นกกีวี
นกกีวี (อังกฤษ: kiwi) เป็นนกจำพวกหนึ่งที่บินไม่ได้ มีลักษณะที่แปลกไปจากนกอื่น ๆ ด้วยมีวิวัฒนาการเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน เป็นนกออกหากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในธรรมชาติอยู่ในนิวซีแลนด์เท่านั้น นกกีวีจัดอยู่ในสกุล Apteryx ในวงศ์ Apterygidae[2] ลักษณะขนาดลำตัวของนกกีวีจะอยู่ประมาณขนาดของไก่บ้าน แต่นกกีวีเป็นนกที่ออกไข่ได้ฟองใหญ่ที่สุดในบรรดานกทั้งหมดเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว และใช้เวลาฟักนานถึง 3 เดือน โดยตัวผู้ทำหน้าที่ฟักไข่[3] อุณหภูมิในร่างกายของนกกีวี ปกติจะอยู่ที่ 37-38 องศาเซลเซียส มีปีกขนาดเล็กมาก ยาวเพียง 5 เซนติเมตรเท่านั้น จนแทบจะมองไม่เห็นซ่อนไว้ใต้ขน ไม่มีหาง มีจะงอยปากแหลม มีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นจุดเด่น มีขนปุกปุยคล้ายขนแมวหรือเส้นผมมนุษย์สีน้ำตาลปกคลุมลำตัว บริเวณใบหน้ามีขนยาวคล้ายหนวด ขุดโพรงอาศัยอยู่บนพื้นดิน มีระบบประสาทการมองเห็นและได้ยินมีพัฒนาการดีเยี่ยม[4] มีนิ้วเท้าข้างละ 4 นิ้ว มีเล็บยาว แต่นิ้วหัวเท้าเล็กสั้น แตกต่างไปจากนกจำพวกอื่น และใช้นิ้วเท้านี้ในการกระโดดถีบเป็นการป้องกันตัว[3][5] นกกีวีจำแนกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ 5 ชนิด ได้ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ นกกีวีเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน ขี้อาย และชอบอยู่อย่างสันโดษ การใช้ชีวิตแบบสัตว์ตอนกลางคืนแบบนี้ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของนกกีวี นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่เป็นสัตว์ที่ถูกล่าจากสัตว์นักล่าต่าง ๆ เช่น อินทรีฮาสต์ ซึ่งเป็นอินทรีขนาดใหญ่ กางปีกได้กว้างถึง 10 ฟุต กรงเล็บมีขนาดเท่าอุ้งเท้าของเสือ สามารถล่าสัตว์ขนาดใหญ่อย่าง นกโมอาได้ด้วยซ้ำ จึงทำให้บรรพบุรุษของนกกีวีต้องระแวดระวังตัว แม้ปัจจุบันนี้ทั้งอินทรีฮาสต์และนกโมอาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จากการล่าของชาวมาวรี แต่สัญชาตญาณการระแวดระวังตัวของนกกีวียังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน[6][3] พฤติกรรมและความสำคัญนกกีวีอาศัยอยู่ในที่แห้ง โดยเฉพาะในป่า แต่สามารถปรับตัวให้เข้ากับหลาย ๆ สถานที่ได้อย่างง่ายดาย นกกีวีมีประสาทในการดมกลิ่นได้ดีเยี่ยม เช่นเดียวกับนกตัวอื่น ๆ แต่เป็นนกจำพวกเดียวเท่านั้นที่มีรูจมูกอยู่ตรงปลายจะงอยปากที่สามารถรับแรงสั่นสะเทือน และความดันได้เป็นอย่างดี นกกีวีหากินบนพื้นดิน เพราะไม่สามารถปีนป่ายขึ้นต้นไม้ได้[5] ซึ่งอาหารจะได้แก่ แมลงตัวเล็ก ๆ หนอน และเมล็ดพืช แต่บางชนิดจะกินผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ปลาไหล หรือแม้แต่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เพราะว่ารูจมูกอยู่ที่ปลายปากแหลม ๆ ทำให้สามารถกินแมลงหรือหนอนใต้ดินได้ลึกถึง 6 นิ้ว โดยที่ไม่ต้องมองเห็น เพียงแค่จิกลงไปเฉย ๆ เมื่อใดที่นกกีวีหาคู่ได้แล้ว จะอยู่ด้วยกัน 2 ตัวไปตลอดชีวิต ในฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน-มีนาคม ทั้งสองตัวจะผสมพันธุ์กันตอนกลางคืน ทุก ๆ 3 วัน นกกีวีจะออกไข่ได้ฤดูละ 1 ฟอง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จำนวนนกกีวีเพิ่มขึ้นช้า ขณะที่อายุขัยโดยเฉลี่ยของนกกีวีอยู่ที่ 30 ปี นั่นหมายความว่า นกตัวเมียตลอดทั้งชีวิตจะสามารถมีลูกได้ทั้งหมด 30 ตัว[3] นกกีวีมีความสำคัญมากต่อชาวมาวรี ชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ชาวมาวรีมีความเชื่อว่านกกีวีเป็นสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าในป่า ขนของนกกีวีจึงถูกนำมาทำเป็นผ้าคลุมที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวมาวรี ในปัจจุบัน ชาวมาวรีเลิกล่านกกีวีแล้ว แต่จะใช้เฉพาะขนจากนกกีวีที่ตายแล้วเท่านั้น ชาวมาวรีเห็นว่านกกีวีเป็นเหมือนผู้พิทักษ์แห่งป่า เหตุที่เรียกชื่อสามัญว่า "นกกีวี" มาจากเสียงร้องที่ฟังคล้ายกับคำว่ากีวี[5] นกกีวีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายในการสู้รบครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นไม่นาน เริ่มมีการใช้นกกีวีเป็นสัญลักษณ์ต่อ ๆ มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1906 ยาขัดรองเท้ายี่ห้อกีวี ได้นำนกกีวีมาเป็นสัญลักษณ์ แล้วมีการนำไปขายในยุโรป และ อเมริกา ซึ่งทำให้นกกีวีเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ชาวต่างชาติเรียกชาวนิวซีแลนด์เล่น ๆ ว่า "กีวี" ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารนิวซีแลนด์ได้แทนตัวเองว่า กีวี แล้วหลังจากกลับมาจากสงคราม ก็ได้แกะสลักรูปนกกีวีตัวใหญ่ ๆ ไว้บนเทือกเขาในประเทศอังกฤษ ยิ่งทำให้มีการเรียกชาวนิวซีแลนด์ว่า กีวี มากขึ้นอีก ต่อมานกกีวีได้ถูกใช้ต่อมาอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เหรียญ, ตราสัญลักษณ์ หรือเกราะต่าง ๆ และเป็นสัตว์ประจำชาติของนิวซีแลนด์[7] วิวัฒนาการจากหลักฐานทางดีเอ็นเอพบว่านกกีวีมีสายพันธุกรรมใกล้เคียงกับนกบินไม่ได้ชนิดอื่น ๆ มาก เช่น นกกระจอกเทศ, นกโมอา ซึ่งเป็นนกที่บินไม่ได้ขนาดใหญ่ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว, นกอีมู และนกคาสซอวารี เป็นต้น โดยนกกีวีถือกำเนิดมาเมื่อกว่า 60 ล้านปีมาแล้ว เหตุนี้จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า ต้นกำเนิดของนกกีวีมาจากออสเตรเลีย พร้อม ๆ กับนกอีมู ด้วยการบินมา พร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นมาของนิวซีแลนด์ สาเหตุที่ทำให้นกกีวีบินไม่ได้ เนื่องจากบนพื้นดินของนิวซีแลนด์มีอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่มีสัตว์กินเนื้อ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเป็นภัยคุกคามในธรรมชาติอยู่เลยในอดีต ฉะนั้นปีกจึงเป็นเหมือนอวัยวะส่วนเกินที่ไร้ความจำเป็น[3] อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ นกกีวี แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิสปีชีส์มีข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ Apterygidae |