พระพิทักษ์เจดีย์ (แก่น รามางกูร)
พระพิทักษ์เจดีย์ (แก่น) พื้นเมืองพระนมระบุนามเดิมท้าวสุวันนะคำแก่นหรือท้าวแก่นคำหรือยาพ่อคำแก่น เมื่อดำรงตำแหน่งออกนามเจ้าพีพักแก่นคำ[1] อดีตนายกองข้าอุปัฏฐากพระธาตุพนมหรือนายกองบ้านธาตุพนมลำดับ 6 พ.ศ. 2422-2427 ในราชวงศ์เวียงจันทน์ปกครองธาตุพนมลำดับ 9 เดิมบรรดาศักดิ์ท้าวพระลคร (ท้าวพลคร)[2] รับพระราชทานบรรดาศักดิ์พระพิทักษ์เจดีย์คนที่ 2 ต่อพระพิทักษ์เจดีย์ (ถง) บิดา ประวัติเป็นบุตรลำดับแรกของพระพิทักษ์เจดีย์ (ถง) กับนางพิทักษ์เจดีย์ (รัตนะจันทน์) เป็นหลานปู่ท้าวอุปละ (มุง) เหลนทวดพระอุปละ (คำมั่น) กับนางรัตนะหน่อแก้ว สืบเชื้อขุนโอกาสสายนางแก้วอาไพธิดาเจ้าพระรามราชฯ (ราม)[3] ก่อน พ.ศ. 2417 ท้าวอุปละ (มุง) บิดาขอตั้งบุตรเป็นท้าวพระลครแล้วเลื่อนเป็นเพี้ยพระละคอรมหาโคตร[4] หัวหน้าพวกคัพพชุมขับเสพมโหรีถวายพระธาตุพนม[5] มีท้าวพลเสพขวาพลเสพซ้ายช่วยราชการ ตำแหน่งนี้พบในพื้นเมืองพระนมระบุครั้งเจ้าพระรามราชฯ (ราม) ปกครองธาตุพนมให้ชาวเวียงจันทน์ดำรงตำแหน่ง 4 คนคือท้าวพระละคร ท้าวพระไซยา ท้าวพระเสพขวา ท้าวพระเสพซ้าย[6] ครั้งเจ้าอนุวงศ์ปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมเคยโปรดเกล้าฯ พระยาคำป้อง (ต้นสกุลคำป้อง) เป็นหัวหน้าพวกเสพถวายพระธาตุพนม[7] พร้อมเครื่องมโหรี อาทิ นางนาด กลอง ฆ้องวง (ฆ้องวงปัจจุบันแสดงที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตรบูรวัดพระธาตุพนม) เป็นต้น ต่อมา พ.ศ. 2422 (23) พระพิทักษ์เจดีย์ (ถง) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ท้าวพระลคร (แก่น) กรมการบ้านธาตุพนมเป็นพระพิทักษ์เจดีย์นายกองผู้ควบคุมท้าวเพี้ยตัวเลกข้าพระมหาธาตุพนมแทน[8] โปรดฯ มีตราพระราชสีห์น้อยถึงเจ้าเมืองกรมการเมืองมุกดาหาร นครพนม สกลนคร ใจความสาส์นตราพระพิทักษ์เจดีย์ (เทบปะจิด) ฟ้องถึงกรุงเทพฯ ระบุ ...แล้วพระพิทักษ์เจดีย์ป่วยถึงแก่กรรมที่กรุงเทพฯ ยังหาได้กลับขึ้นมาไม่ แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งท้าวพระลคร (แก่น) ให้เป็นที่พระพิทักษ์เจดีย์นายกองแทนพระพิทักษ์เจดีย์คนเก่า แล้วโปรดมีตราพระราชสีห์น้อยมาถึงเจ้าเมืองกรรมการเมืองมุกดาหารฉบับหนึ่ง, เมืองลครพนมฉบับหนึ่ง, เมืองสกลนครฉบับหนึ่ง รวม 3 ฉบับ ใจความในตราว่าให้เจ้าเมืองกรมการเมืองมุกดาหาร, เมืองลครพนม, เมืองสกลนคร ชำระตัวเลกข้าพระทาษพนมส่งให้พระพิทักษ์เจดีย์นายกองตามเดิมอย่าให้ขัดขวางเอาตัวเลกข้าพระทาษพนมไว้ แล้วห้ามเจ้าเมืองกรมการเมืองมุกดาหาร, เมืองลครพนม, เมืองสกลนครไม่ให้เก็บเงิน, ข้าวถังกับตัวเลกข้าพระทาษพนมไปเป็นอาณาประโยชน์ของเจ้าเมืองกรมการเมืองมุกดาหาร, เมืองลครพนม, กะเกณฑ์ใช้ราชการเหมือนแต่ก่อน ให้ท้าวเพี้ยตัวเลกซ่อมแซมปฏิสังขรณ์พระทาษพนมสืบไป แจ้งอยู่ในตราพระราชสีห์น้อย 3 ฉบับนั้นแล้ว แล้วเจ้าเมืองกรมการเมืองมุกดาหาร, เมืองลครพนม, เมืองสกลนครส่งให้พวกฯ ข้าฯ ไม่ เจ้าเมืองกรมการเมืองมุกดาหาร, เมืองลครพนม, เมืองสกลนครยังขืนเก็บเอาเงิน, ข้าวถังกับตัวเลกข้าพระทาษพนมไปเป็นอาณาประโยชน์ ของเจ้าเมืองกรมการทั้งสิ้นและใช้ราชการกะเกณฑ์ทุกปีมิได้ขาด...[9] เนื้อความแสดงปัญหาการแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมที่ยืดเยื้อและปัญหาผลประโยชน์มูลนายธาตุพนมกับหัวเมืองใกล้เคียงซึ่งแม้สมัยนายกองลำดับต่อไปก็ยังไม่จบสิ้น พี่น้องบุตรธิดามีพี่น้อง 6 ท่านคือพระพิทักษ์เจดีย์ (แก่น), พระพิทักษ์เจดีย์ (สี) หรือท้าวเทพพระสี, ท้าวเทพพระนม, นางเทพสวัสดิ์, นางเทพทุมมา, นางคำอ้วน มีภริยาปรากฏนาม 1 ท่านคือนางพิทักษ์เจดีย์ (พิมมะทา) มีบุตรธิดา 8 ท่านคือท้าวฮุง, ท้าวลี, ท้าวดี, ท้าวโม, ท้าวคำโสม, นางมาลีราช, นางพรหมประกาย, นางหม่าน[10] การพระศาสนาพื้นเมืองพระนมระบุผลงานไว้จำนวนมาก เช่น ถวายพวกเสพเพิ่มแด่พระธาตุพนม บูรณะลานพระธาตุ เกณฑ์ไพร่พลข้าโอกาสขุดลอกบึงธาตุหน้าวัด เทครัวข้าโอกาสบางส่วนที่อพยพไปอยู่ฝั่งซ้ายน้ำโขงมาอยู่บ้านดอนจัน ปัจจุบันคือบ้านดอนกลาง ตำบลธาตุพนม เป็นต้น[11] ถึงแก่อนิจกรรมป่วยถึงแก่กรรม ณ กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2427 ก่อนปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล 17 ปี หลังเป็นพระพิทักษ์เจดีย์ 6 ปี ด้วยเหตุเดินทางฟ้องร้องเจ้าเมืองทั้ง 3 เรื่องแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมและการเก็บเงินส่วยข้าวถังข้าเลก[12] สาส์นตราพระพิทักษ์เจดีย์ (เทบปะจิด) ว่า ...ครั้นถึงปีวอก จศก (พ.ศ. 2427) พระพิทักษ์เจดีย์ (แก่น) ลงไปกรุงเทพฯ ทำคำร้องทุกข์ขึ้นกราบทูลในสมเด็จกรมพระบำราบปรปักษ์ยังหาทันได้ขึ้นมาไม่ พระพิทักษ์เจดีย์ (แก่น) ป่วยถึงแก่กรรมอยู่กรุงเทพฯ...[13] พื้นเมืองพนมระบุถึงแก่กรรม พ.ศ. 2428 (จ.ศ. 1247) ด้วยอาการไข้เจ็บนาน 5 เดือน พระราชทานเพลิงที่กรุงเทพฯ ท้าวโพธิสารกรมการเชิญอัฐิบรรจุธาตุทิศเหนือพระธาตุพนม[14]
อ้างอิง
|