พลระห่ำสงครามนรก
พลระห่ำสงครามนรก (อังกฤษ: Jarhead) เป็นภาพยนตร์ดรามาชีวประวัติและสงครามของอเมริกันในปี พ.ศ. 2548 สร้างขึ้นมาจากบันทึกความทรงจำในชื่อจาร์เฮด เช่นเดียวกับชื่อหนังเมื่อปี พ.ศ. 2546 โดย แอนโทนี สวอฟฟอร์ด เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของการรับราชการทหารในเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ ระหว่างช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งกำกับโดย แซม เมนเดส นำแสดงโดย เจค จิลเลินฮาล รับบทเป็น สวอฟฟอร์ด ร่วมกับ เจมี ฟ็อกซ์, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, ลูคัส แบล็ค และ คริส คูเปอร์ ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอส์ เปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อวันที่ 4 พฤษจิกายน พ.ศ. 2548 โดยได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายและทำรายได้ในบ็อกออฟฟิศที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง เนื่องจากทำรายได้เพียง 97 ล้านดอลลาร์สหรัฐเทียบกับ 72 ล้านดอลดาร์สหรัฐ ชื่อของเรื่องตั้งมาจากคำแสลงทางการทหารในหมูนาวิกโยธินสหรัฐ แปลว่าพวกไอเณร หรือพวกทหารหัวเกรียน[2] และท้ายที่สุดภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกบรรจุลงแพลตฟอร์มซีดี กลายเป็นหนังแผ่น โดยมีเรื่องราวเพิ่มเติมอีก 3 ภาค กลายเป็น 3 เรื่องที่ใช้ชื่อชุดเดียวกันแต่ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย โครงเรื่องในปี พ.ศ. 2532 แอนโธนี "สวอฟฟ์" สวอฟฟอร์ด ซึ่งมีบิดาเป็นทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนาม (พ.ศ. 2504–2518) มาก่อน เขาได้เข้าร่วมการคัดเลือกและฝึกเป็นนาวิกโยธินสหรัฐ และเข้าประจำการที่ค่ายเพนเดิลตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย สวอฟฟอร์ดอ้างว่าเขาสมัครเข้าร่วมนาวิกโยธินเพราะ "เดินหลงทางระหว่างไปมหาวิทยาลัย" เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปทั้งเรื่องการพยายามเข้าสังคมและการปรับตัว แม้ว่าเขาจะชอบแกล้งป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงหน้าที่รับผิดชอบของเขาบ่อยๆ ก็ตาม แต่จ่าสิบเอกไซค์ส ได้มองเห็นศักยภาพในตัวของเขาและยื่นโอกาสให้กับเขาในการเข้าร่วมหลักสูตรพลแม่นปืน หลังจากการฝึกฝนอย่างหนัก ทหารจำนวนแปดนายได้สำเร็จการฝึกหลักสูตรพลแม่นปืน โดยหนึ่งในนั้นคือสวอฟฟอร์ด ซึ่งอยู่ในตำแหน่งพลยิง และสิบโท อลัน ทรอย เพื่อนร่วมห้องของเขาได้มาเป็นพลชี้เป้าให้กับเขา ต่อมาเมื่อคูเวตถูกรุกรานโดยอิรัก หน่วยของสวอฟฟอร์ดก็ถูกส่งเข้าไปประจำการในพื้นที่คาบสมุทรอาหรับโดยเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์ ในสงครามอ่าว (พ.ศ. 2533–2534) ด้วยความกระหายในการรบ เหล่านาวิกโยธินพบว่าตนเองกลับต้องเบื่อหน่ายอยู่กับการฝึกซ้อม การฝึกยุทธวิธีเสริม ภารกิจประจำวัน และงานในความรับผิดชอบอยู่เป็นประจำจนเกิดความเบื่อหน่าย ทำให้หลายคนพูดถึงเรื่องแฟนสาวและภรรยาของพวกตนที่รออยู่ที่บ้าน พวกเขายังสร้างบอร์ดข่าวที่มีรูปถ่ายพร้อมกับคำอธิบายความผิดและการนอกใจต่าง ๆ ของพวกเธอที่พวกเขาจับได้หรือรับรู้ (รู้จักกันในคำสแลงทางทหารว่า กำแพงโจดี้) สวอฟฟอร์ดได้ลักลอบนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาจัดปาร์ตี้คริสต์มาส และให้เฟอร์กัสดูต้นทางเพื่อเฉลิมฉลอง ฟอร์กัสจุดไฟเผาเต็นท์โดยไม่ได้ตั้งใจในขณะปรุงไส้กรอกทำให้พลุไฟระเบิดขึ้น ปลุกคนทั้งค่ายให้ตื่นขึ้น ซึ่งทำให้จ่าสิบเอกไซค์สโกรธมาก แทนที่เขาจะโยนความผิดให้ฟอร์กัส เขากลับรับความผิดไว้ด้วยตัวเอง เขาจึงถูกลดตำแหน่งลงจากสิบตรีเป็นพลทหาร และได้รับหน้าที่ในการเผาเศษของอุจาระจากห้องน้ำเพื่อทำลายของเสีย ผลจากการถูกลงโทษ ความเบื่อหน่าย ความเครียด และความสงสัยในใจของเขาว่าแฟนของเขาได้นอกใจไปเช่นกัน ทำให้เขาสติแตกจนไปขู่ฟอร์กัสด้วยปืนไรเฟิลแล้วขอให้ยิงเขาด้วยไรเฟิลนั้น ต่อมา ปฏิบัติการพายุทะเลทรายได้เริ่มขึ้น หน่วยนาวิกโยธินได้ถูกส่งกำลังไปยังพรมแดนซาอุดิอาระเบียและคูเวต สวอฟฟอร์ดได้รู้ข้อมูลจากจ่าไซค์สว่าทรอยปกปิตประวัติอาชญากรรมของเขาก่อนสมัครเข้ามาเป็นทหาร ทำให้เมื่อเดินทางกลับไปจะต้องถูกปลดประจำการ โดยทรอยเริ่มทำตัวเหินห่างจากเพื่อน ๆ ในหน่วย เมื่อทุกคนรู้ว่าทรอยจะสมัครเข้ามาประจำการใหม่อีกไม่ได้แล้ว เพื่อนนาวิกจึงจู่โจมใส่เขาและประทับตรา USMC เหล็กร้อนแดงลงบนตัวของทรอย เพื่อประทับตราว่าทรอยก็เป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านาวิกโยธินแล้ว จากนั้นหลังจากเหตุการณ์โจมตีทางอากาศในพวกเดียวกันเอง นาวิกโยธินได้เคลื่อนพลรุกคืบผ่านดินแดนของทะเลทราย โดยไม่พบกับกองกำลังของศัตรูบนภาคพื้นดินเลย จนกระทั่งเคลื่อนพลผ่าน "ทางหลวงแห่งความตาย" อันโด่งดัง (ถนนที่ทางเหนือมุ่งหน้าไปยังอิรักจากเมืองหลวงของคูเวต) ซึ่งเต็มไปด้วยซากของยานพาหนะที่ถูกไฟไหม้และศพของทหารอิรักที่กำลังล่าถอยที่ไหม้เกรียม ซึ่งเป็นผลมาจากการทิ้งระเบิด ต่อมาหน่วยนาวิกโยธิได้เคลื่อนพลไปจนเห็นบ่อน้ำมันของคูเวตซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ไกล ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการล่าถอยของอิรัก พวกเขาพยามขุดหลุมเพื่อหลับพักผ่อนในขณะที่มีฝนน้ำมันดิบตกลงมาจากท้องฟ้าซึ่งมาจากการเผาบ่อน้ำมัน โดยก่อนพวกเขาจะขุดเสร็จ จ่าไซค์ได้สั่งให้ทีมของพวกเขาเคลื่อนที่ไปต่อให้พ้นจากแนวฝนน้ำมันดิบเนื่องจากลมเปลี่ยนทิศ ในช่วงท้ายของสงคราม ในที่สุดสวอฟฟอร์ทและทรอยได้รับภารกิจในการลอบสังหาร โดยพันโทคาซินสกี้ ผู้บังคับกองพันของเขาสั่งการให้ลอบสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยรีพับลิกกันการ์ดอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนในสนามบินบริเวณใกล้เคียงหน่วยของเขา ในวินาทีสุดท้ายที่สวอฟฟอร์ดจะยิง พันตรีลินคอล์นก็ขัดจังหว่ะเขา และเปลี่ยนไปใช้การโจมตีทางอากาศแทน ทรอยขอร้องที่จะสังหารเป้าหมายนี้ แต่ถูกปฏิเสธ และสั่งให้โจมตีทางอากาศ ทำให้สวอฟฟอร์ดและทรอยผิดหวังอย่างมาก และเขาไม่ได้ใช้ไรเฟิลของเขายิงใครเลยตลอดสงครามจนสิ้นสุด เขาพูดกับตัวเองว่าการฝึกของเขาทั้งหมดเพื่อที่จะได้จบหลักสูตรมาเป็นพลแม่นปืนนี้แทบไม่มีความหมายเลยในสงครามสมัยใหม่นี้ เหล่านาวิกโยธินเดินทางกลับมาบ้านด้วยรถบัสซึ่งมีนาวิกโยธินยุคสงครามเวียดนามมายินดีกับพวกเขา ซึ่งพวกเขารู้สึกได้ถึงความอึดอัดบางอย่างของชายคนนั้นและขอติดรถไปด้วย พร้อมทั้งมีขบวนแห่ไปทั่วทั้งเมืองเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะ สวอฟฟอร์ดกลับบ้านไปหาครอบครัวและแฟนสาวของเขา และพบว่าเธอมีแฟนใหม่ไปแล้ว ฟาวเลอร์อยู่กับโสเภณีในบาร์ ซึ่งปัจจุบันมียศสิบตรี ครูเกอร์ในห้องประชุมของบริษัท เอสโกบาร์เป็นพนักงานในซุปเปอร์มาร์เก็ต คอร์เทซเป็นพ่อของลูกสามคน และไซค์สยังคงรับราชการทหารเป็นพันจ่าโทในสงครามอิรัก จนกระทั่งเฟอร์กัสได้มาแจ้งข่าวการจากไปของทรอยอย่างไม่คาดคิด ในงานศพของทรอย เพื่อน ๆ ที่ร่วมรบกันในครั้งนั้นได้กลับมาพบกันอีกครั้งและได้รำลึกถึงผลกระทบของสงครามที่เกิดกับพวกเขา นักแสดง
ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ และ โทบีย์ แมไกวร์ เคยได้รับการพิจารณาให้มารับบทของแอนโทนี่ สวอฟฟอร์ด[3] กระแสตอบรับสำหรับ รอตเทนโทเมโทส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้คะแนน 61% จากผู้วิจารณ์ 201 ราย โดยมีเรตติ้งเฉลี่ย 6.40/10 โดยข้อสรุปของเว็บไซต์ระบุว่า "เรื่องราวมุมมองบุคลคที่หนึ่งของสงครามอ่าวนี้ ได้คะแนนในด้านของการแสดงและการถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ขาดแรงผลักดันร่วมทางอารมณ์"[4] ในขณะที่ โรเจอร์ อีเบิร์ต ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้สามดาวครึ่งจากสี่ดาว โดยให้เครดิตในส่วนของการถ่ายทอดภาพของนาวิกโยธินในสงครามอ่าวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวในส่วนของการต่อสู้กับความเบื่อหน่ายและความโดดเดี่ยว มากกว่าการต่อสู้กับศัตรูในสงคราม[5] ส่วนเอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ B+ และ โอเวน เกลเบอร์แมน ได้เขียนว่า
สำหรับบทวิจารณ์ของสตีเฟน ฮันเตอร์ ใน เดอะวอชิงตันโพสต์ ยกย่องการแสดงของเจค จิลเลินฮาล ที่ไม่ได้โชวออฟมากไปต่อหน้ากล้อง และไม่ได้รู้สึกอิจฉาเวลาคนอื่นได้อยู่หน้ากล้องแทนเขา เขาพอใจในบทบาทที่เป็นและทำหน้าที่เป็นเหมือนปริซึมที่คอยสะท้อนภาพของชายหนุ่มคนอื่น ๆ ที่คอยเฝ้ามองสิ่งเหล่านั้น[7] เลสลี เฟลเพริน จาก นิตยสาร Sight and Sound เขียนว่า ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่น พลระห่ำสงครามนรกก็เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเกี่ยวกับสงครามที่เรายังไม่เข้าใจถึงผลที่ตามมา สงครามที่ตอนนี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ด้วยภาคต่อหลังจากนั้นที่ยังคงโหมกระหน่ำไฟสงครามนั้นอยู่[8] ยูเอสเอทูเดย์ ให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามดาวจากสี่ดาวและเขียนว่า สิ่งที่เราเหลือไว้ที่นั่นนั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่เมนเดสได้เติบโตขึ้นในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์[9] ริชาร์ด ชิกเกล ใน ไทม์ เขียนว่า แต่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด—และเรื่องนี้ แม้ว่าเรื่องราวมันจะเกิดขึ้นอย่างยาวนานและซ้ำซากในหมู่ของพวกเขา—ให้ถือว่าชายเหล่านั้นได้ต่อสู้ (หรือในกรณีที่พร้อมที่จะต่อสู้) ไม่ใช่เพื่อเหตุผลหรืออุดมการณ์ แต่เพื่อความอยู่รอด[10] อย่างไรก็ตาม เอ. โอ. สก็อตต์ ใน เดอะนิวยอร์กไทมส์ เขารู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เต็มไปด้วยความเข้มข้นของหนังแต่ไม่มีผลกระทบกับร่างกายผู้ดูเลย และเรียกมันว่า ภาพยนตร์รองเกี่ยวกับสงครามรอง ที่ให้ความรู้สึกขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง[11] เคนเน็ธ ทูราน ได้เขียนบทวิจารณ์ใน ลอสแอนเจลิสไทมส์ ว่า
ข้อถกเถียงบทความของ เดอะนิวยอร์กไทมส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เดวิด คารร์ นักเขียนและทหารผ่านศึกได้ตั้งข้อสังเกตว่าบางส่วนของโครงเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกนำมาจากหนังสือของเขาเมื่อปี พ.ศ. 2545 ที่ชื่อว่า Baghdad Express: A Gulf War Memoir โดยไม่ได้รับการยินยอมจากเขา ในขณะที่ผู้เขียนบทภาพยนตร์ วิลเลียม บรอยส์เลส จูเนียร์ ได้ออกมาโต้ตอบข้อกล่าวหานั้นว่าเรื่องเล่านั้นอาจจะมีความกล้ายคลึงกันอันเนื่องมาจากประสบการณ์ร่วมกันของการประจำการเป็นนาวิกโยธินเหมือนกัน[13] รางวัลที่เข้าชิง
ภาคต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยภาคต่อแบบหนังแผ่น จำนวน 3 ภาคได้แก่ จาร์เฮด พลระห่ำสงครามนรก 2 (Field of Fire) (พ.ศ. 2557), จาร์เฮด พลระห่ำสงครามนรก 3 (The Siege) (พ.ศ. 2559) และ จาร์เฮด: Law of Return (พ.ศ. 2562) โดยทั้งสามภาคนั้นแตกต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง และเนื้อเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับต้นฉบับแต่อย่างใด[14] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |