หินไนส์
หินไนส์ (อังกฤษ: gneiss) เป็นหินแปรชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปและกระจายตัวอย่างกว้างขวาง โดยเกิดจากกระบวนการแปรสภาพภายใต้อุณหภูมิและความดันสูง ซึ่งมีผลต่อหินต้นกำเนิดที่เป็นหินอัคนีหรือหินตะกอน หินชนิดนี้เกิดขึ้นภายใต้ความดันที่อยู่ในช่วง 2 ถึง 15 กิโลบาร์ หรือมากกว่านั้นในบางกรณี และอุณหภูมิที่สูงกว่า 300 องศาเซลเซียส (572 องศาฟาเรนไฮต์) ลักษณะเด่นของหินไนส์คือพื้นผิวที่มีเนื้อเป็นแถบ (banded texture) ซึ่งประกอบด้วยแถบสีเข้มและสีอ่อนสลับกัน โดยไม่มีแนวแตกเรียบ (cleavage) ที่ชัดเจน หินไนส์สามารถพบเจอได้ทั่วไปตามหินฐานทวีปโบราณ หินที่เก่าแก่ที่สุดในโลกบางก้อนนั้นคือหินไนส์ ยกตัวอย่างเช่นหินไนส์ที่อะคัสตาไนส์ (Acasta Gneiss) คำอธิบายจากนิยามดั้งเดิมของภาษาอังกฤษและการใช้งานในอเมริกาเหนือ คำว่า "ไนส์" (Gneiss) หมายถึงหินแปรเนื้อหยาบที่มีลักษณะการเรียงตัวขององค์ประกอบเป็นแถบ (gneissic banding) แต่มีความเป็นหินชิสต์ (schistosity) ที่พัฒนาน้อย และไม่มีแนวแตกเรียบ (cleavage) ที่ชัดเจน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหินไนส์เป็นหินแปรที่ประกอบด้วยแร่ธาตุที่มีขนาดเม็ดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งเรียงตัวกันเป็นชั้นหรือแถบอย่างชัดเจน แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดการแตกหักตามชั้นหรือแถบเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในยุโรป คำว่า "ไนส์" ถูกใช้อย่างกว้างมากกว่า โดยหมายรวมถึงหินแปรเนื้อหยาบที่มีไมกา (mica) น้อยและเป็นหินแปรคุณภาพสูง[1] สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร (British Geological Survey - BGS) และ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยานานาชาติ (International Union of Geological Sciences - IUGS) ใช้คำว่า "ไนส์" เป็นหมวดหมู่อย่างกว้างที่เกี่ยวกับเนื้อหินสำหรับหินแปรเนื้อปานกลางถึงเนื้อหยาบที่มีความเป็นชิสต์ ที่พัฒนาน้อย โดยมีการเรียงตัวขององค์ประกอบเป็นชั้นที่มีความหนามากกว่า 5 มิลลิเมตร (0.20 นิ้ว)[2] และมักแตกออกเป็นแผ่นที่มีความหนามากกว่า 1 เซนติเมตร (0.39 นิ้ว)[3] นิยามนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีหรือแหล่งกำเนิดของหิน แต่หินที่มีแร่แผ่นบาง (platy minerals) ประกอบอยู่น้อยนั้นมักจะเกิดลักษณะเนื้อไนส์ (gneissose texture) ได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุนี้ หินไนส์จึงเป็นหินที่ผ่านกระบวนการตกผลึกใหม่ (recrystallized) เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้ประกอบด้วยไมกา, คลอไรต์ (chlorite) หรือแร่แผ่นบางชนิดอื่นในปริมาณมาก[4] หินแปรที่แสดงความเป็นชิสต์มากกว่าจะถูกจัดประเภทเป็น ชิสต์ ในขณะที่หินแปรที่ไม่มีความเป็นชิสต์เลยจะเรียกว่ากราโนเฟลส์ (granofels)[2][3] ไนส์ที่เกิดจากการแปรสภาพของหินอัคนีหรือหินต้นกำเนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจะถูกเรียกชื่อตามหินต้นกำเนิด เช่น ไนส์แกรนิต (granite gneiss), ไนส์ไดออไรต์ (diorite gneiss) เป็นต้น หินไนส์อาจถูกตั้งชื่อตามองค์ประกอบเด่นที่พบ เช่น ไนส์การ์เนต (garnet gneiss), ไนส์ไบโอไทต์ (biotite gneiss), ไนส์อัลไบต์ (albite gneiss) เป็นต้น คำว่าออร์โธไนส์ (orthogneiss) ใช้ระบุถึงไนส์ที่มีต้นกำเนิดจากหินอัคนี ในขณะที่พาราไนส์ (paragneiss) หมายถึงไนส์ที่มีต้นกำเนิดจากหินตะกอน[2][3] ทั้งสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร (BGS) และสหภาพวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยานานาชาติ (IUGS) ได้ใช้คำว่า gneissose เพื่ออธิบายหินที่มีเนื้อหินแบบไนส์[2][3] แม้คำว่า gneissic จะยังคงเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป ตัวอย่างเช่น gneissose metagranite หรือ gneissic metagranite ทั้งสองคำนี้หมายถึงหินแกรนิตที่ผ่านการแปรสภาพและมีเนื้อหินแบบไนส์ ลายแถบแบบไนส์เอาเกนไนส์มิกมาไทต์การกำเนิดนิรุกติศาสตร์การใช้ประโยชน์ดูเพิ่มเติมอ้างอิง
|