ฝุ่นควันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ.ศ. 2562
ฝุ่นควันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ.ศ. 2562 เป็นวิกฤตด้านมลภาวะทางอากาศข้ามชาติที่มีผลต่อหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย บรูไน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ประเทศไทยเริ่มประสบฝุ่นควันในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนพฤษภาคม ต่อมา ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ประเทศอินโดนีเซียเริ่มได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันเช่นกัน มาเลเซียได้รับผลกระทบตั้งแต่เดือนสิงหาคม ส่วนสิงคโปร์ บรูไน และเวียดนามประสบฝุ่นควันในเดือนกันยายน ปัญหาฝุ่นควันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นปัญหาเรื้อรังที่มีความรุนแรงต่าง ๆ กันในทุกฤดูแล้งในภูมิภาค ส่วนใหญ่เกิดจากไฟป่าที่เกิดจากการทำไร่เลื่อนลอยเพื่อถางพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ซึ่งอยู่บนเกาะสุมาตราและบอร์เนียวของอินโดนีเซียเป็นหลัก แล้วมีการกระจายอย่างรวดเร็วในฤดูแล้ง และกินเวลานานขึ้นจากการก่อพายุไต้ฝุ่นฟรานซิสโกในมหาสมุทรแปซิฟิก และระบบความกดอากาศต่ำที่ก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก[2] ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับที่ 5 ของเมืองที่มีสภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก โดยสภาพอากาศเป็นพิษเกินมาตรฐาน[3] เบื้องหลังและสาเหตุจุดความร้อนส่วนใหญ่สำหรับประเทศทางเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม และฟิลิปปินส์) เกิดตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดือนมีนาคมและเมษายน[4] เกิดอัคคีภัยในพื้นที่ป่าในภาคเหนือของประเทศไทย และพื้นที่เกษตรในป่าพรุควนเคร็งในจังหวัดนครศรีธรรมราชในภาคใต้ของประเทศ[5][6] ฝุ่นควันข้ามพรมแดนในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์เกิดขึ้นแทบทุกปีอันเนื่องจากไฟป่าในอินโดนีเซีย ซึ่งมีการเผาป่าเพื่อถางพื้นที่สำหรับไร่ใหญ่น้ำมันปาล์ม และผู้รับจ้างช่วงรายย่อยเป็นผู้เริ่มจุดไฟโดยตรง[7] ในปี 2562 มีไฟป่าในเกาะสุมาตราและบอร์เนียวในอินโดนีเซีย[8] ทั้งสองเกาะมีพื้นที่พรุกว้างใหญ่ ซึ่งเผาไหม้ได้ง่ายระหว่างฤดูแล้ง พีต ซึ่งประกอบขึ้นจากชั้นพืชและสารอินทรีย์อื่นที่ตายแล้ว ทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนมากเพราะสารมีความหนาแน่นสูงและปริมาณคาร์บอนสูง[9] จากข้อมูลของศูนย์อุตุนิยมวิทยาชำนัญพิเศษอาเซียน จุดความร้อนส่วนใหญ่สำหรับอินโดนีเซียและมาเลเซียเกิดในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2562[10] ณ เดือนกันยายน 2562 ประเทศอินโดนีเซียมีจุดความร้อนรวมกว่า 20,000 จุดในปี 2562 ส่วนประเทศมาเลเซียมีจุดความร้อนกว่า 2,000 จุด[11] อ้างอิง
|