อูฐ
อูฐ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสกุล Camelus จัดอยู่ในวงศ์ Camelidae เป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูง สามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารหรือน้ำเลย 2 สัปดาห์ เพราะมีไขมันสะสมไว้ในหนอกและร่างกายเก็บรักษาน้ำได้เป็นอย่างดี จึงสามารถอยู่ในที่ทุรกันดารเช่นทะเลทรายได้เป็นอย่างดี กินอาหารประเภทใบไม้ในทะเลทราย ตัวโตเต็มที่มีความสูงถึงบ่าประมาณ 1.85 เมตร และหนอกสูงอีก 75 เซนติเมตร ความสามารถ วิ่งได้เร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเดินด้วยความเร็วคงที่ประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบกน้ำหนักได้ 150-200 กิโลกรัม อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงได้จาก 35 องศาเซลเซียสในตอนกลางคืนมาเป็น 41 องศาเซลเซียสในตอนกลางวัน ปัจจุบันสัตว์ในตระกูลอูฐได้ถูกนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจในบางประเทศ แต่ใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ เป็นอาหาร ตัดขน รีดนม และใช้เนื้อเพื่อบริโภค [2] ประเภทสัตว์ที่จัดอยู่ในวงศ์อูฐมีอยู่ 6 ชนิดด้วยกันคือ
จุดกำเนิดของอูฐนักวิทยาศาสตร์พบชิ้นส่วนกระดูกของอูฐบนเกาะของประเทศแคนาดาในเขตอาร์กติก อยู่ในพื้นที่ไกลกว่าจุดเหนือสุดของโลกที่เคยพบฟอสซิลอูฐก่อนหน้านี้ 750 กิโลเมตร แต่นั่นก็เป็นเวลา 3.5 ล้านปีมาแล้ว มีการพบเศษซากกระดูกของอูฐในเกาะเอลเลสเมียร์ ของประเทศแคนาดา ค่อนข้างจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ว่าสัตว์ท่องทะเลทรายอันร้อนระอุชนิดนี้จะเคยมีถิ่นอาศัยในพื้นที่หนาวยะเยือกของเขตอาร์กติก ทีมนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า อูฐในสมัยดึกดำบรรพ์เดินทางไปมาในป่าไม้ที่หนาวเย็นซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน 30 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภูมิในพื้นที่ขณะนั้นสูงกว่าตอนนี้ประมาณ 14-22 องศาเซลเซียส แต่ก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะประมาณ 9 เดือนต่อปี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอูฐได้ปรับสภาพร่างกายให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในเขตขั้วโลกเหนือ โดยหนอกของพวกมันทำหน้าที่สะสมไขมัน ซึ่งจะนำมาใช้ในช่วงอากาศหนาวที่หาอาหารได้ยาก ส่วนเท้าที่แบนและกว้างก็เพื่อช่วยในการทรงตัวขณะเดินบนหิมะ ส่วนในปัจจุบันก็มีประโยชน์ในการประคองร่างกายในทะเลทราย ขณะที่ดวงตาใหญ่โตมีไว้เพื่อหาอาหารในสภาพดินฟ้าอากาศที่มืดครึ้มปีละหลายเดือน นาตาลี ริบซินสกี ผู้ศึกษาซากดึกดำบรรพ์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งแคนาดา ผู้นำการสำรวจในครั้งนี้ เปิดเผยว่า ทีมของเขาพบชิ้นส่วนกระดูกขาล่างของอูฐจำนวน 30 ชิ้น ในดินแดนที่อยู่ในละติจูดสูงสุดในโลกเท่าที่เคยพบมา ซึ่งห่างจากจุดที่เคยพบฟอสซิลสัตว์ชนิดนี้ขึ้นไปทางเหนือ 1,200 กิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อูฐมีการกำเนิดสายพันธุ์ขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อประมาณ 45 ล้านปีก่อน จากนั้นพวกมันก็กระจัดกระจายย้ายถิ่นไปยังยูเรเซียเมื่อ 7 ล้านปีที่แล้ว โดยใช้พื้นดินที่เชื่อมระหว่างอะแลสกาและรัสเซีย (ในปัจจุบัน) ในการเดินทาง ส่วนซากฟอสซิลที่พบล่าสุดนี้อายุประมาณ 3.5 ล้านปี นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้สกัดคอลลาเจนจากกระดูกของฟอสซิลที่พบ และเปรียบเทียบกับอูฐ 37 สปีชีส์ในปัจจุบัน พบว่าซากอูฐที่พบนี้มีลักษณะคล้ายยูคอน อูฐหนอกเดียวขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอูฐหนอกเดียวขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงยุคน้ำแข็ง [3] ลักษณะของอูฐซึ่งเหมาะแก่การเป็นพาหนะในทะเลทราย
การปรับตัวของอูฐ
การใช้ประโยชน์อื่นนอกจากจะใช้เป็นพานะ และใช้ขน, เนื้อ หรือนมในการบริโภคแล้ว ที่ตุรกียังมีการละเล่นสู้อูฐ โดยเป็นประเพณีที่ทำกันมานานกว่า 2,400 ปีแล้ว จัดขึ้นปีละครั้งในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อูฐตัวผู้จะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวเมีย การสู้อูฐไม่โหดร้ายเหมือนการสู้วัวกระทิง อูฐจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก โดยอูฐตัวใดที่สามารถกดคู่แข่งให้ลงกับพื้นได้ จะเป็นผู้ชนะ ซึ่งอูฐตัวใดที่เป็นแชมป์หรือชนะอยู่เป็นประจำ จะมีค่าตัวนับล้าน นอกจากนี้แล้วยังมีการแข่งวิ่งอูฐ เหมือนกับการแข่งม้า แต่จ็อกกี้จะไม่ขึ้นขี่หลังอูฐ แต่จะควบคุมอูฐด้วยการใช้รีโมตคอนโทรลเป็นแส้ตวัดไปในอากาศ โดยไม่โดนตัวอูฐ ซึ่งจ็อกกี้จะอยู่ในรถยนต์ที่วิ่งไปข้าง ๆ ขนานกับอูฐของตน นอกจากนี้แล้ว ยังเชื่อมาตั้งแต่โบราณด้วยว่าปัสสาวะของอูฐใช้เป็นยารักษาได้สารพัดโรค แม้กระทั่งโรคมะเร็ง เชื่อว่าการใช้ปัสสาวะอูฐในอัตรา 1:5 ผสมกับนมอูฐ ดื่มเป็นเวลาติดต่อกัน 40 วัน จะทำให้มะเร็งหายได้ ซึ่งในเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการยืนยันทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ใด ๆ เพียงแต่อยู่ในขั้นศึกษาเบื้องต้น[6] อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ อูฐ |