บัตรประจำตัวประชาชนไทย
บัตรประจำตัวประชาชนไทย เป็นบัตรประจำตัวประชาชนที่รัฐออกให้แก่ผู้มีสัญชาติไทยที่มีอายุตั้งแต่ 7 ถึง 70 ปี[1] โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2486 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม[2] โดยเดิมได้กำหนดให้ผู้ที่มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ให้ไปร้องขอทำบัตร ต่อมาลดอายุลงเหลือ 15 ปีในปี พ.ศ. 2526 และ 7 ปี ในปี พ.ศ. 2554 บัตรนี้ถูกใช้เพื่อการยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตรและรับการบริการจากภาครัฐ รวมทั้งในธุรกิจเอกชนบางประเภท เช่น การเปิดใช้หมายเลขโทรศัพท์ หรือการเปิดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้หากผู้ใดไม่อาจแสดงบัตรโดยไม่มีเหตุอันควรต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท[1] ปัจจุบันบัตรประจำตัวประชาชนไทย เป็นรุ่นอเนกประสงค์รุ่นที่ 6[3][4] ประวัติก่อนหน้าการกำหนดให้มีบัตรประจำตัวประชาชนนั้น ผู้ใดที่ประสงค์จะเดินทางออกนอกท้องที่สามารถขอรับหนังสือเดินทางที่กรมการอำเภอในท้องถิ่นของผู้ประสงค์นั้น[5][6] อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวมิได้ใช้บังคับอย่างเคร่งครัดนัก กระทั่งในปี 2486 มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2486 ได้กำหนดให้พลเมืองไทยที่มีอายุ 16 ปีเป็นต้นไปและพำนักในท้องที่ที่กำหนดต้องไปทำบัตรประจำตัวประชาชน[2] ซึ่งในขณะนั้นมีลักษณะเป็นสมุดพับคล้ายหนังสือเดินทางก่อนหน้านั้น[6] ในปี พ.ศ. 2506 บัตรประจำตัวประชาชนได้เปลี่ยนรูปแบบเป็นบัตรกระดาษเคลือบลามิเนต แสดงรูปถ่ายผู้ถือบัตรยืนหน้าแผ่นวัดส่วนสูง โดยข้อมูลส่วนตัวของผู้ถือบัตรบนหน้าบัตรนั้นจัดพิมพ์โดยใช้เครื่องพิมพ์ดีดบนด้านหน้า และวันที่ออกบัตรและวันบัตรหมดอายุพิมพ์บนด้านหลัง และปรับค่าธรรมเนียมทำบัตรเป็น 5 บาท โดยในเวลานั้นบัตรประจำตัวประชาชนได้เป็นสิ่งที่พลเมืองไทยทุกคนต้องถือไว้ตามกฎหมาย[7] แต่กระนั้น บัตรดังกล่าวนั้นปลอมแปลงขึ้นได้อย่างง่ายดายเนื่องจากไม่มีคุณสมบัติป้องกันการปลอมแปลงและชำรุดได้โดยง่าย ต่อมาเมื่อไมโครฟิล์ม เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ และเมนเฟรมคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในประเทศ ในปี พ.ศ. 2530 ได้มีการปรับปรุงรูปแบบบัตรขึ้นใหม่ทดแทนแบบเดิม[8] โดยในช่วงดังกล่าว พลเมืองไทยทุกคนจะได้รับการระบุเลขประจำตัวประชาชนซึ่งจะระบุบนบัตรเช่นเดียวกับข้อมูลอื่น ๆ โดยได้กำหนดให้ผู้มีสัญชาติที่อายุ 15 ปีบริบูรณ์ต้องไปขอมีบัตรประจำตัวประชาชนที่ที่ว่าการอำเภอหรือที่ว่าการเขต โดยการจัดทำบัตรนั้นเป็นแบบรวมศูนย์ กล่าวคือเมื่อผู้ประสงค์จะทำบัตรยื่นคำร้องแล้ว แบบคำร้องและแบบพิมพ์ลายนิ้วมือจะบรรจุลงบนไมโครฟิล์มแล้วส่งไปยังสำนักบริหารการทะเบียนที่กรุงเทพมหานครเพื่อจัดทำบัตรต่อไป โดยรูปแบบบัตรทำจากกระดาษพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์และเคลือบด้วยวิธีการเฉพาะ ในปี พ.ศ. 2539 บัตรประจำตัวประชาชนที่ออกในกรุงเทพมหานครจะจัดทำโดยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ส่วนในต่างจังหวัดยังคงออกโดยไม่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์[9] หลังจากนั้นระบบการออกบัตรด้วยคอมพิวเตอร์ก็ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลบนบัตรนั้นยังเป็นภาษาไทยทั้งหมด ผู้ใดที่จะใช้ในต่างประเทศจะต้องนำไปแปลเสียก่อน กระทั่งในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการออกบัตรประจำตัวประชนแบบสองภาษาขึ้นใช้จนถึงปัจจุบัน[6] ในปี พ.ศ. 2554 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้กำหนดให้ผู้ที่อายุ 7 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปสามารถขอมีบัตรประจำตัวประชาชนได้ เพื่อลดการใช้สูติบัตรและเอกสารทางราชการอื่นสำหรับเด็ก[1] ในปี พ.ศ. 2557 บัตรประชาชนอเนกประสงค์ รุ่นที่ 6[10]ต่อมาในปี พ.ศ. 2565 มีบัตรรุ่นใหม่รุ่น JC3 ออกมา[11] ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2566 สามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนดิจิทัลผ่านแอพลิเคชัน D.DOPA ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ThaiID แทนบัตรตัวจริงได้ โดยในระยะแรกจะเริ่มใช้กับหน่วยงานในกรมการปกครองก่อน[12] ปัจจุบัน พ.ศ. 2567 บัตรประชาชนเป็นรุ่นเลขหลังบัตร JC4 หรือรุ่น JC4[13] เลขประจำตัวประชาชนรูปแบบบัตรประจำตัวประชาชนประกอบด้วยข้อมูลของผู้ถือบัตร ดังต่อไปนี้
ข้อมูลทั้งหมดบัตรข้างต้นระบุด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษยกเว้นที่อยู่ พิมพ์บนบัตรสีขาวอมฟ้า นอกจากนี้ยังมีลายมือชื่อผู้ออกบัตรและตราประจำตำแหน่งพิมพ์ลงบนบัตรบนด้านเดียวกันทั้ง ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2548 ข้อมูลทั้งจะระบุเป็นภาษาไทยเท่านั้น ลายมือชื่อผู้ออกบัตรนั้นพิมพ์บนด้านหลังของบัตรเนื่องจากพื้นที่หน้าบัตรไม่เพียงพอ[14] บัตรประจำตัวอื่น
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|