ผลคูณคาร์ทีเซียน
A
×
B
{\displaystyle \scriptstyle A\times B}
ของเซต
A
=
{
x
,
y
,
z
}
{\displaystyle \scriptstyle A=\{x,y,z\}}
และ
B
=
{
1
,
2
,
3
}
{\displaystyle \scriptstyle B=\{1,2,3\}}
ในวิชาคณิตศาสตร์ ผลคูณคาร์ทีเซียน เป็นการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งดำเนินการกับเซต หลายเซตได้ผลเป็นเซต (หรือ เซตผลคูณ ) นั่นคือสำหรับเซต A และ B ผลคูณคาร์ทีเซียน A × B เป็นเซตของทุกคู่อันดับ (a, b) ที่ a ∈ A และ b ∈ B
กรณีที่ง่ายที่สุดของผลคูณคาร์ทีเซียน คือ จัตุรัสคาร์ทีเซียน ซึ่งดำเนินการกับเซตสองเซตได้เซตหนึ่งเซต เราสามารถสร้างตาราง ได้โดยหาผลคูณคาร์ทีเซียนของ เซตของแถว กับ เซตของหลัก ถ้าหาผลคูณคาร์ทีเซียน แถว × หลัก เซลล์ของตารางจะประกอบด้วยคู่อันดับในรูปแบบ (ค่าของแถว , ค่าของ หลัก )
ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต n เซตสามารถแสดงในรูปทูเพิล n มิติ โดยสมาชิกแต่ละตัวคือค่าของสมาชิกจากแต่ละเซตที่นำมาหาผลคูณคาร์ทีเซียน
ผลคูณคาร์ทีเซียนตั้งชื่อตามแนวคิดของ เรอเน เดการ์ต [ 1] ผู้ริเริ่มวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์
ตัวอย่าง
สำรับไพ่
ตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพคือไพ่ป๊อก เซตเลขไพ่ {A, K, Q, J, 10, 9, 8, 7, 6, 5, 4, 3, 2} มีสมาชิก 13 ตัว และเซตหน้าไพ่ {♠, ♥, ♦, ♣} มีสมาชิก 4 ตัว ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซตทั้งสองคือเซตคู่อันดับ 52 คู่ ซึ่งสัมพันธ์กับไพ่ทั้ง 52 ใบ
เลขไพ่ × หน้าไพ่ ทำให้เกิดเซต {(A, ♠), (A, ♥), (A, ♦), (A, ♣), (K, ♠), ..., (3, ♣), (2, ♠), (2, ♥), (2, ♦), (2, ♣)} หรือ
หน้าไพ่ × เลขไพ่ ทำให้เกิดเซต {(♠, A), (♠, K), (♠, Q), (♠, J), (♠, 10), ..., (♣, 6), (♣, 5), (♣, 4), (♣, 3), (♣, 2)}
ระบบพิกัดสองมิติ
ตัวอย่างจากวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์ คือระบบพิกัดคาร์ทีเซียน ระบบพิกัดคาร์ทีเซียนเป็นผลลัพธ์จากการหาผลคูณคาร์ทีเซียนของเซตสองเซต X และ Y ที่หมายถึงจุดบนแกน x และแกน y ตามลำดับ ผลคูณคาร์ทีเซียนสามารถเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ X × Y ผลคูณนี้เป็นเซตของคู่อันดับ ทั้งหมดที่เป็นไปได้ แต่ละคู่อันดับมีสมาชิกอันดับที่หนึ่งเป็นสมาชิกของ X และสมาชิกอันดับที่สองเป็นสมาชิกของ Y (แต่ละคู่อันดับประกอบเป็นระนาบ x–y ทั้งระนาบ) ในทางกลับกัน ผลคูณคาร์ทีเซียนอาจเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Y × X โดยสมาชิกของผลคูณนี้มีสมาชิกอันดับที่หนึ่งจากเซต Y และสมาชิกอันดับที่สองจากเซต X ผลคูณคาร์ทีเซียนจึงไม่มีสมบัติการสลับที่
X
×
Y
=
{
(
x
,
y
)
∣
x
∈
X
∧
y
∈
Y
}
{\displaystyle X\times Y=\{\,(x,y)\mid x\in X\ \land \ y\in Y\,\}}
[ 2]
Y
×
X
=
{
(
y
,
x
)
∣
y
∈
Y
∧
x
∈
X
}
{\displaystyle Y\times X=\{\,(y,x)\mid y\in Y\ \land \ x\in X\,\}}
X
×
Y
≠
Y
×
X
{\displaystyle X\times Y\neq Y\times X}
การประยุกต์ใช้ทั่วไปในทฤษฎีเซต
นิยามของผลคูณคาร์ทีเซียนตามหลักการของทฤษฎีเซต เป็นผลของนิยามของคู่อันดับ นิยามของคู่อันดับที่ใช้โดยทั่วไป คือนิยามของ Kuratowski ดังนี้
(
x
,
y
)
=
{
{
x
}
,
{
x
,
y
}
}
{\displaystyle (x,y)=\{\{x\},\{x,y\}\}}
ข้อสังเกตภายใต้นิยามนี้
X
×
Y
⊆
P
(
P
(
X
∪
Y
)
)
{\displaystyle X\times Y\subseteq {\mathcal {P}}({\mathcal {P}}(X\cup Y))}
โดย
P
{\displaystyle {\mathcal {P}}}
เป็น เพาเวอร์เซต เพราะฉะนั้น การมีอยู่ของผลคูณคาร์ทีเซียนของสองเซตใดๆ ใน ZFC เป็นผลจากสัจพจน์แห่งการจับคู่ ยูเนียน เพาเวอร์เซต และ การเจาะจง เพราะว่าฟังก์ชัน มักนิยามเป็นกรณีพิเศษของ ความสัมพันธ์ และความสัมพันธ์มักนิยามเป็นสับเซตของผลคูณคาร์ทีเซียน นิยามของผลคูณคาร์ทีเซียนของเซตสองเซตสำคัญมากกว่านิยามอื่น ๆ เป็นส่วนใหญ่
การคูณคาร์ทีเซียนไม่มีสมบัติการสลับที่และเปลี่ยนหมู่
ให้
A
{\displaystyle A}
B
{\displaystyle B}
และ
C
{\displaystyle C}
เป็นเซต ผลคูณคาร์ทีเซียน
A
×
B
{\displaystyle A\times B}
ไม่สามารถสลับที่ ได้ นั่นคือ
A
×
B
≠
B
×
A
{\displaystyle A\times B\neq B\times A}
เพราะคู่อันดับ ถูกสลับอันดับ เว้นแต่เงื่อนไข [ 3]
A
=
B
{\displaystyle A=B}
A
{\displaystyle A}
เป็นเซตว่าง
B
{\displaystyle B}
เป็นเซตว่าง
เป็นจริงอย่างน้อย 1 ข้อ
ตัวอย่าง
A
=
{
1
,
2
}
{\displaystyle A=\{1,2\}}
และ
B
=
{
1
,
3
}
{\displaystyle B=\{1,3\}}
A
×
B
=
{
1
,
2
}
×
{
1
,
3
}
=
{
(
1
,
1
)
,
(
1
,
3
)
,
(
2
,
1
)
,
(
2
,
3
)
}
{\displaystyle A\times B=\{1,2\}\times \{1,3\}=\{(1,1),(1,3),(2,1),(2,3)\}}
B
×
A
=
{
1
,
3
}
×
{
1
,
2
}
=
{
(
1
,
1
)
,
(
1
,
2
)
,
(
3
,
1
)
,
(
3
,
2
)
}
{\displaystyle B\times A=\{1,3\}\times \{1,2\}=\{(1,1),(1,2),(3,1),(3,2)\}}
A
×
B
≠
B
×
A
{\displaystyle A\times B\neq B\times A}
A
=
B
=
{
1
,
2
}
{\displaystyle A=B=\{1,2\}}
A
×
B
=
B
×
A
=
{
1
,
2
}
×
{
1
,
2
}
=
{
(
1
,
1
)
,
(
1
,
2
)
,
(
2
,
1
)
,
(
2
,
2
)
}
{\displaystyle A\times B=B\times A=\{1,2\}\times \{1,2\}=\{(1,1),(1,2),(2,1),(2,2)\}}
A
=
{
1
,
2
}
{\displaystyle A=\{1,2\}}
และ
B
=
{
}
{\displaystyle B=\{\}}
A
×
B
=
{
1
,
2
}
×
{
}
=
{
}
{\displaystyle A\times B=\{1,2\}\times \{\}=\{\}}
B
×
A
=
{
}
×
{
1
,
2
}
=
{
}
{\displaystyle B\times A=\{\}\times \{1,2\}=\{\}}
A
×
B
=
B
×
A
{\displaystyle A\times B=B\times A}
ผลคูณคาร์ทีเซียนโดยทั่วไปไม่มีสมบัติการเปลี่ยนหมู่ เว้นแต่เซตใดเซตหนึ่งเป็นเซตว่าง เพราะการเปลี่ยนหมู่เปลี่ยนลำดับการสร้างคู่อันดับ
ตัวอย่าง
A
=
{
a
}
{\displaystyle A=\{a\}}
B
=
{
b
}
{\displaystyle B=\{b\}}
และ
C
=
{
c
}
{\displaystyle C=\{c\}}
(
A
×
B
)
×
C
=
(
{
a
}
×
{
b
}
)
×
{
c
}
=
{
(
a
,
b
)
}
×
{
c
}
=
{
(
(
a
,
b
)
,
c
)
}
{\displaystyle (A\times B)\times C=(\{a\}\times \{b\})\times \{c\}=\{(a,b)\}\times \{c\}=\{((a,b),c)\}}
A
×
(
B
×
C
)
=
{
a
}
×
(
{
b
}
×
{
c
}
)
=
{
a
}
×
{
(
b
,
c
)
}
=
{
(
a
,
(
b
,
c
)
)
}
{\displaystyle A\times (B\times C)=\{a\}\times (\{b\}\times \{c\})=\{a\}\times \{(b,c)\}=\{(a,(b,c))\}}
(
A
×
B
)
×
C
≠
A
×
(
B
×
C
)
{\displaystyle (A\times B)\times C\neq A\times (B\times C)}
สมบัติเกี่ยวกับอินเตอร์เซกชันและยูเนียน
ให้
A
{\displaystyle A}
B
{\displaystyle B}
C
{\displaystyle C}
และ
D
{\displaystyle D}
เป็นเซต
การหาผลคูณคาร์ทีเซียนก่อนหาอินเตอร์เซกชัน ได้ผลลัพธ์เท่ากับการหาอินเตอร์เซกชันก่อนหาผลคูณคาร์ทีเซียน
(
A
×
C
)
∩
(
B
×
D
)
=
(
A
∩
B
)
×
(
C
∩
D
)
{\displaystyle (A\times C)\cap (B\times D)=(A\cap B)\times (C\cap D)}
[ 4]
แต่การหาผลคูณคาร์ทีเซียนก่อนหายูเนียน ได้ผลลัพธ์ไม่เท่ากับการหายูเนียนก่อนหาผลคูณคาร์ทีเซียน
(
A
×
C
)
∪
(
B
×
D
)
≠
(
A
∪
B
)
×
(
C
∪
D
)
{\displaystyle (A\times C)\cup (B\times D)\neq (A\cup B)\times (C\cup D)}
(
A
×
C
)
∪
(
B
×
D
)
⊆
(
A
∪
B
)
×
(
C
∪
D
)
{\displaystyle (A\times C)\cup (B\times D)\subseteq (A\cup B)\times (C\cup D)}
มีกฎเกี่ยวกับการแจกแจงอื่น ๆ ดังนี้:[ 3]
A
×
(
B
∩
C
)
=
(
A
×
B
)
∩
(
A
×
C
)
{\displaystyle A\times (B\cap C)=(A\times B)\cap (A\times C)}
A
×
(
B
∪
C
)
=
(
A
×
B
)
∪
(
A
×
C
)
{\displaystyle A\times (B\cup C)=(A\times B)\cup (A\times C)}
A
×
(
B
∖
C
)
=
(
A
×
B
)
∖
(
A
×
C
)
{\displaystyle A\times (B\setminus C)=(A\times B)\setminus (A\times C)}
(
A
×
B
)
c
=
(
A
c
×
B
c
)
∪
(
A
c
×
B
)
∪
(
A
×
B
c
)
{\displaystyle (A\times B)^{c}=(A^{c}\times B^{c})\cup (A^{c}\times B)\cup (A\times B^{c})}
[ 4]
สมบัติเกี่ยวกับเซตย่อย ได้แก่:
ถ้า
A
⊆
B
{\displaystyle A\subseteq B}
แล้ว
A
×
C
⊆
B
×
C
{\displaystyle A\times C\subseteq B\times C}
ถ้าทั้ง
A
{\displaystyle A}
และ
B
{\displaystyle B}
ไม่เป็นเซตว่าง แล้ว
(
A
×
B
⊆
C
×
D
⟺
A
⊆
C
∧
B
⊆
D
)
{\displaystyle (A\times B\subseteq C\times D\iff A\subseteq C\land B\subseteq D)}
[ 5]
ภาวะเชิงการนับ
ภาวะเชิงการนับ ของเซตคือจำนวนสมาชิกของเซต เช่น กำหนดเซตสองเซต
A
=
{
m
,
n
}
{\displaystyle A=\{m,n\}}
และ
B
=
{
0
,
1
}
{\displaystyle B=\{0,1\}}
ทั้งเซต
A
{\displaystyle A}
และเซต
B
{\displaystyle B}
ต่างประกอบด้วยสมาชิกเซตละสองตัว ผลคูณคาร์ทีเซียนของสองเซตนี้ที่เขียนแทนด้วย
A
×
B
{\displaystyle A\times B}
เป็นเซตใหม่ที่มีสมาชิกดังนี้:
A
×
B
=
{
(
m
,
0
)
,
(
m
,
1
)
,
(
n
,
0
)
,
(
n
,
1
)
}
{\displaystyle A\times B=\{(m,0),(m,1),(n,0),(n,1)\}}
สมาชิกแต่ละตัวของ
A
{\displaystyle A}
จับคู่กับสมาชิกแต่ละตัวของ
B
{\displaystyle B}
แต่ละคู่เป็นสมาชิกตัวหนึ่งของเซตผลลัพธ์
จำนวนของค่าในแต่ละหลายสิ่งอันดับ เท่ากับจำนวนเซตที่นำมาหาผลคูณคาร์ทีเซียน สำหรับกรณีตัวอย่าง ค่านี้เป็น 2
ภาวะเชิงการนับของเซตผลลัพธ์เท่ากับผลคูณของภาวะเชิงการนับของทุกเซตที่นำมาดำเนินการ นั่นคือ
|
A
×
B
|
=
|
A
|
|
B
|
{\displaystyle |A\times B|=|A||B|}
และสามารถแสดงโดยการอุปนัยเชิงคณิตศาสตร์ ว่า
|
A
1
×
A
2
×
A
3
×
.
.
.
×
A
n
|
=
|
A
1
|
|
A
2
|
|
A
3
|
.
.
.
|
A
n
|
{\displaystyle |A_{1}\times A_{2}\times A_{3}\times ...\times A_{n}|=|A_{1}||A_{2}||A_{3}|...|A_{n}|}
ภาวะเชิงการนับของ
A
×
B
{\displaystyle A\times B}
เป็นอนันต์ ถ้าเซต
A
{\displaystyle A}
หรือเซต
B
{\displaystyle B}
เซตใดเซตหนึ่งมีสมาชิกอนันต์และอีกเซตหนึ่งไม่ใช่เซตว่าง[ 6]
จัตุรัสคาร์ทีเซียนและกำลังคาร์ทีเซียน
จัตุรัสคาร์ทีเซียน (หรือ ผลคูณคาร์ทีเซียนเชิงคู่ ) ของเซต X คือผลคูณคาร์ทีเซียน X 2 = X × X
ตัวอย่างคือระนาบ R 2 = R × R เมื่อ R เป็นเซตของจำนวนจริง ซึ่งหมายถึงทุกจุด(x ,y ) ที่ x และ y เป็นจำนวนจริง (ดูหน้า ระบบพิกัดคาร์ทีเซียน )
อ้างอิง
↑ cartesian (2014) ในพจนานุกรมออน์ไลน์ Merriam-Webster Online Dictionary เปิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2014 จาก http://www.merriam-webster.com/dictionary/cartesian
↑ Warner, S: Modern Algebra , page 6. Dover Press, 1990.
↑ 3.0 3.1 Singh, S. (2009, August 27). Cartesian product . Retrieved from the Connexions Web site: http://cnx.org/content/m15207/1.5/
↑ 4.0 4.1 CartesianProduct on PlanetMath
↑ Cartesian Product of Subsets. (2011, February 15). ProofWiki . Retrieved 05:06, August 1, 2011 from http://www.proofwiki.org/w/index.php?title=Cartesian_Product_of_Subsets&oldid=45868 เก็บถาวร 2021-08-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
↑ Peter S. (1998). A Crash Course in the Mathematics Of Infinite Sets. St. John's Review, 44 (2), 35–59. Retrieved August 1, 2011, from http://www.mathpath.org/concepts/infinity.htm