแต่ละเซลล์จะประกอบไปด้วยปืนยิงกล (ในสงครามเกาหลีเป็นปืนกลมือหรือปืนกลเบา ในช่วงต้นถึงกลางสงครามเย็นใช้ปืนเล็กยาวจู่โจมหรือปืนกลเบาของหมู่) ในขณะที่ทหารที่เหลือใช้ปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนหรือปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติเพื่อให้แต่ละ "เซลล์" สามารถยิงและเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ตัวอย่างชุดยิงของกองทัพอาสาสมัครประชาชนจีนในช่วงปลายสงครามเกาหลี[14]
ไทยกองทัพบกการจัดหน่วยในรูปแบบชุดยิงในประเทศไทย ส่วนของกองทัพบกไทย[16] ถือเป็นส่วนหนึ่งของรูปขบวนทำการรบในระดับหมู่ปืนเล็ก มีกำลังทั้งหมด 11 นาย มีผู้บังคับหมู่ ภายในแบ่งเป็น 2 ชุดยิง คือชุดยิง ก. และชุดยิง ข. มีกำลังชุดยิงละ 5 นาย ซึ่งทั้งสองชุดยิงมีการจัดกำลังที่เหมือนกัน[16][17] คือ
ในกองทัพบกไทย ตำแหน่งพลปืนเล็ก พลปืนเล็กกล และพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดนั้นสามารถปฏิบัติการทดแทนกันได้[16] และเนื่องจากในหมู่ปืนเล็กประกอบไปด้วย 2 ชุดยิง ทำให้การจัดชุดภายในสามารถกำหนดให้ชุดใดชุดหนึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนดำเนินกลยุทธ์ และให้อีกชุดเป็นส่วนในการยิงสนับสนุนตามความเหมาะสมจากสถานการณ์และภูมิประเทศ[17] กองทัพเรือการจัดหน่วยในรูปแบบชุดยิงของกองทัพเรือไทย จะอยู่ในชื่อของ พวกยิง ซึ่งเป็นส่วนย่อยของหมู่ปืนเล็กนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ลักษณะเดียวกับกองทัพบกและอากาศโยธินของกองทัพอากาศ มีการจัดกำลัง 11 นายเท่ากัน แต่ใช้การเรียกชื่อ ยศ และอาวุธที่แตกต่างกันคือ[18]
กองทัพอากาศการจัดหน่วยในรูปแบบชุดยิงของกองทัพอากาศไทย จะอยู่ในส่วนของหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ซึ่งรับผิดชอบกำลังรบภาคพื้นดินของกองทัพอากาศ โดยจัดกำลังในรูปแบบเดียวกันกับกองทัพบกในการจัดหมู่ปืนเล็กในการปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น การลาดตระเวน องค์ประกอบภายในเหมือนกันทุกประการ คือมีกำลัง 11 นายใน 1 หมู่ปืนเล็ก ประกอบไปด้วย ผู้บังคับหมู่ 1 นาย ภายในแบ่งเป็น 2 ชุดยิง คือชุดยิง ก. และชุดยิง ข. มีกำลังชุดยิงละ 5 นาย (พลปืนเล็ก 2 นาย, พลปืนเล็กกล 1 นาย และพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด 1 นาย) ซึ่งทั้งสองชุดยิงมีการจัดกำลังที่เหมือนกัน ยกเว้นในส่วนของอาวุธปืนที่ใช้ตามอัตราที่กองทัพอากาศมีใช้งานในประจำการ[19] ฝรั่งเศสตอนของฝรั่งเศส (groupe de combat – "กลุ่มสู้รบ") แบ่งออกเป็นสองชุด "ชุดยิง" (équipe de feu) จะประกอบไปด้วยปืนเล็กยาวอัตโนมัติหรือปืนกลเบา "ชุดช็อก" équipe de choc) จะประกอบไปด้วยพลปืนเล็กที่ติดเครื่องยิงลูกระเบิดหรือเครื่องยิงจรวดแบบใช้แล้วทิ้ง เป็นหน่วยลาดตระเวนและหน่วยกลยุทธ์ แต่ละชุดจะใช้การการเฝ้าระวังเป็นห้วง โดยมีหน่วยหนึ่งคอยคุ้มกันเมื่ออีกชุดเคลื่อนที่ หัวหน้าชุดมีวิทยุมือถือสำหรับติดต่อกับส่วนต่าง ๆ แบบเดียวกับชุดวิทยุสะพายหลังของผู้บังคับหมู่ ซึ่งสัญลักษณ์ที่พบเห็นบ่อยที่สุดในนายทหารชั้นประทวนสมัยใหม่ (chef d'équipe) คือวิทยุสื่อสารที่ห้อยอยู่รอบคอ สหราชอาณาจักรหน่วยทหารราบของกองทัพบกสหราชอาณาจักร, ราชนาวิกโยธิน และกรมอากาศโยธินกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ได้เริ่มใช้งานแนวคิดชุดยิงมาใช้งานหลังจากนำปืนเล็กยาว เอสเอ 80 และอาวุธเบาสนับสนุนมาใช้งาน ตอนทหารราบมีทหารจำนวนแปดนาย ประกอบไปด้วยสองชุดยิง คือชาลีและเดลตา แต่ละชุดประกอบไปด้วยนายทหารชั้นประทวน (สิบโท หรือสิบตรี) และพลทหารอีกสามนาย
โดยปกติชุดยิงจะถูกใช้เป็นหน่วยรองของตอนสำหรับการยิงและการดำเนินกลยุทธ์แทนที่จะเป็นหน่วยแยกตามรูปแบบของชุดยิง แม้ว่าชุดยิงหรือหน่วยขนาดชุดยิงมักจะใช้สำหรับภารกิจลาดตระเวนร่วม, การปฏิบัติการพิเศษ และการตรวจตราในเมือง (มักจะถูกเรียกว่า "บริคก์" ในสถานการณ์หลังสุด)[24] สหรัฐกองทัพบกในกองทัพบกสหรัฐ เน้นย้ำแนวคิดเกี่ยวกับแนวคิดของชุดยิงเป็นพิเศษ[25][26][27] ซึ่งตามหลักนิยมของกองทัพบกสหรัฐ ชุดยิงหนึ่งจะประกอบไปด้วยทหาร 4 นาย[28][29][30]
ในกองร้อยปืนเล็กยาวทหารราบของกองพลน้อยชุดรบสไตร์เกอร์ (SBCT) ทหารหนึ่งนายในหมู่ชุดยิงปืนเล็กยาวอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านรถถัง (RMAT) ที่ใช้เอฟจีเอ็ม-148 เจฟลิน หรือเป็นพลแม่นปืนของหมู่ปืนเล็ก (DM) ที่ใช้ปืนเอ็ม 4 คาร์บินและปืนเล็กยาวเอ็ม 14 ในกรณีทั้งสอง ตำแหน่งที่กล่าวานี้จะมาแทนที่พลปืนเล็กของหมู่ปืนเล็กมาตรฐาน[31] นาวิกโยธินหลักนิยมของเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ กำหนดให้ชุดยิงใด ๆ ที่ปฏิบัติการต้องมีพลปืนกลอย่างน้อยหนึ่งทีม (2 นาย) และบรรยายสรุปชุดยิงด้วยหลักการจำคือ "ready-team-fire-assist" ซึ่งคำดังกล่าวคือการจัดชุดยิงเมื่ออยู่ในรูปขบวน
กองทัพเรือกองกำลังก่อสร้างของกองทัพเรือ หรือที่เรียกว่ากองพันก่อสร้าง ชื่อเล่นว่า "ซีบี" (Seabee ผึ้งทะเล) ใช้ชุดยิง (แบบเดียวกับกองร้อย, หมวด และหมู่) ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับที่ใช้ในนาวิกโยธินในโครงสร้างหน่วย หน่วยซีบีอาจจะสังกัดอยู่กับหน่วยนาวิกโยธินก็ได้ ชาติอื่น ๆในกองทัพอื่น ๆ จำนวนมากมองว่าชุดยิงเป็นหน่วยทหารที่เล็กที่สุด กองทัพของบางประเทศประกอบด้วยทหาร 2 นายเป็นหน่วยทหารที่เล็กที่สุด ในขณะที่กรณีอื่น ๆ ชุดยิงประกอบด้วยทหารสองคู่ (ชุดยิงและชุดดำเนินกลยุทธ์) รวมกันเป็นชุดยิง ในกองกำลังคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม ซึ่งมีคอมมิวนิสต์จีนเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด ยังได้นำแนวคิดชุดยิงที่คล้ายคลึงกับของจีน เรียกว่า "ตาม ตัม เฉื่อย" (tam tam chế) และยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน[32] ประวัติชุดยิงมีต้นกำเนิดในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วงสงครามนโปเลียนจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ยุทธวิธีทางการทหารที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมรูปขบวนทหารขนาดใหญ่จากส่วนกลางถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ในขณะที่หน่วยขนาดเล็กมีการริเริ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การจ้างทหารเพื่อทำหน้าที่อยู่ยามหรือการคุ้มกันวีไอพีมักจะจัดเป็นชุดทหารจำนวน 4 นาย ในกองทัพโรมัน เรียกหน่วยแบบนี้ว่า ควอเทอร์นิโอ (quaternio ภาษากรีก τετράδιον)[33] ทหารในแถวขยายช่วงสงครามนโปเลียนมักจะทำงานเป็นทีม ทีมละสองคน โดยคนแรกล่วงหน้าไปจากกลุ่มหลักและอีกคนคอยยิงคุ้มกันซึ่งกันและกัน สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การสงครามสนามเพลาะส่งผลให้เกิดทางตันในแนวรบด้านตะวันตก เพื่อต่อสู้กับทางตันนี้ เยอรมันได้พัฒนาหลักนิยมที่เรียกว่ายุทธวิธีการแทรกซึม (อิงมาจากยุทธวิธีของรัสเซียที่ใช้งานในการรุกบรูซิลอฟ) ซึ่งจะมีการเตรียมปืนใหญ่ในช่วงสั้น ๆ ตามมาด้วยหน่วยสตอร์มทรูปเปอร์ขนาดเล็กและปฏิบัติการอิสระในการเจาะแนวป้องกันแบบแทรกซึม เยอรมันใช้หน่วยสตอร์มทรูปเปอร์เป็นหน่วยระดับตำที่สุดในการสร้างกองกำลังจู่โจมแนวของสัมพันธมิตร กองทหารของสหราชอาณาจักรและแคนาดาในแนวรบด้านตะวันตกเริ่มแบ่งหมวดออกเป็นตอนหลังจากยุทธการที่แม่น้ำซอมในปี พ.ศ. 2459 (แนวคิดนี้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมต่อและนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง) หน่วยแชสเซอร์ (Chasseur) ของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งหนึ่งหนึงถูกจัดเป็นชุดยิง ซึ่งเป็นชุดปืนกลเบาและพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็กเพื่อทำลายตำแหน่งการยิงของเยอรมัน (ไม่ใช่การจู่โจม) ที่ระยะสูงสุด 200 เมตรโดยใช้เครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก โดยชุดปืนกลเบาเปิดฉากการยิงข่มไปยังตำแหน่งของศัตรู ในขณะที่ชุดเครื่องยิงลูกระเบิดเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่สามารถโจมศัตรูได้ด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด ยุทธวิธีของหน่วยแชสเซอร์ได้รับการทดสอบใช้จริงในช่วงการรุกเปแต็งในปี พ.ศ. 2460 ผู้รอดชีวิตจากหน่วยแชสเซอร์ได้สอนยุทธวิธีนี้ให้กับทหารราบอเมริกัน ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ใช้งานได้ผลในการปฏิบัติการที่แซงต์-มิฮีล และอาร์กอน ทำให้ชุดยิงในยุคนั้นจะประกอบไปด้วยทหารราบ 4 นาย คือพลจู่โจมพร้อมปืนคาร์บิน 2 นาย พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก 1 นาย และทหารช่าง 1 นาย ช่วงระหว่างสงครามในช่วงระหว่างสงคราม เชื่อกันว่าร้อยเอก อีแวนส์ เอฟ. คาร์ลสัน และเมอร์ริตต์ เอ. เอ็ดสัน นาวิกโยธินสหรัฐ ได้พัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับชุดยิงระหว่างการยึดครองนิการากัวของสหรัฐ (พ.ศ. 2455-2476) ในเวลานั้น หมู่นาวิกโยธินสหรัฐประกอบไปด้วยสิบตรีและนาวิกโยธินอีก 7 นายที่ใช้ปืนเล็กยาวเอ็ม 1903 สปริงฟิลด์แบบลูกเลื่อน และพลปืนเล็กอัตโนมัติ ใช้ปืนเล็กยาวอัตโนมัติบราวนิง เอ็ม1918 โดยหลังจากการเปิดตัวปืนกลมือทอมป์สัน และปืนลูกซองวินเชสเตอร์โมเดล 1912 ปืนทั้งสองได้รับความนิยมในหมู่นาวิกโยธินสหรัฐในฐานะอาวุธอาวุธป้องกันตำแหน่งสำหรับการตอบโต้การซุ่มโจมตีของกองโจรนิการากัวภายในผืนป่าที่หนาทึบ สามารถใช้เป็นที่กำบังสำหรับการตรวจตราที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ชุดของหทาร 4 นายพร้อมกับอาวุธปืนได้รับการทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพในแง่ของอำนาจการยิงและความคล่องตัวมากกว่าหมู่ปืนเล็กมาตรฐานที่ใช้กำลัง 9 นาย ร้อยเอกคาร์ลสันซึ่งต่อมาได้เดินทางไปยังจีนในปี พ.ศ. 2480 ได้สังเกตหน่วยกองทัพเส้นทางที่ 8 คอมมิวนิสต์ของกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีนในการปฏิบัติการต่อต้านกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น และได้นำแนวคิดดังกล่าวกลับไปยังสหรัฐเมื่อประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้การบัญชาการของเขา กองพันนาวิกโยธินที่ 2 ได้ออกปฏิบัติการพร้อมกับปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติ เอ็ม1 กาแรนด์ และจัดชุดยิงตามแนวคิดในรูปแบบมาตรฐาน 4 นาย (แม้ว่าจะถูกเรียกว่ากลุ่มยิงในเวลานั้น) กำลัง 3 กลุ่มยิงจัดเป็นหนึ่งหมู่ที่มีผู้บังคับหมู่ กลุ่มยิงประกอบไปด้วย พลปืนเล็กยาว เอ็ม1 กาแรนด์, พลปืนบาร์ และพลปืนกลมือ โดยหลังเขาบาดเจ็บสาหัสจากการรบ ตำแหน่งของเขาได้ถูกแทนที่ และกองพันของเขาถูกยุบลงเพื่อจัดโครงสร้างใหม่ในเวลาต่อมาตามหลักนิยมทั่วไปของนาวิกโยธินคือการจัดหมู่ละ 10 นาย ซึ่งหลังจากนั้นแนวคิดการจัดชุดยิงของคาร์ลสันได้ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้งหนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สองหมู่ปืนเล็กของกองทัพบกสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่สองประกอบไปด้วยทหารจำนวน 12 นาย[34] แบ่งออกเป็นสามชุด ชุด "เอเบิล" (A "Able" การออกเสียงตัวอักษรแบบร่วมสมัย) ประกอบไปด้วยผู้บังคับหมู่และหน่วยสอดแนม 2 นาย ชุดสนับสนุน "เบเกอร์" (B "Baker") ประกอบไปด้วยพลปืนบาร์ พลปืนผู้ช่วย และผู้ถือกระสุน และชุด "ชาร์ลี" (C "Charlie") ประกอบไปด้วยผู้ช่วยผู้บังคับหมู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพลเครื่องยิงลูกระเบิดต่อต้านรถถัง และพลปืนเล็กอีก 5 นาย (ซึ่ง 1 ใน 5 นายนี้ทำหน้าที่เป็นพลเครื่องยิงลูกระเบิดต่อต้านรถถังสำรอง)[35]ในการจู่โจม ชุดเอจะคอยเฝ้าตรวจและรักษาความปลอดภัยหรือเป็นผู้ช่วยชุดซีในการจู่โจมตามคำสั่งของผู้บังคับหมู่ ในขณะที่ชุดบีจะทำการยิงข่ม ซึ่งการยิงข่มจากปืนบาร์จะถูกสนับสนุนจากปืนเล็กยาวจากชุดของปืนกลเองในระหว่างที่กำลังบรรจุกระสุน และอาจจะเสริมด้วยปืนกลขนาดกลางของหมวด หน่วยเรนเจอร์ของกองทัพบกสหรัฐและกองกำลังปฏิบัติการพิเศษได้นำแนวคิดเกี่ยวกับชุดยิงในยุคแรกมาใช้งานในการทัพในอิตาลีและฝรั่งเศส แต่ละหน่วยย่อยของหมู่ประกอบไปด้วยทหาร 4 หรือ 5 นายที่ติดอาวุธหนัก ประกอบไปด้วยพลปืนเล็กอัตโนมัติบาร์และผู้ช่วย หน่วยสอดแนม (พลแม่นปืน / พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด) ที่ติดอาวุธหนักเอ็ม 1903 สปริงฟิลด์ที่ติดเครื่องยิงลูกระเบิด และหัวหน้าชุดที่ใช้ปืนเอ็ม 1 คาร์บินหรือปืนกลมือทอมป์สัน เอ็ม 1 ในภายหลังได้มีการใช้งานผิดไปจากวัตถุประสงค์ เนื่องจากทหารราบปกติปฏิเสธที่จะฝึกทักษะการต่อสู้และการฝึกพิเศษ และการประกอบกำลังเป็นชุดกองพลน้อยยิงในการต่อต้านกองกำลังที่ใหญ่กว่าได้ทำลายข้อได้เปรียบดั่งเดิมของรูปแบบนี้คือความก้าวร้าวและอำนาจในการยิง ในขณะเดียวกัน คอมมิวนิสต์จีนได้สร้างแนวคิดชุดยิงแบบสามคนขึ้นในรูปแบบของเซลล์เมื่อพวกเขาจัดตั้งกองทัพประจำการ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้แพร่หลายไปยังกองกำลังคอมมิวนิสต์ทั่วทั้งเอเชีย คู่รบคู่รบ (battle pair) เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดที่สูงกว่าทหารรายบุคคล ในยุคปัจจุบันจะใช้งานในกองทัพกลุ่มประเทศบอลติกและหน่วยรบพิเศษ เช่น หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศ (SAS) ประกอบไปด้วยทหาร 2 นาย โดยมีทหารอีกหนึ่งนายที่มีอาวุโสเหนือกว่าทหารทั้ง 2 นายแรก (ตัดสินใจแทนทั้ง 2 นายหรือบังคับบัญชา) ชุดยิงจะประกอบด้วยชุดยิงและดำเนินกลยุทธ์จำนวน 2 ชุด และหมวดจะประกอบไปด้วยชุดยิง 2 ชุดขึ้นไป แนวคิดนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากองทัพสหรัฐและประเทศในเครือจักรภพยังคงใช้ระบบชุดยิงประกอบเข้าเป็นหมู่เป็นหลักนิยมหลักอยู่ เอสโตเนียชุดดังกล่าวเรียกว่า Lahingpaar หรือ คู่รบ ฟินแลนด์จนถึงปี พ.ศ. 2558 กองกำลังป้องกันฟินแลนด์ จัดกำลังในรูปแบบ 3 taistelupari (คู่รบ) ประกอบกำลังเป็นหนึ่งหมู่พร้อมกับผู้บังคับหมู่ ระบบชุดยิง 3 คนถือเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในหลักนิยมของทหารราบฟินแลนด์ ฝรั่งเศสกองทัพบกฝรั่งเศสมีแนวคิดของ binôme ('คู่' 'pair') ในกองกำลังประจำการ เป็นการจับคู่ระหว่างทหารที่มากประสบการณ์กับทหารใหม่หรือทหารทดแทน โดยทหารใหม่เรียนรู้จากทหารที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานประจำวันและงานที่ได้รับผิดชอบตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ในกองกำลังอาณานิคมเก่า (เช่นกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส) มันคือการจัดระเบียบ คู่ทั้งสองจะต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน หากคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืนหรือไม่ทำตามกฎ คู่อีกคนจะถูกลงโทษด้วยเนื่องจากไม่ขัดขวางการกระทำนั้น สวีเดนตามคู่มือสนามของกองทัพสวีเดน Stridspar (คู่รบ) ที่ทำงานประสานกันอย่างดีมีประสิทธิภาพเท่ากับทหารสี่นายที่มีคุณภาพเท่าเทียมกันปฏิบัติหน้าที่แยกจากกัน ดูเพิ่ม
อ้างอิง
|