เคาะดีญะฮ์ บินต์ คุวัยลิด
เคาะดีญะฮ์ บินต์ คุวัยลิด (อาหรับ: خديجة بنت خويلد; ค.ศ. 555[1]– 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 619) เป็นทั้งภรรยาและสาวกคนแรกของนบีมุฮัมมัด และมุฮัมมัดแต่งงานกับเธอแล้วอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 25 ปี ก่อนแต่งงานกับมุฮัมหมัดเธอแต่งงานสามครั้งและมีลูกกันสามครั้ง โดยครั้งแรกเธอแต่งงานกับอะตีก อิบน์ อัยด์ อิบน์ อับดุลลอฮ์ อัล-มัคซูมี และครั้งที่สองกับมาลิก อิบน์ นาบัช อิบน์ ซัรราระฮ์ อิบน์ อัต-ตามีมี[3] โดยเธอมีลูกกับสามีคนที่สอง และเธอตั้งชื่อลูกชายทั้งสองว่า ฮาละฮ์ และฮินด์ ถึงแม้ว่าชื่อนี้จะเป็นชื่อสำหรับผู้หญิงก็ตาม[4] และเขาเสียชีวิตก่อนที่จะค้าขายเสร็จ[5] ส่วนสามีคนแรก เธอมีลูกสาวชื่อ ฮินดะฮ์ และการแต่งงานครั้งนี้ทำให้เธอกลายเป็นหญิงหม้าย[6] เคาะดีญะฮ์เป็นผู้ค้าที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก[7] แต่เธอไม่ได้ควบคุมคารวาน เธอจึงจ้างคนอื่นเพื่อควบคุมคารวานของเธอแทน ในปี ค.ศ.595 เคาะดีญะฮ์ต้องการคนคุมคารวานสินค้าไปที่ซีเรีย อบูฏอลิบ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ ได้แนะนำให้มุฮัมหมัด อิบน์ อับดุลลอฮ์เป็นผู้ควบคุมคารวานโดยที่ท่านได้สมญานามว่า อัส-ซอดีก ("ผู้สุจริต") และ อัล-อะมีน ("เชื่อถือได้" หรือ "ซื่อสัตย์")[8]เคาะดีญะฮ์จึงจ้างมุฮัมหมัด ขณะมีอายุ 25 ปี โดยเธอจ่ายค่าจ้างเป็นสองเท่าของปกติ[9] พร้อมส่งมัยซารอฮ์ไปช่วยเหลือเขา หลังจากกลับมาที่มักกะฮ์ มัยซารอฮ์บอกว่ามุฮัมหมัดทำรายได้เป็นสองเท่าของที่ลงทุน พร้อมกับบอกว่าระหว่างที่เดินทางกลับ มุฮัมหมัดได้หยุดพักที่ต้นไม้และนั่งพักตรงนั้น บาทหลวงเนสโทราได้บอกกับมัยซารอฮ์ว่า "ไม่มีใครที่จะนั่งใต้ต้นไม้นอกจากท่านศาสดา"[10] แต่งงานกับมุฮัมหมัดเคาะดีญะฮ์วางใจให้กับนาฟีซาให้ถามมุฮัมหมัดว่าจะแต่งงานหรือไม่[11] เมื่อมุฮัมหมัดได้รอเพราะไม่มีเงินสินสอดให้กับภรรยา นาฟีซาจึงถามว่าเป็นไปได้ไหมถ้าจะแต่งงานกับภรรยาที่ดูแลตนเองได้[12] มุฮัมหมัดจึงตกลงที่จะไปพบกับเคาะดีญะฮ์ และหลังจากพบกันแล้วจึงปรึกษากับลุงของแต่ละฝ่าย และทั้งคู่ตกลงให้มุฮัมหมัดกับเคาะดีญะฮ์แต่งงานกัน[10] สาวกคนแรกของมุฮัมหมัดมีรายงานจากชาวซุนนี ความว่าในขณะที่มุฮัมหมัดได้รับพระวจนะครั้งแรกกับญิบรีลในถ้ำฮิรอ เขากลับมาที่บ้านในสภาพที่กำลังกลัวแล้วบอกเธอว่าให้ห่มเขาด้วยผ้าห่ม หลังจากที่ใจเย็นแล้ว เคาะดีญะฮ์ได้พูดกับมุฮัมหมัดว่า: "อัลลอฮ์จะปกป้องเจ้าจากอันตรายทั้งปวง และจะไม่ให้ใครที่จะต่อว่าเขา ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่นำมาซึ่งสันติภาพ...และมิตรภาพ"[5] เคาะดีญะฮ์จึงเป็นคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม[13] บางรายงานเขียนว่า วารอกะฮ์ อิบน์ เนาฟัล ได้ยอมรับการเป็นศาสดาของมุฮัมหมัดทีหลัง[14] เสียชีวิตเคาะดีญะฮ์เสียชีวิตในเดือนรอมฎอน "10 ปี หลังจากเป็นศาสดา"[15] (ประมาณเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ค.ศ.620) มุฮัมหมัดได้เรียกปีนี้ว่า "ปีแห่งความเศร้าโศก" เนื่องจากอบูฏอลิบก็เสียชีวิตในเดือนนี้เช่นกัน[16] มีรายงานว่าเคาะดีญะฮ์เสียชีวิตตอนอายุ 65 ปี[17] และศพของเธอถูกฝังที่สุสานญันนะฮ์ อัล-มุอัลลาในเมืองมักกะฮ์[18] หลังจากเธอเสียชีวิต มุฮัมหมัดได้เผชิญกับผู้ปฏิเสธคำสอนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เคยเข้ารับอิสลามกลับไปนับถือศาสนาเดิม และมีบางเผ่าที่ทำร้ายศาสดาโดยการขว้างหินและใช้ความรุนแรงเป็นการตอบโต้[19] ครอบครัวลูกชาย
ลูกสาว
ลูกหลานของมุฮัมหมัดที่ยังคงมีชีวิตเพื่อสืบสกุลต่อไปคือลูกของฟาติมะฮ์, ฮะซัน และฮุซัยน์[24] มุมมองของซุนนียูซุฟ อิบน์ อับดุลบัรร์ นักวิชาการของนิกายซุนนีได้กล่าวว่า "เขามีลูกกับเคาะดีญะฮ์โดยมีลูกสาวแค่ 4 คน..."[25] ส่วนอัลกุรอ่าน ซูเราะฮ์ที่33:59 อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า:[26]
มุมมองของชีอะฮ์รายงานจากข้อมูลของชีอะฮ์เขียนว่า เคาะดีญะฮ์มีลูกสาวแค่คนเดียว นั่นคือฟาติมะฮ์ ส่วนอีกสองคนนั้นอาจจะเป็นพี่น้องของเคาะดีญะฮ์หรือลูกสาวจากสามีสองคนที่แล้ว อบูกอซิม อัลกูฟี นักวิชาการของนิกายชีอะฮ์ได้เขียนว่า:
พี่/น้องสาวลูกพี่ลูกน้อง
ดูเพิ่มอ้างอิง
เว็บที่เชื่อมโยง |