สนธิสัญญาไวตางี
สนธิสัญญาไวตางี (อังกฤษ: Treaty of Waitangi; เมารี: Tiriti o Waitangi) เป็นสนธิสัญญาที่ลงนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 โดยผู้แทนของคราวน์หรือรัฐบริติช (British Crown) และหัวหน้าเผ่าเมารีหลายคนจากเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์ ส่งผลให้มีการประกาศอำนาจอธิปไตยของบริเตนเหนือนิวซีแลนด์โดยรองผู้ว่าราชการวิลเลียม ฮอบสัน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1840 สนธิสัญญาฯ ตั้งผู้ว่าราชการนิวซีแลนด์ที่เป็นชาวบริติช รับรองความเป็นเจ้าของดินแดนและทรัพย์สินอื่นของมาวรี และให้สิทธิคนในบังคับบริเตนแก่มาวรี สนธิสัญญาฯ ฉบับภาษาอังกฤษและมาวรีต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้นจึงไม่มีการเห็นพ้องต้องกันว่าตกลงอะไรกันแน่ จากมุมมองของบริเตน สนธิสัญญาฯ ให้อำนาจอธิปไตยของบริเตนเหนือนิวซีแลนด์ และให้สิทธิผู้ว่าราชการปกครองประเทศ มาวรีเชื่อว่าตนยกสิทธิการปกครองแก่คราวน์โดยแลกกับการคุ้มครอง โดยไม่สละอำนาจในการจัดการกิจการของพวกตน[1] หลังการลงนามขั้นต้นที่ไวตางี มีการนำสำเนาสนธิสัญญาฯ ไปทั่วนิวซีแลนด์และในหลายเดือนถัดมา มีหัวหน้าอีกหลายคนลงนาม[2] รวมแล้วมีสำเนาสนธิสัญญาไวตางีเก้าฉบับรวมทั้งฉบับดั้งเดิมที่ลงนามเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840[3] ชาวมาวรีประมาณ 530 ถึง 540 คน โดยอย่างน้อย 13 คนเป็นหญิง ลงนามสนธิสัญญาไวตางี[4][5][6][7] จนคริสต์ทศวรรษ 1970 สนธิสัญญาฯ โดยทั่วไปถือว่าบรรลุความมุ่งหมายในประเทศนิวซีแลนด์ ค.ศ. 1840 และถูกศาลและรัฐสภาละเลย แม้โดยทั่วไปถูกพรรณนาในประวัติศาสตร์นิวซีแลนด์ว่าเป็นความใจกว้างในส่วนของจักรวรรดิบริติช ซึ่งในขณะนั้นเป็นจุดสุดยอด[8] มาวรีคาดหวังสิทธิและการชดเชยการเสียที่ดินและการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมจากสนธิสัญญาฯ แต่สำเร็จบ้าง ตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เมารีเริ่มดึงความสนใจมายังการละเมิดสนธิสัญญาฯ และประวัติศาสตร์ต่อมาเน้นปัญหาเกี่ยวกับการแปล[9] ใน ค.ศ. 1975 มีการตั้งศาลชำนัญพิเศษไวตางีเป็นคณะกรรมการสืบสวนถาวรที่ได้รับมอบหมายให้วิจัยการละเมิดสนธิสัญญาฯ โดยคราวน์บริติชหรือเจ้าหน้าที่ และเสนอวิธีชดใช้ เกือบ 150 ปีหลังการลงนามสนธิสัญญาฯ รัฐบาลพยายามให้ผลทางตุลาการและจริยธรรมต่อเอกสารโดยนิยาม "เจตนารมณ์" หรือ "ความจำนง" ใหม่อีกชุดของสนธิสัญญาผ่านการระบุหลักการของสนธิสัญญาฯ ท่าทีดังกล่าวแสดงว่าเอกสารต้นฉบับมิใช่รากฐานที่หนักแน่นของการสร้างรัฐ[10] ปัจจุบัน สนธิสัญญาฯ โดยทั่วไปถือเป็นเอกสารก่อตั้งชาตินิวซีแลนด์ กระนั้น ยังเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน และทั้งชาวมาวรีและชาวนิวซีแลนด์ที่มิใช่มาวรีไม่ลงรอยมาก ชาวมาวรีจำนวนมากรู้สึกว่าคราวน์ไม่บรรลุข้อผูกมัดภายใต้สนธิสัญญาฯ และนำเสนอหลักฐานต่อที่ประชุมศาลชำนัญพิเศษไวตางี ชาวนิวซีแลนด์ที่มิใช่มาวรีบางส่วนแนะว่ามาวรีอาจละเมิดสนธิสัญญาฯ เพื่ออ้างเอกสิทธิ์พิเศษ[11][12] ในกรณีส่วนใหญ่ คราวน์ไม่มีข้อผูกมัดให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของศาลชำนัญพิเศษฯ แต่กระนั้น ในหลายกรณีก็ยอมรับว่าละเมิดสนธิสัญญาฯ และหลักการ การตกลงการละเมิดสนธิสัญญาฯ จนทุกวันนี้ประกอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสดและสินทรัพย์ ตลอดจนคำขอขมา วันที่ลงนามเป็นวันหยุดราชการ ปัจจุบันเรียก วันไวตางี ตั้งแต่ ค.ศ. 1974 อ้างอิง
|