สมันตปาสาทิกาสมันตัปปาสาทิกา หรือ สมันตปาสาทิกา คือคัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายขยายความพระวินัยปิฎก พระพุทธโฆษจารย์ หรือพระพุทธโฆสะเป็นผู้แต่งคัมภีร์สมันตปาสาทิกานี้ขึ้นในช่วงปีก่อน พ.ศ. 1000 โดยรจนาเป็นภาษาบาลี อาศัยอรรถกถาพระไตรปิฎกที่มีอยู่ในภาษาสิงหฬชื่อมหาอัฏฐกถา เป็นหลักพร้อมทั้งอ้างอิงจากคัมภีร์ มหาปัจจริยะ และคัมภีร์กุรุนที[1] นอกจากจะเป็นคัมภีร์อรรถกาที่อธิบายความของพระวินัยปิฎกแล้ว ท่านผู้รจนายังได้สอดแทรกและบันทึกข้อมูลอันทรงคุณค่าด้านสังคม การเมือง จริยธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์ปรัชญาในยุคโบราณของอินเดียไว้อย่างมากมาย[2] Oscar von Hinuber ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณคดีบาลี ชี้ว่า สมันตัปปาสาทิกาได้หยิบยืมคาถาหลายบทมาจากคัมภีร์ทีปวงศ์ ซึ่งรจนาก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ ยังระบุว่า ชื่อของคัมภีร์อรรกถานี้ คือ สมันตัปปาสาทิกา มาจากคำว่า "สมันตะ" ที่บ่งนัยถึงทิศทั้ง 4 และคำว่า "ปาสาทิกา" ซึ่งแปลว่า ร่มเย็นราบคาบ[3] ทั้งนี้ คัมภีร์ชั้นฎีกาที่อธิบายความในคัมภีร์สมันตัปปาสาทิกา คือ สารัตถทีปนี ซึ่งพระสารีบุตรเถระแห่งเกาะลังกา เป็นผู้รจนาในรัชกาลของพระเจ้าปรักกมพาหุที่ 1 แห่งลังกา (พ.ศ. 1696 - 1729)[4] และในปัจจุบัน สมันตัปปาสาทิกยังาถูกใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทยในระดับชั้น เปรียญธรรม 6 ประโยค นอกจากนี้ ยังมีการแปลเป็นภาษาจีน ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 489 โดยพระสังฆะภัทระ[5] ที่มาพระพุทธโฆสะ รจนาคัมภีร์สมันตัปปาสาทิกาขึ้นตามคำอาราธนาของพระเถระผู้มีนามว่าพระพุทธสิริ เมื่อประมาณ พ.ศ. 927-973 ณ เมืองอนุราธปุระในศรีลังกาในรัชสมัยของพระเจ้าสิริปาละในอารัมภบทของคัมภีร์[6] ท่านผู้รจนาได้ชี้แจงว่า คัมภีร์นี้เป็นอรรถกถาแรกที่ท่านได้แต่งขึ้นเพื่ออธิบายความในพระไตรปิฎก ท่านผู้รจนายังได้ชี้แจงด้วยว่า เหตุที่แจ่งอรรถกถาพระวินัยปิฎกก่อนพระสูตร ตามลำดับของคำว่า "พระธรรมวินัย" นั่น ก็ด้วยเหตุที่ท่านได้พิจารณาแล้วว่า พระวินัยคือรากฐานของพระศาสนา[2] ทัศนะของ พระพุทธโฆษจารย์ เกี่ยวกับความสำคัญของพระวินัย สอดคล้องกับเนื้อความในสมันตปาสาทิกา ที่ระบุถึงเหตุการณ์หลังจากที่พระอานนท์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วเข้าร่วมการสังคายนาครั้งแรก ดังว่า
เนื้อหาสมันตปาสาทิกา แบ่งเป็น 3 ภาค คือ ภาคที่ 1 อธิบายความในเวรัญชกัณฑ์ถึงปาราชิกกัณฑ์แห่งมหาวิภังค์ภาค 1 ว่าด้วยวินัยที่เป็นหลักใหญ่ของภิกษุ, ภาคที่ 2 อธิบายความในเตรสกัณฑ์ถึงอนิยตกัณฑ์แห่งมหาวิภังค์ภาค 1 และในนิสสัคคีย์กัณฑ์ถึงอธิกรณสมถะแห่งมหาวิภังค์ภาค 2 รวมทั้งอธิบายความในภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยวินัยที่เป็นหลักใหญ่ของภิกษุณี และภาคที่ 3 อธิบายความในมหาวรรค (ภาค 1-2) จุลลวรรค (ภาค 1-2) และปริวาร ซึ่งว่าด้วยกำเนิดภิกษุสงฆ์และระเบียบความเป็นอยู่และกิจการของภิกษุสงฆ์ และว่าด้วยระเบียบความเป็นอยู่และกิจการของภิกษุสงฆ์ เรื่องภิกษุณี และสังคายนา รวมถึงหมวดที่ว่าด้วยคู่มือถามตอบซักซ้อมความรู้พระวินัย[6] โดยสังเขปเล้วสมันตปาสาทิกามีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เนื้อหาหลักที่เกี่ยวกับพระธรรมวินัย เช่น มูลเหตุทำสังคายนาครั้งแรก, การสังคายนาครั้งต่อมา คือครั้งที่ 2, 3 และ 4 มีการอธิบายเรื่องพระพุทธคุณ 9, มีการอธิบายเรื่องสติ สมาธิ ปฏิสัมภิทา จิต วิญญาณ อินทรีย์ และมีการอธิบายเรื่องอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส เป็นต้น ทั้งของภิกษุและภิกษุณี[8] นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกและระบุถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ต่าง ๆ เช่น ประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช ประวัติพระเจ้าอชาตศัตรู ตลอดจนพระเจ้าอุทัยภัทท์ พระเจ้าอนุรุทธะและพระเจ้ามุณฑะ ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมคธ ประวัติการเกิดข้าวยากหมากแพงในเมืองเวรัญชา เป็นต้น ในส่วนที่ให้ข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ เช่น ชัยภูมิที่ตั้งเมืองต่าง ๆ เช่น กุสินารา จัมปา สาวัตถี และดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นต้น[9] ความสำคัญนอกเหนือจากจะเป็นคัมภีร์อรรถกถาคัมภีร์แรก ๆ ที่ความสำคัญอย่างยิ่งในการอธิบายพระวินัยปิฎกแล้ว ยังเป็นคัมภีร์ที่บันทีกวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และนานาศาสตร์ของอินเดียโบราณไว้อย่างพิสดารพันลึก โดยพระอรรถกถาจารย์ผู้รจนาได้อ้างอิงศาสตร์เหล่านี้ ในการอธิบายพระวินัยปิฎกนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบันทึกประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ในยุคสมัยแห่งการสังคายนาครั้งที่ 3 มีการระบุผู้ที่เป็นประธานสงฆ์ในการสังคายนาครั้งที่ 3 การส่งคณะพระธรรมทูตไปประกาศพระศาสนาในดินแดนต่าง ๆ โดยพระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศกมหาราช[10] ทั้งนี้ สมันตปาสาทิกา ยังมีการระบุว่า ในการสังคายนาครั้งนั้น พระสังคีติภาณกาจารย์ได้จัดหมวดหมู่ “พระธรรมและพระวินัย” ออกเป็น 3 หมวดใหญ่ เรียกว่า “ปิฎก” คือ พระวินัยปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์ส่วนพระวินัย, พระพุทธสุตตันตปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์ส่วนพระสูตร และพระอภิธรรมปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์ส่วนปรมัตถ์[11] อ้างอิง
บรรณานุกรม
ตัวบท
|