เอลวิส เพรสลีย์
เอลวิส เพรสลีย์ (อังกฤษ: Elvis Presley) มีชื่อจริงว่า เอลวิส แอรอน เพรสลีย์ (อังกฤษ: Elvis Aaron Presley) (8 มกราคม ค.ศ. 1935 - 16 สิงหาคม ค.ศ. 1977) เป็นนักร้องและนักแสดงชาวอเมริกัน เขาถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เขามักได้รู้จักในฉายา “ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "เดอะคิง" เขาเกิดที่เมืองทูเพอโล รัฐมิสซิสซิปปี ต่อมาย้ายไปทีเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี กับครอบครัวของเขาเมื่ออายุได้ 13 ปี เขาเริ่มอาชีพนักร้องที่นี่เมื่อปี 1954 เมื่อเจ้าของค่ายซันเรเคิดส์ ที่ชื่อ แซม ฟิลลิปส์อยากที่จะนำดนตรีของชาวแอฟริกันอเมริกันไปสู่ฐานคนฟังให้กว้างขึ้น และเห็นเพรสลีย์มีความมุ่งมั่นดี ได้ร่วมกับนักกีตาร์ที่ชื่อสก็อตตี มัวร์และมือเบส บิล แบล็ก เพรสลีย์ถือเป็น 1 ในคนที่ให้กำเนิดแนวเพลงร็อกอะบิลลี แนวเพลงผสมผสานจังหวะอัปเทมโป แบ็กบีตผสมเพลงคันทรีกับริทึมแอนด์บลูส์ เขาได้เซ็นสัญญากับอาร์ซีเอวิกเตอร์ โดยมีผู้จัดการคือโคโลเนล ทอม พาร์กเกอร์ ที่เป็นผู้จัดการให้เขาร่วม 2 ทศวรรษ ซิงเกิลแรกของเพรสลีย์กับอาร์ซีเอคือซิงเกิล "Heartbreak Hotel" ออกขายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1956 ติดอันดับ 1 เขาถือเป็นผู้นำภาพลักษณ์ของดนตรีป็อปแบบใหม่ในแบบร็อกแอนด์โรล โดยได้ปรากฏตัวบนเครือข่ายสถานีโทรทัศน์หลายครั้ง รวมถึงมีเพลงอันดับ 1 หลายเพลง เพลงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง โดยมีหลายส่วนนำมาจากเพลงชาวแอฟริกันอเมริกันและรูปแบบการแสดงซึ่งไม่สามารถยับยั้งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างมากรวมถึงเกิดข้อพิพาทด้วยเช่นกัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1956 เขาปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Love Me Tender เขาเกณฑ์ทหารเมื่อปี 1958 โดยเพรสลีย์ออกผลงานเพลงหลังนั้น 2 ปีต่อมา กับงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตามในการจัดการของพารกเกอร์ เขาก็ยังมีผลงานภาพยนตร์ฮอลลีวูดอีกหลายเรื่องในคริสต์ทศวรรษ 1960 รวมถึงผลงานอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ด้วย ที่ส่วนมากถูกวิจารณ์ในเชิงดูถูกผลงานเหล่านั้น ในปี 1968 หลายจากห่างหายไปบนเวทีคอนเสิร์ตไป 7 ปี เขากลับมาแสดงสดในรายการโทรทัศน์พิเศษในการกลับมาในลาสเวกัสและยังมีทัวร์คอสเสิร์ต ในปี 1973 เพรสลีย์แสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกที่ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมทั่วโลก ที่ชื่อ Aloha from Hawaii มีผู้ชมราว 1.5 พันล้านคน[1] และจากการที่เขาติดยาจากใบสั่งแพทย์ ทำให้มีผลต่อสุขภาพของเขา จนเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ในปี ค.ศ. 1977 ด้วยวัยเพียง 42 ปี เพรสลีย์เป็น 1 ในบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมากในวัฒนธรรมสมัยนิยมในศตวรรษที่ 20 กับน้ำเสียงที่ปรับได้หลายแบบและประสบความสำเร็จไม่ธรรมดาในหลากหลายแนวเพลง อย่างคันทรี, ป็อปบัลลาด, กอสเปล และบลูส์ เขาเป็นศิลปินเดี่ยวกับมียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อป[2][3][4][5] ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 14 ครั้ง ซึ่งเขาได้รับ 3 ครั้ง และยังได้รับรางวัลแกรมมี่ประสบความสำเร็จเมื่ออายุ 36 ปี เขายังมีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศ 4 ครั้ง ประวัติชีวิตช่วงแรก (1935–53)ชีวิตวัยเด็กในทูเพอโลเอลวิส เพรสลีย์เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1935 ณ เมืองทูเพอโล รัฐมิสซิสซิปปี เป็นบุตรของเวอร์นอน เอลวิสและแกลดีส์ เลิฟ เพรสลีย์ในบ้านเล็กแบบช็อตกัน จำนวน 2 ห้องนอนที่สร้างโดยพ่อของเขา เพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับทารกที่จะเกิด เจสซี แกรอน เพรสลีย์ พี่ชายฝาแฝดที่เกิดก่อนเขา 35 นาที แต่ก็เสียชีวิตไป ทำให้เขาเป็นบุตรเพียงคนเดียว เพรสลีย์สนิทสนมกับทั้งพ่อและแม่และก่อให้เกิดความสนิทสนมเป็นแนบแน่นกับแม่ของเขา ครอบครัวของเขาไปที่โบสถ์คริสเตียนสัมพันธ์ ที่ที่เขาได้รับแรงบันดาลใจทางด้านดนตรีในขั้นต้น[6] เพรสลีย์มีเชื่อสายผสมยุโรปตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ อย่างสกอตแลนด์-ไอร์แลนด์ และนอร์มันฝรั่งเศสบ้าง หนึ่งในทวดของแกรดีส์ เป็นชาวเชอโรคีและจากบันทึกทางครอบครัว หนึ่งในย่าของเธอเป็นชาวยิว[7] แกรดีส์เป็นที่นับถือในเหล่าบรรดาญาติและเพื่อน เป็นคนเด่นในครอบครัวเล็กนี้ เวอร์นอนย้ายจากงานหนึ่งสู่งานหนึ่ง เขามีความทะเยอทะยานอยู่บ้าง[8][9] ครอบครัวของเขามักอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านและอาหารจากรัฐบาล ในปี 1938 พวกเขาได้สูญเสียบ้านไปหลังจากที่เวอร์นอนมีความผิดฐานปลอมแปลงเช็คที่เขียนโดยเจ้าของที่ เขาอยู่ในคุก 8 เดือน ส่วนแกลดีส์และเอลวิสย้ายไปอยู่กับญาติ[10] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1941 เพรสลีย์เรียนเกรด 1 ที่โรงเรียนอีสต์ทูเพอโล ที่ครูผู้สอนระบุการเรียนของเขาว่า "อยู่ในระดับปานกลาง"[11] เขาได้รับการชักชวนให้ร่วมประกวดร้องเพลงหลังจากที่ทำให้ครูประทับใจกับการนำเพลงคันทรีของเรด โฟเลย์ที่ชื่อ "Old Shep" มาร้องใหม่ช่วงสวดมนต์ตอนเช้า โดยการประกวดเขาเขาร่วมแข่งเป็นงานที่ชื่อมิสซิสซิปปี-แอละแบมา และไดอารีโชว์ ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1945 เป็นการแสดงต่อหน้าสาธารณะของเขาเป็นครั้งแรก เขาแต่งตัวเป็นคาวบอย โดยเด็กชายเพรสลีย์วัย 10 ปี ยืนอยู่บนเก้าอี้เพื่อยื่นร้องไมโครโฟนที่สูงกว่า ร้องเพลง "Old Shep" เขาได้ที่ 5[12] หลายเดือนต่อมา เพรสลีย์ได้รับของขวัญวันเกิดกับกีตาร์ตัวแรก แต่เขาหวังว่าจะได้สิ่งอื่น ไม่จักรยานก็ปืนไรเฟิล[13][14] หลายปีถัดมา เขาได้เรียนกีตาร์พื้นฐานจากลุง 2 คนและศาสนาจารย์คนใหม่ที่โบสถ์ครอบครัวเขา เพรสลีย์เอ่ยถึงเหตุการณ์นั้นว่า "ผมได้กีตาร์และผมก็ดูผู้คนและผมก็เรียนรู้การเล่นนิดหน่อย แต่ผมไม่เคยร้องในที่สาธารณะ ผมเป็นคนขี้อายมาก"[15] เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่ที่ชื่อมิลาม ในเกรด 6 เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1946 เพรสลีย์พูดว่าเขาสันโดษ หลายปีต่อมาเขาเริ่มนำกีตาร์ของเขา เรียนรู้พื้นฐานการเล่นทุก ๆ วัน เขาจะเล่นและร้องในช่วงอาหารกลางวัน และมักจะแกล้งทำเป็นเหมือนพวกเด็กเหลวไหลที่เล่นดนตรีคนบ้านนอก ครอบครัวของเขาตอนนั้นอยู่กับเพื่อนบ้านชาวแอฟริกันอเมริกันขนาดใหญ่[16] เขาเป็นสาวกรายการของมิสซิสซิปปี สลิมทางสถานีวิทยุทูเพอโลที่ชื่อ WELO น้องชายของสลิมที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นพูดถึงเพรสลีย์ในช่วงนั้นว่า "เขาคลั่งไคล้ดนตรี" เขามักพาเพรสลีย์ไปที่สถานี สลิมได้สอนสาธิตเทคนิคการเล่นคอร์ดกีตาร์ให้กับเพรสลีย์[17] เมื่อเขาอายุได้ 12 ปี สลิมได้จัดผังรายการให้เขาเล่นออกอากาศ 2 ครั้ง เพรสลีย์เอาชนะความกลัวในการขึ้นเวทีครั้งแรกได้ และยังได้แสดงอีกหลายหลายอาทิตย์ถัดมา[18] ชีวิตวัยรุ่นในเมมฟิสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1948 ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่เมมฟิส หลังจากย้ายถิ่นฐานเกือบปีในบ้านเช่า พวกเขาได้เข้าอาศัยอพาร์ตเมนต์ 2 ห้องนอนในอาคารที่พักสาธารณะที่มีชื่อว่า คอร์ตส[19] เขาสมัครเรียนที่โรงเรียนมัธยมฮูมส์ เพรสลีย์เรียนได้เกรดซีในวิชาดนตรีเมื่อเรียนเกรด 8 และเมื่ออาจารย์สอนดนตรีบอกเขาว่าเขาไม่ถนัดด้านการร้องเพลง เขาก็นำกีตาร์ในวันรุ่งขึ้นและร้องเพลงฮิตล่าสุดที่ชื่อ "Keep Them Cold Icy Fingers Off Me" เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพื่อร่วมชั้นในเวลาต่อมากล่าวว่า "ครูเห็นด้วยกับเอลวิสว่าถูก เมื่อเขาพูดว่า เธอไม่พอใจการร้องของเขา"[20] โดยทั่วไปแล้วเขาจะรู้สึกอายในการแสดงต่อหน้าคนและมักถูกกเพื่อนร่วมชั้นระรานในแง่มุมว่า "เด็กติดแม่"[21] ในปี 1950 เขาเริ่มฝึกฝนกีตาร์ ในการสอนของ เจสซี ลี เดนสัน ที่เป็นเพื่อนบ้านแก่กว่าเขา 2 ปีครึ่ง พวกเขาและกับชายหนุ่ม 3 คน รวมถึงผู้บุกเบิกเพลงร็อกอะบิลลีในอนาคต สองพี่น้องดอร์ซีย์และจอห์นนี เบอร์เนตต์ ก่อตั้งวงเล่นดนตรีหลวม ๆ แสดงเป็นประจำบริเวณรอบ คอร์ตส[22] ในเดือนกันยายนปีนั้น เขาเริ่มทำงานเป็นเด็กเดินตั๋วที่ โรงภาพยนตร์เลียวส์สเตด[23] งานอื่นในช่วงระหว่างเรียนอย่างเช่นทำที่พรีซิชันทูล, เลียวส์อะเกน และมาร์ลเมทัลโพรดักส์[24] ในช่วงที่เรียนอยู่ในปีจูเนียร์เยียร์ (เกรด 11) เพรสลีย์เริ่มมีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดในบรรดาเพื่อนร่วมชั้น เป็นเพราะหน้าตาของเขา กับเคราข้างใบหูที่โดดเด่นและทรงผมที่ใส่น้ำมันกุหลาบและวาเซลีน ในช่วงเวลาส่วนตัวเขาจะมุ่งหน้าไปที่ถนนบีล ใจกลางของย่านเพลงบลูส์ของเมืองเมมฟิส และเพ่งมองไปยังเสื้อผ้าอันเปล่งประกายผ่านหน้าตาของแลนสกี บราเทอร์ส ในปีสุดท้ายของการเรียนมัธยม เขาก็ได้สวมชุดที่เขาเพ่งมองนั้น[25] เขาเอาชนะการเป็นคนไม่กล้าแสดงออกโดยแสดงนอกคอร์ตส เขาร่วมแข่งในรายการ "Annual Minstrel" ของฮูมส์เมื่อเดือนเมษายน 1953 เขาร้องและเล่นกีตาร์ โดยเปิดด้วยเพลงดังล่าสุดของเทเรซี บรูเวอรืที่ชื่อ "Till I Waltz Again With You" เพรสลีย์กล่าวว่าการแสดงครั้งนั้นทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมาก "ฉันไม่ได้โด่งดังที่โรงเรียน...ล้มเหลวในด้านดนตรี—เป็นสิ่งเดียวที่ผมเคยล้มเหลว และบัดนนี้ผมก้าวสู่รายการโชว์ความสามารถ...เมื่อผมเดินขึ้นเวทีผมได้ยินคนส่งเสียงดังและกระซิบ และท้ายสุด เพราะว่าไม่มีใครรู้จักผม ผมรู้สึกประหลาดใจที่ผมโด่งดังหลังจากนั้น"[26] เพรสลีย์ผู้ไม่เคยได้รับการฝึกสอนอย่างเป็นทางการและการอ่านโน้ตดนตรี เขาเรียนและเล่นโดยใช้หูเขาเอง เขาไปร้านขายแผ่นเสียงอยู่บ่อย ๆ ไปฟังจู๊กบอกซ์และฟังที่บูธ เขารู้จักเพลงทั้งหมดของแฮงก์ สโนว์[27] และเขาชอบเพลงของนักร้องเพลงคันทรีอื่นอย่าง รอย อะคัฟฟ์, เออร์เนสต์ ทับบ์, เทด ดาฟแฟน, จิมมี ร็อดเจอร์ส, จิมมี เดวิส และบ็อบ วิลลิส[28] เขายังชื่นชอบนักร้องเพลกอสเปลชาวใต้ที่ชื่อ เจค เฮส ที่เป็นอิทธิพลในการร้องเพลงบัลลาดให้กับเขาอย่างมาก[29][30] เขายังเป็นผู้ชมทั่วไปที่ออล-ไนต์ซิงกิงส์ รายเดือน ที่มีกลุ่มนักร้องกอสเปลผิวขาวแสดง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากดนตรีโซลของชาวแอฟริกันอเมริกัน[31] เขาชื่นชอบดนตรีของนักร้องกอสเปลผิวดำที่ชื่อ ซิสเตอร์ โรเซตตา ทาร์ป[28] เช่นเดียวกับกลุ่มเพื่อนของเขา ในบางครั้งเขาอาจไปงานดนตรีบลูส์ ในคืนพิเศษเฉพาะกลุ่มคนฟังผิวขาว[32] เขายังฟังสถานีวิทยุท้องถิ่นที่เล่นเพลงค่ายเรซเรเคิดส์ ที่มีแนวเพลงโซล บลูส์และเพลงสมัยใหม่ กับดนตรีแบ็กบีตหนัก ๆ ของเพลงริทึมแอนด์บลูส์[33] มีหลายเพลงในอนาคตของเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักดนตรีชาวแอฟริกันอเมริกัน อย่างเช่น อาร์เทอร์ ครูดัปและรูฟัส โทมัส[34][35] บี.บี. คิง พูดถึงเอลวิสว่า เขารู้จักเอลวิสก่อนที่เขาจะโด่งดัง เพราะทั้งคู่ชอบไปถนนบีล[36] เมื่อเขาเรียนจบระดับมัธยมในเดือนมิถุนายน 1953 เพรสลีย์ก็ได้เลือกอาชีพด้านดนตรีเป็นอาชีพในอนาคตของเขาแล้ว[37][38] บันทึกเสียงเพลงแรก (1953–55)แซม ฟิลลิปส์และซันเรเคิดส์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1953 เพรสลีย์เดินเข้าไปในสำนักงานของซันเรเคิดส์ เขาต้องการที่จะใช้สตูดิโอไม่กี่นาทีเพื่อบันทึกเสียงลงแผ่นสังเคราะห์สองหน้า ที่ชื่อเพลง "My Happiness" และ "That's When Your Heartaches Begin" ต่อมาเขาออกมากล่าวว่าเพลงเหล่านี้เขาต้องการให้เป็นของขวัญวันเกิดให้แม่เขา หรือแค่อยากลองว่าจะมีลักษณะอย่างไร กับการบันทึกเสียงแบบสมัครเล่นซึ่งใกล้กับร้านค้าทั่วไป แต่นักเขียนอัตชีวประวัติ ปีเตอร์ กูราลนิก เถียงว่าเขาเลือกซันเรเคิดส์เพราะหวังว่าจะมีใครมาค้นพบเขา เมื่อพนักงานต้อนรับ แมเรียน คีสเกอร์ถามเพรสลีย์ว่าเขาเป็นนักร้องประเภทไหน เพรสลีย์ตอบว่า "ผมร้องได้ทุกอย่าง" และเมื่อเธอย้ำถามว่าเขาร้องเหมือนใคร เขาก็ตอบซ้ำว่า "ผมไม่ได้ร้องเหมือนใคร" หลังจากที่เขาบันทึกเสียง หัวหน้าของซันเรเคิดส์ที่ชื่อ แซม ฟิลลิปส์ก็ให้คีสเกอร์เขียนบันทึกชื่อของชายหนุ่มนั้น ซึ่งเธอก็เขียนบรรยายไปว่า "นักร้องเพลงบัลลาดที่ดี"[39] เพรสลีย์ตัดแผ่นอีกครั้งในเดือนมกราคม 1954 ในเพลง "I'll Never Stand In Your Way" และ "It Wouldn't Be the Same Without You" แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น[40] แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาไม่ผ่านการออดิชันในการกลุ่มร้อง 4 คนที่ชื่อ ซองเฟลโลส์ เขาบอกกับพ่อของเขาว่า "พวกเขาบอกผมว่า ผมร้องเพลงไม่ได้"[41] จิม ฮามิลล์แห่งซองเฟโลว์ ภายหลังออกมากล่าวว่า เขาปฏิเสธไปเพราะว่าเขาไม่สามารถแสดงการใช้หูฟังเสียงประสานได้ในเวลานั้น[42] ในเดือนเมษายน เพรสลีย์เริ่มทำงานที่บริษัทคราวน์อีเลกทริก ตำแหน่งคนขับรถบรรทุก[43] เพื่อนของเขา รอนนี สมิธ ที่ได้ร่วมแสดงเพลงกับเขาบางครั้ง ได้แนะนำให้รู้จักเอ็ดดี บอนด์ หัวหน้าของวงอาชีพของสมิธ ซึ่งกำลังเปิดหานักร้องนำอยู่ บอนด์ปฏิเสธเขาไปหลังจากทดสอบความสามารถ ยังแนะนำเพรสลีย์ให้ขับรถบรรทุกต่อไป "เพราะว่าคุณไม่สามารถเป็นนักร้องได้เลย"[44] ฟิลลิปส์ในขณะนั้นที่กำลังหาคนขาวใครสักคนที่สามารถร้องเพลงสไตล์คนดำได้ เพราะต้องการที่จะขยายฐานคนฟังให้กว้างขึ้น และจากรายงานของคีสเกอร์ "หลายต่อหลายครั้ง ฉันจำที่แซมพูดได้ว่า ถ้าฉันสามารถหาคนขาวที่มีเสียงแบบนิโกรและความรู้สึกแบบนิโกร ฉันจะให้เขาพันล้านดอลลาร์เลย"[45] ในเดือนมิถุนายน เขาบันทึกเสียงเพลงบัลลาดที่ชื่อ "Without You" ที่เขาคิดว่าอาจเหมาะกับนักร้องวัยรุ่น เพรสลีย์เข้ามาในสตูดิโอ แต่ไม่สามารถทำให้เยี่ยมได้ ด้วยเหตุนี้เองฟิลลิปส์บอกเพรสลียให้ร้องหลายเพลงเท่าที่เขารู้ เขารู้สึกมีใจเมื่อได้ยินว่าให้เชิญนักดนตรีท้องถิ่นคือ นักกีตาร์ วิลฟิลด์ "สก็อตตี" มัวร์ และมือเบส บิล แบล็ก ให้ร่วมงานบันทึกเสียงกับเพรสลีย์[46] การบันทึกเสียงมีขึ้นในเย็นวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งก็ไม่ได้ผลนักจนถึงช่วงดึกของคืนนั้น พวกเขารู้สึกยอมแพ้และอยากกลับบ้าน เพรสลีย์หยิบกีตาร์มาและร้องเพลง "That's All Right" ของอาร์เธอร์ ครูดัป มัวร์กล่าวภายหลังว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เอลวิสเริ่มร้องเพลง กระโดดไปทั่วและทำเหมือนคนบ้า จากนั้นบิลก็เริ่มหยิบเบส และเราก็เริ่มบ้ากันด้วย จากนั้นก็เริ่มเล่นเพลง แซมที่อยู่ที่บูธควบคุม ก็ยื่นหัวออกมาแล้วบอกว่า 'พวกแกทำอะไรอยู่' และพวกเราก็ตอบ 'ไม่รู้เหมือนกัน' เขาพูดว่า 'โอเค ดี หาทีว่าจะเริ่มตรงไหนและเอาอีกครั้ง' ฟิลลิปส์ก็เริ่มบันทึกเทป เป็นดนตรีที่พวกเขากำลังหาอยู่นาน[47] 3 วันต่อมา ดีเจที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ ดีเจ ดิววีย์ ฟิลลิปส์ เล่นเพลง "That's All Right" ในรายการเรด,ฮอต แอนด์บลู[48] คนฟังเริ่มจะโทรเข้ามา และสงสัยว่าใครเป็นคนร้อง จากนั้นเองฟิลลิปส์ก็เล่นเพลงซ้ำอีกครั้งใน 2 ชั่วโมงท้ายของรายการ และสัมภาษณ์เพรสลีย์ออกอากาศ ฟิลลิปส์ถามว่าเรียนโรงเรียนไหน และถามเรื่องสีผิวที่มีคนถามเข้ามาคิดว่าเขาคือคนดำ[49] หลายวันต่อมาวงทรีโอนี้ได้บันทึกเสียงเพลงบลูกราส ของบิล มอนโร ที่ชื่อ "Blue Moon of Kentucky" และอีกครั้งด้วยความโดดเด่นของแนวการเล่นและบวกกับเสียงสะท้อนของเรือ ที่แซม ฟิลลิปส์นำมาจาก "slapback" ออกเป็นซิงเกิลโดยมีเพลง "That's All Right" อยู่ในหน้าเอ และเพลง "Blue Moon of Kentucky" อยู่ในด้านตรงข้ามของแผ่นเสียง[50] การแสดงสดช่วงแรกและเซ็นสัญญากับอาร์ซีเอวงทรีโอได้เล่นต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่บอนแอร์คลับ เพรสลีย์ยังคงใช้กีตาร์ของเด็กเล่น[51] พอปลายเดือนพวกเขาก็ปรากฏตัวที่โอเวอร์ตันพาร์กเชลล์ ร่วมกับการนำของสลิม วิตแมน และด้วยการตอบรับในจังหวะและความความประหม่าในการแสดงต่อผู้ชมจำนวนมาก ทำให้เพรสลีย์เขย่าขาของเขาในการแสดง กับการเกงขาบานที่ใส่ยิ่งทำให้เน้นการเคลื่อนไหว ทำให้สาววัยรุ่นเริ่มที่จะส่งเสียงกรี๊ด[52] มัวร์พูดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "ในช่วงที่บรรเลงเพลง เขาจะถอยหลังไปและเริ่มเล่นและเขย่า จากนั้นผู้ชมก็เริ่มคลั่ง"[53] ส่วนแบล็กก็บรรเลงเบสของเขา โดยดับเบิลลิ๊กในเพลง เพรสลีย์รำลึกว่า "มันเป็นดนตรีที่บ้าจริง ๆ เหมือนกลองจังเกิลหรืออะไรสักอย่าง"[53] หลังจากนั้น มัวร์และแบล็กก็ลาออกจากวง เพื่อเล่นให้กับเพรสลีย์ประจำ ส่วนดีเจและโปรโมเตอร์ บ็อบ นีล ก็กลายเป็นผู้จัดการวงทรีโอนี้ จากเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม พวกเขาเล่นอยู่บ่อยครั้งที่อีเกิลส์เนสต์คลับและกลับมาบันทึกเสียงที่ซันสตูดิโอ[54] เพรสลีย์ก็รู้สึกเพิ่มความมั่นใจอย่างรวดเร็วเมื่อขึ้นเวที มัวร์กล่าวว่า "การเคลื่อนไหวของเขาช่างดูเป็นธรรมชาติ แต่เขาก็ตั้งใจมากต่อปฏิกิริยา เขาจะทำมันครั้งหนึ่งจากนั้นก็จะทำต่อโดยทำมันให้เร็ว"[55] เพรสลีย์ได้ปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวบนเวที แกรนด์โอเลโอพรี ที่แนชวิลล์ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม หลังจากผู้ชมตอบรับอย่างเบาบาง สุภาพ ผู้จัดการรายการที่ชื่อจิม เดนนี บอกกับฟิลลิปส์ว่า นักร้อง "ดูไม่เลว" แต่ไม่เหมาะกับรายการ[56] 2 อาทิตย์ต่อมา เพรสลีย์มีชื่ออยู่ในรายการ ลุยเซียนาเฮย์ไรด์ ซึ่งเป็นการแข่งขันที่น่าตื่นเต้น รายการของเมืองชีฟพอร์ต ที่ออกอากาศในสถานีวิทยุ 198 สถานีใน 28 รัฐ เพรสลีย์รู้สึกเครียดในการแสดงแรกที่ผู้ชมต่างเงียบในการแสดงของเขา แต่การแสดงที่มีอารมณ์สงบและมีพลังทำให้ได้รับเสียงตอบรับอย่างสนใจ[57] ดีเจ ฟอนทานา ที่เป็นมือกลอง ได้ใส่องค์ประกอบใหม่เพื่อส่งเสริมจังหวะเคลื่อนไหวของเพรสลีย์ด้วยการเน้นจังหวะที่เขาเคยเล่นที่คลับเปลือยกาย[58] หลังจากการแสดง เฮย์ไรด์ชวนเพรสลีย์ให้มาปรากฏตัวในคืนวันเสาร์เป็นเวลา 1 ปี เขาได้ขายกีตาร์เก่าได้เงิน 8 ดอลลาร์สหรัฐ เขาซื้อเครื่องดนตรีมาร์ติน เป็นเงิน 175 ดอลลาร์สหรัฐ และวงทรีโอก็เริ่มเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงในฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัสและเท็กซาร์คานา รัฐอาร์คันซอ[59] ในต้นปี 1955 เพรสลีย์ปรากฏตัวเป็นประจำที่ เฮย์ไรด์ ออกทัวร์ตลอดเวลาและได้รับเสียงตอบรับที่ดีในการออกแผ่นเสียงที่ทำให้เขาเป็นดาราดังในระดับท้องถิ่น ตั้งแต่ในเทนเนสซีไปจนถึงเวสต์เท็กซัส ในเดือนมกราคม นีลได้เซ็นสัญญาการจัดการอย่างเป็นทางการกับเพรสลีย์และนำนักร้องเข้าพบกับโคโรเนล ทอม พาร์กเกอร์ ที่ถือว่าเป็นโปรโมเตอร์ที่ดีที่สุดในธุรกิจดนตรี พาร์เกอร์ (เกิดเนเธอร์แลนด์แต่อ้างว่ามาจากเวสต์เวอร์จิเนีย) ได้รับตำแหน่งพันเอกจากคณะกรรมการของนักร้องเพลงคันทรี ที่ชื่อ จิมมี เดวิส ที่กลายมาเป็นผู้ว่าการรัฐลุยเซียนา พาร์เกอร์ประสบความสำเร็จในการจัดการดาราคันทรีแถวหน้าอย่าง เอ็ดดี อาร์โนลด์ ที่ได้ร่วมงานกับนักร้องคันทรีอันดับ 1 หน้าใหม่ขณะนั้น แฮงก์ สโนว์ โดยพาร์กเกอร์ได้จัดการให้เพรสลีย์ออกทัวร์ของสโนว์ในเดือนกุมภาพันธ์[60][61] เมื่อทัวร์ถึงเมืองโอเดสซา รัฐเท็กซัส รอย ออร์บิสันขณะอายุ 19 ปี ได้เห็นการแสดงของเพรสลีย์เป็นครั้งแรก ก็บอกว่า "พลังของเขาเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ความโดดเด่นของเขา มันน่าอัศจรรย์ ... ผมไม่รู้ว่าทำได้ยังไง ไม่มีจุดอ้างอิงอื่นทางวัฒนธรรมที่จะเปรียบเทียบมันได้เลย"[27] เพรสลีย์ได้ปรากฏตัวครั้งแรกทางโทรทัศน์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ทาง[เคเอสแอนเอ-ทีวี] ออกอกอากาศทาง ลุยเซียนาเฮย์ไรด์ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตกรอบการออดิชันในรายการแสดงความสามารถ อาร์เธอร์ก็อดฟรีย์สแทเลนต์สเกาตส์ ทางสถานีระดับชาติซีบีเอส ในเดือนสิงหาคม ค่ายซันเรเคิดส์ออกแผ่นในชื่อ "Elvis Presley, Scotty and Bill" เพลงบางเพลงอย่างเพลง "That's All Right" ที่นักเขียนจากเมมฟิสอธิบายไว้ว่า "เป็นสำนวนอาร์แอนด์บีของแจ๊ซนิโกร" เพลงอื่นอย่าง "Blue Moon of Kentucky" มีลักษณะ "แบบคันทรีมากกว่า" "แต่การการรวมที่แปลกในการนำสองแนวเพลงที่แตกต่าง รวมเข้ามาด้วยกัน"[62] การรวมแนวเพลงนี้ทำให้เป็นการยากที่สถานีวิทยุจะเล่นเพลงของเพรสลีย์ จากคำพูดของนีลเขากล่าวว่า ดีเจเพลงคันทรีจะไม่เล่นเพลงนี้เพราะว่ามักดูเป็นศิลปินคนดำเกินไป และไม่มีสถานีแนวริทึมแอนด์บลูส์ที่จะแตะพวกเขาเพราะว่า "มันดูเป็นฮิลล์บิลลีเกินไป"[63] การรวมเช่นนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ร็อกอะบิลลี ในเวลานั้นเพรสลีย์มีฉายาว่า "ราชาแห่งเวสต์เทิร์นบ็อป" ,"ชายฮิลบิลลี" และ "แสงวาบจากเมมฟิส"[64] เพรสลีย์เซ็นสัญญาใหม่กับนีลในเดือนสิงหาคม 1955 ในขณะเดียวกันพาร์กเกอร์เป็นที่ปรึกษาพิเศษ[65] วงยังคงออกทัวร์อย่างต่อเนื่องในช่วงหลังของปี[66] นีลยังพูดว่า ""มันเกือบเป็นเรื่องน่ากลัว ปฏิกิริยาต่าง ๆ ถึงเอลวิสจากวัยรุ่นผู้ชาย มีหลายคนค่อนข้างอิจฉาและเกลียดเขา ในบางครั้งอย่างบางเมืองในเท็กซัส เราต้องมั่นใจว่ามีตำรวจคุ้มกันอยู่เพราะจะมีใครบางคนจะชอบก้าวร้าวต่อเขา พวกเขามีแก๊งและพยายามจะดักโจมตีหรืออย่างอื่น"[67] วงทริโอกลายเป็นวงควอเตต (4 คน) เมื่อมือกลองจากเฮย์ไรด์ ที่ชื่อฟอนทานา ร่วมวงเต็มวง ในกลางเดือนตุลาคม พวกเขาเล่นในหลายรายการเพื่อสนับสนุนให้กับโชว์ของบิล ฮาลีย์ ที่มีเพลง "Rock Around the Clock" ติดอันดับ 1 เมื่อปีก่อน ฮาลียืสังเกตเพรสลีย์ว่าเขามีความเป็นธรรมชาติในส่วนของจังหวะ และแนะนำเขาให้ร้องเพลงบัลลาดให้น้อยลง[68] ในงานชุดนุมดีเจคันทรี ในต้นเดือนพฤศจิกายน เพรสลีย์ได้รับการลงคะแนนเสียงเป็นศิลปินชายแห่งความหวังที่สุดแห่งปี[69] มีหลายข่ายเพลงสนใจที่จะจับเขาเซ็นสัญญา หลังจาก 3 ค่ายใหญ่เสนอเงินสูงถึง 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ พาร์กเกอร์และฟิลลิปส์สนใจในสัญญาของอาร์ซีเอวิกเตอร์ โดยเซ็นเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ให้สัญญาของเพรสลีย์ที่มีกับซันเรเคิดส์จบไปโดยเงิน 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ[70]b เพรสลีย์ซึ่งขณะนั้นอายุ 20 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ก็ให้บิดาเซ็นสัญญาแทน[71] พาร์กเกอร์ที่ได้เตรียมงานกับเจ้าของฮิลแอนด์เรนจ์พับบลิชชิง คือฌอง และจูเลียน เอเบอร์บาช ได้ร่วมสร้างชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์ มิวสิก แอนด์ แกรลดีส์ มิวสิก" เพื่อจัดการวัตถุดิบใหม่ในการอัดเสียงให้กับเพรสลีย์ มีนักเขียนเพลงได้เข้ามาช่วยเหลืออยู่ก่อนเพื่อตอบแทนแลกเปลี่ยนกับการแสดงในผลงานพวกเขา[72]c ในเดือนธันวาคม อาร์ซีเอเริ่มที่จะประชาสัมพันธ์นักร้องคนใหม่อย่างหนัก และก่อนจะจบเดือนเขาได้ออกผลงานกับค่ายซันเคิดส์ใหม่อีกครั้ง[73] แจ้งเกิดและข้อพิพาท (1956–58)การปรากฏตัวครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ระดับชาติและอัลบั้มเปิดตัววันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1956 เพรสลีย์ได้ทำการบันทึกเสียงครั้งแรกของค่ายอาร์ซีเอในเมืองแนชวิล[76] ได้เพิ่มทีมแบ็กอัปช่วยมัวร์, แบล็ก และฟอนทานา โดยอาร์ซีเอเพิ่มนักเปียโน ฟลอยด์ เครเมอร์, นักกีตาร์ เชต แอตคินส์ และนักร้องประสาน 3 คน คือกอร์ดอน สโตเกอร์ จากวงสี่คนที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ จอร์แดนแนร์ส เพื่อที่เติมเต็มเสียงเข้าไป[77] เป็นการบันทึกเสียงเพลงขุ่นหมองที่ไม่ธรรมดา ที่ชื่อ "Heartbreak Hotel" ออกขายเป็นซิงเกิลเมื่อวันที่ 27 มกราคม[76] จนในที่สุดพาร์กเกอร์ก็ได้นำเพรสลีย์ออกโทรทัศน์ระดับชาติ โดยให้เขาแสดงบนเวทีของซีบีเอสถึง 6 ครั้งในรอบ 2 เดือน รายการผลิตที่นิวยอร์ก มีพิธีกรสลับกันไประหว่างพี่น้องผู้นำวงบิ๊กแบนด์ ทอมมีและจิมมี ดอร์เซย์ หลังจากการปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มกราคม เพรสลีย์ก็ได้อยู่ในเมืองเพื่อบันทึกเสียงที่สตูดิโอของอาร์ซีเอในนิวยอร์ก บันทึกเสียง 8 เพลง รวมถึงเพลงทำใหม่ของคาร์ล เพอร์กินส์ แนวร็อกอะบิลลีที่ชื่อ "Blue Suede Shoes" ในเดือนกุมภาพันธ์ เพลงของเพรสลีย์ "I Forgot to Remember to Forget" ที่บันทึกเสียงกับซันเรเคิดส์และเคยออกในเดือนสิงหาคมปีก่อน ได้ติดชาร์ตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดคันทรีชาร์ต[78] สัญญากับนีลได้จบลงไปและในวันที่ 2 มีนาคม พาร์เกอร์กลายเป็นผู้จัดการคนใหม่ของเพรสลีย์[79] อาร์ซีเอวิกเตอร์ ได้ออกผลงานอัลบั้มเปิดตัวของเพรสลีย์ในชื่อตัวเขาเอง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม มีเพลงจากอัลบั้มที่บันทึกเสียงกับซันที่ไม่เคยออกมาก่อน 5 เพลง อีก 7 เพลงใหม่มีความหลากหลาย มีเพลงคันทรี 2 เพลงและเพลงป็อปกระฉับกระเฉง เพลงอื่นเน้นไปที่ดนตรีร็อกแอนด์โรลที่กำลังพัฒนา อย่าง "Blue Suede Shoes" ที่ "ปรับปรุงเวอร์ชันของเพอร์กินส์ในทุกทาง" จากคำพูดของนักวิจารณ์ โรเบิร์ต ฮิลเบิร์น และ 3 เพลงอาร์แอนด์บีที่เป็นรายการแสดงของเพรสลีย์บนเวทีหลายครั้ง เป็นการนำเพลงของลิตเทิล ริชาร์ด, เรย์ ชาร์ลส และเดอะดริฟเตอร์ส มาทำใหม่ และฮิลเบิร์ยังอธิบายว่า "เป็นเพลงที่เปิดเผยมากที่สุดทั้งหมด ไม่เหมือนกับศิลปินคนขาวอื่น ...ที่จะเจือจางความกล้าหาญของต้นฉบับอาร์แอนด์บีลงไป ในเพลงคริสต์ทศวรรษ 1950 แต่เพรสลีย์ได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่ เขาไม่เพียงแต่ผลักดันให้มีทำนองเข้ากับเอกลักษณ์เสียงของเขา แต่ยังนำกีตาร์ (ไม่ใช่เปียโน) เป็นเครื่องดนตรีนำในทั้ง 3 กรณี"[80] ถือเป็นอัลบั้มร็อกแอนด์โรลอัลบั้มแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด และอยู่นาน 10 สัปดาห์[76] ขณะที่เพรสลีย์ไม่ใช่นักปฏิรูปเครื่องดนตรีอย่างมัวร์ หรือร็อกเกอร์ชาวแอฟริกันอเมริกันร่วมสมัยอย่าง โบ ดิดดลีย์และชัค เบอร์รี นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ชื่อ กิลเบิร์ต บี. ร็อดแมน โต้แย้งภาพปกอัลบั้มว่า "เอลวิสผู้ซึ่งใช้เวลาตลอดชีวิตเขาบนเวที กับกีตาร์ในเมืองที่เขาเล่นได้ดีมากในตำแหน่งที่มีกีตาร์...เป็นเครื่องดนตรีที่ดีที่สุกับเขา กับรูปแบบและจิตวิญญาณของดนตรีแบบใหม่"[81] มิลตันเบอร์ลโชว์ และ "Hound Dog"เพรสลีย์ปรากฏตัวครั้งแรกใน 2 ครั้งที่ รายการ มิลตันเบอร์ลโชว์ ทางช่องเอ็นบีซี เมื่อวันที่ 3 เมษายน เขาแสดงบนดาดฟ้าเรือยูเอสเอสแฮนค็อก ที่แซนดีเอโก เขาได้รับเสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดจากคนดูทั้งจากทหารเรือและคนที่มาพบเจอ[82] หลายวันต่อมา เที่ยวบินที่เพรสลีย์และวงที่จะไปแนชวิลเพื่อบันทึกเสียงเกิดเครื่องสั่นอย่างหนัก 3 ครั้งเมื่อเครื่องเสียและเครื่องบินเกือบตกลงที่รัฐอาร์คันซอ[83] 12 อาทิตย์ต่อมาหลังจากออกซิงเกิล "Heartbreak Hotel" ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตป็อปเพลงแรกของเพรสลีย์ ในปลายเดือนเมษายน เพรสลีย์เริ่มพักอยู่ที่โรงแรมนิวฟรอนเทียร์และคาซิโน ที่ลาสเวกัสสตริป เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โชว์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มหัวอนุรักษ์ สำหรับแขกวัยกลางคนของโรงแรม นิวส์วีกเขียนวิจารณ์ว่า "เหมือนเหยือกน้ำที่มีเหล้าข้าวโพดในปาร์ตี้แชมเปญ"[84] ในช่วงที่อยู่ที่ลาสเวกัส เพรสลีย์ที่มีความใฝ่ฝันอย่างมากในด้านแสดง ได้เซ็นสัญญา 7 ปีกับพาราเมาต์พิกเจอส์[85] เขาเริ่มออกทัวร์ในมิดเวสต์ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ใน 15 เมืองเป็นเวลาหลายวัน[86] เขาเข้าไปดูโชว์หลายโชว์ของเฟรดดีเบลล์แอนด์เดอะเบลล์บอยส์ ในลาสเวกัสและติดใจเพลงทำใหม่ที่ชื่อ "Hound Dog" เพลงฮิตในปี 1952 ของนักร้องเพลงบลูส์ที่ชื่อ บิ๊ก มามา ทอร์นตัน และเพลงนี้ได้ถือเป็นเพลงใหม่ในการแสดงของเขา[87] หลังจากแสดงในลาครอส ในรัฐวิสคอนซิน ก็มีข้อความเขียนบนหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเครือคาทอลิก ซึ่งก็ถูกส่งไปให้หัวหน้าเอฟบีที่ชื่อ เจ. เอดการ์ ฮูเวอร์ เขียนไว้ว่า "เพรสลีย์เป็นอันตรายอย่างยิ่งกับความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา...การแสดงของเขาเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้กับกลุ่มวัยรุ่น...หลังจากแสดงโชว์ มีวัยรุ่นกว่า 1,000 คนพยายามเข้าร่วมไปอยู่ในห้องของเพรสลีย์ที่โรงละคร...เป็นการบอกถึงความอันตรายของเพรสลีย์ แค่ในลาครอสก็มีหญิงสาวไฮสคูล 2 คน ที่ให้เพรสลีย์เซ็นลายเซ็นที่ท้องน้อยและต้นขา"[88] การแสดงครั้งที่ 2 ที่ รายการ มิลตันเบอร์ลโชว์ เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่สตูดิโอฮอลลีวูดของช่องเอ็นบีซี ในช่วงระหว่างความวุ่นวายในการออกทัวร์ เบอร์ลได้ชักชวนเขาให้ทิ้งกีตาร์หลังเวที แนะให้เขา "ให้พวกเขาพบคุณ, ลูกชาย"[89] ระหว่างการแสดงเพรสลีย์หยุดโชว์กะทันหันในช่วงเพลงมีจังหวะ "Hound Dog" โดยโบกแขนและเริ่มทำให้ช้าลง ทำดูเด่น เต็มไปด้วยพลัง กับการเคลื่อนไหวที่ดูเกินจริง[89] การแสดงการหมุนของเขาทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างหนัก[90] นักวิจารณ์โทรทัศน์ แจ็ก กูล์ดจาก นิวยอร์กไทม์ เขียนไว้ว่า "คุณเพรสลีย์ ผู้ซึ่งไม่มีความสามารถด้านการร้อง...การถ่ายทอดของเขา ถ้าสามารถเรียกได้ว่า ประกอบด้วยความหลากหลายทั่ว ๆ ไป ที่เริ่มท่วงทำนองแบบในอ่างน้ำ...ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของเขาคือ การเคลื่อนไหวของร่างกายที่มีเอกลักษณ์...โดยมากจะเห็นถึงรายการการแสดงที่น่าตกใจแบบพวกล้อเลียนการแสดง"[91] ส่วนเบน กรอส จาก นิวยอร์กเดลีนิวส์ แสดงความเห็นดนตรีป็อปว่า "ได้ถึงจุดต่ำสุดของพฤติกรรมปลายขาหนีบ ของเอลวิส เพรสลีย์... เอลวิสคนที่เคลื่อนกระดูกเชิงกราน...ได้แสดงเป็นนัยยะเรื่องอนาจารและหยาบคาย ผสมด้วยรูปแบบของสัตว์ป่าที่อาจหมายถึงซ่องโสเภณี"[92] เอ็ด ซัลลิแวน เจ้าของรายการวาไรตี้โชว์อันโด่งดังระดับชาติ ประกาศว่าเขา "ไม่เหมาะสำหรับผู้ชมในครอบครัว"[93] เขาถูกเรียกว่า ""Elvis the Pelvis" (เอลวิส กระดูกเชิงกราน) ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับเขา เขาตอบกลับไปว่า "เป็น 1 ในการแสดงออกที่ปัญญาอ่อนที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน ที่มาจากผู้ใหญ่เอง"[94] สตีฟอัลเลนโชว์ และการปรากฏตัวครั้งแรกในรายการซัลลิแวนรายการของเบิร์ลได้รับเรตติ้งสูงเมื่อครั้งเพรสลีย์ ปรากฏตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ทางรายการ เดอะสตีฟอัลเลนโชว์ ในนิวยอร์ก อัลเลนซึ่งไม่ใช่แฟนเพลงร็อกแอนด์โร ได้แนะนำเอลวิสแบบใหม่ ในชุดผู้โบว์สีขาวและสุดดำมีท้าย เพรสลีย์ร้องเพลง "Hound Dog" ไม่ถึง 1 นาทีให้กับสุนัขพันธุ์บาสเซตฮาวด์ที่สวมหมวดและผูกไทด์ นักประวัติศาสตร์รายการโทรทัศน์ เจค ออสเตนกล่าวว่า "อัลเลนคงคิดว่าเพรสลีย์ไม่มีความสามารถและไร้สาระ จึงทำอย่างนั้นกับเพรสลีย์ที่จะทำให้เพรสลีย์ดูสำนักผิด"[95] ต่อมาอัลเลนเขียนว่า เขาพบว่าเพรสลีย์ "แปลก สูงและผอม เด็กหนุ่มคันทรีผู้มีพรสวรรค์ มีความเฉลียวฉลาดที่ยากจะอธิบาย มีเสน่ห์จนน่าแปลกใจ และเป็นนักร้องที่สร้างความตลกในรายการเขา"[96] ซึ่งต่อมาเพรสลีย์เองก็ตอบกลับว่าเป็นการแสดงที่พิลึกที่สุดที่เขาทำในอาชีพของเขา[97] ต่อมาในคืนเดียวกัน เขาปรากฏในรายการ ไฮการ์ดเนอร์คอลลิง รายการโทรทัศน์ท้องถิ่นยอดนิยม ตอบรับเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการวิจารณ์ที่เขาตกเป็นเป้าหมายอยู่ เพรสลีย์ตอบว่า "ไม่เลย ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมทำอะไรผิด...ผมไม่เห็นว่าจะประเภทดนตรีจะทำให้เกิดอิทธิพลด้านร้ายกับคน เพราะมันก็เป็นแค่ดนตรี ผมหมายถึง ร็อกแอนด์โรลจะทำให้ใครต่อต้านพ่อแม่เขาได้"[92] วันถัดมาเพรสลีย์บันทึกเสียงเพลง "Hound Dog" กับเพลง "Any Way You Want Me" และ "Don't Be Cruel" ขณะที่วงจอร์แดนแนร์สร้องประสาน เหมือนที่ทำในรายการ เดอะสตีฟอัลเลนโชว์ พวกเขาได้ร่วมงานกับเพรสลีย์จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960 ต่อมาหลายวันเขาแสดงในคอนเสิร์ตกลางแจ้งในเมมฟิส เขาประกาศว่า "รู้ไหม คนเหล่านี้ในนิวยอร์กจะไม่สามารถเปลี่ยนผมได้ ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าเอลวิสที่แท้จริงเป็นอย่างไร ในคืนนี้"[98] ในเดือนสิงหาคม ผู้พิพากาษในแจ็กสันวิล ในฟลอริดา สั่งให้เพรสลีย์สุขุมกว่าเดิมในการแสดง เป็นผลในการแสดงในครั้งต่อ ๆ มา ยกเว้นการแกว่งนิ้วไปมาในลักษณะล้อเลียนการสั่ง[99] เขานำเพลง "Don't Be Cruel" คู่กับ "Hound Dog" ติดอันดับ 1 บนชาร์ตนาน 11 สัปดาห์ เป็นสถิติเพลงอันดับ 1 ยาวนานที่สุดร่วม 36 ปี[100] เขาบันทึกเสียงในอัลบั้มชุดที่ 2 ในฮอลลีวูดในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน เจอร์รี ลีเบอร์และไมก์ สตอลเลอร์ ผู้เขียนเพลง "Hound Dog" ได้ช่วยเขียนในเพลง "Love Me" รายการของอัลเลนที่มีเพรสลีย์ร่วมนั้น ได้ชนะเรื่องเรตติ้งครั้งแรก ในรายการ ดิเอ็ดซัลลิแวนโชว์ ทางช่องซีบีเอส แต่ต่อมาทางซัลลิแวนประกาศออกมาในเดือนมิถุนายนว่า เขาจะปรากฏตัวในรายการ 3 ครั้งกับค่าตัว 50,000 ดอลลาร์สหรัฐที่ไม่เคยมีมาก่อน[101] ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1956 มีผู้ชมราว 60 ล้านคน ถือเป็นร้อยละ 82.6 ของผู้ชมรายการโทรทัศน์[102] นักแสดง ชาร์ล เลาจ์ตัน พิธีกรของรายการซึ่งมาทำหน้าที่แทนซัลลิแวนเนื่องจากพักฟื้นจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์[93] เพรสลีย์ปรากฏตัวใน 2 ส่วนของรายการในคืนนั้นจาก ซีบีเอสเทเลวิชันซิตี ในฮอลลีวูด ถ่ายทำเพรสลีย์จากเอวขึ้นไป ขณะที่ดูคลิปขอรายการอัลเลนและเบิร์ล กับโปรดิวเซอร์ของเขา ซัลลิแวนให้ความเห็นว่า "มีบางอุปกรณ์บางอย่างแขวนตรงบริเวณอวัยวะเพศเขา จากนั้นเขาแกว่งขาไปมา มันจึงทำให้เห็นส่วนเว้านูนของอวัยวะเพศเขา ...ผมคิดว่ามันคือขวดโค้ก... แต่ไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นมาได้ในคืนวันอาทิตย์ นี่มันรายการสำหรับครอบครัว"[103] ซัลลิแวนบอกกับ ทีวีไกด์ ไว้ว่า "การหมุนตัวของเขาเราสามารถควบคุมได้ในกล้อง"[101] แต่แท้จริงแล้ว เพรสลีย์ปรากฏเต็มตัวในการแสดงครั้งแรกและครั้งที่สอง ถึงแม้จะระมัดระวังในการถ่ายภาพเมื่อเขาปรากฏตัว กับการไม่ขยายชัดตรงขา เมื่อเขาเต้น แต่ผู้ชมในสตูดิโอก็มีปฏิกิริยาด้วนเสียงกรี๊ด[104][105] เพรสลีย์ได้แสดงซิงเกิลที่กำลังจากออก เป็นเพลงบัลลาดที่ชื่อ "Love Me Tender" ซึ่งสร้างสถิติมีการสั่งล่วงหน้าร่วมล้าน[106] มากไปกว่าซิงเกิลใดที่เคยมีมา ถือเป็นการปรากฏตัวของเขาในรายการ ดิเอ็ดซัลลิแวนโชว์ ที่ทำให้เขาเป็นคนดังระดับประเทศ เทียบกับครั้งก่อนหน้า[93] ประกอบกับความมีชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของเพรสลีย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม ที่เขาช่วยดลใจและทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ ก่อให้เกิด "ความบ้าคลั่งที่มากที่สุดของวงการป็อบ ตั้งแต่ครั้งเกล็น มิลเลอร์และแฟรงก์ ซินาตรา... เพรสลีย์ได้นำร็อกแอนด์โรลก้าวเข้าสู่กระแสหลักของวัฒนธรรมสมัยนิยม" เขียนโดยมาร์ตี จีเซอร์ "เพรสลีย์ได้นำฝีก้าวของศิลปะ ที่ศิลปินอื่นก้าวตาม... เพรสลีย์มีมากกว่าใครอื่น ได้สร้างความศรัทธากับคนรุ่นใหม่ให้พวกเขาโดดเด่นและในบางครั้งสร้างความเป็นหนึ่งให้กับคนรุ่นนั้น - เป็นครั้งแรกในอเมริกาที่รู้สึกเหมือนว่ามีพลังที่รวมวัฒนธรรมวัยรุ่นเข้าด้วยกัน"[107] ฝูงชนที่บ้าคลั่งและก้าวสู่วงการภาพยนตร์ผู้ชมต่างตอบรับในการแสดงสดของเพรสลีย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนคลั่งไคล้ มัวร์ระลึกความหลังว่า "เขาเริ่มร้องว่า 'You ain't nothin' but a Hound Dog' และพวกเขากลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเขาต่างแสดงปฏิกิริยาในลักษณะนี้เหมือนเดิม เหมือนมีการประท้วงตลอดเวลา"[108] ในการแสดงคอนเสิร์ต 2 ครั้งในเดือนกันยายน ที่งานมิสซิสซิปปี-แอละแบมาและไดแอรีโชว์ ได้มีการเพิ่มผู้รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ จำนวน 50 คน ให้กับตำรวจในการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันปัญหาจากฝูงชน[109] อัลบั้มชุดที่ 2 ของเขาที่ชื่อ Elvis ออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม และก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างรวดเร็ว ได้มีการประเมินผลกระทบด้านดนตรีและวัฒนธรรมกับงานเพลง "That's All Right" นักวิจารณ์เพลงร็อกที่ชื่อ เดฟ มาร์ช เขียนไว้ว่า "เพลงนี้ เป็นมากกว่าเพลงอื่น มีเมล็ดผลที่เป็นร็อกแอนด์โรล"[110] เพรสลีย์กลับสู่รายการ ซัลลิแวนโชว์ อีกครั้ง มีพิธีกรคือซัลลิแวนเอง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม หลังจากการแสดง ฝูงชนในแนชวิลล์และเซนต์หลุยส์ที่ไม่พอใจเขาต่างเผาหุ่นจำลองรูปเขา[93] ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Love Me Tender ออกฉายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งแต่เดิมจะใช้ชื่อว่า The Reno Brothers และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีรายชื่ออยู่บนหัวสุด แต่ภาพยนตร์ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาใช้ตามชื่อเพลงอันดับ 1 ของเขาคือ "Love Me Tender" ซึ่งติดอันดับ 1 ก่อนหน้าในเดือนนั้น ยังถือโอกาสจากความโด่งดังของเพรสลีย์ โดยเพิ่มเพลง 4 เพลงเข้าไป ภาพยนตร์ได้เสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์แต่ไม่ประสบความสำเร็จดีนักในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส[85] ต่อมาเพรสลีย์ก็มีชื่ออยู่บนสุดทุกครั้งไป เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม มีผลงานของเพรสลีย์ออกภายใต้สังกัดซันเรเคิดส์ เมื่อครั้งที่บันทึกเสียงกับคาร์ล เพอร์กินส์และเจอร์รี ลี ลูอิส ถึงแม้ว่าฟิลิปจะไม่ได้ถือลิขสิทธิ์ในการออกเพลงต่าง ๆ ของเพรสลีย์แล้ว เขาก็ได้บันทึกเสียงการบันทึกเสียงในเทป ผลคือกลายเป็นการบันทึกเสียง ในนาม มิลเลียนดอลลาร์ควอร์เตต จบปลายปีกับการพาดหัวข่าวใน วอลล์สตรีตเจอร์นอล รายงานว่าของที่ระลึกของเพรสลีย์มีราคา 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับยอดขาย[111] และนิตยสารบิลบอร์ดประกาศว่าเขามีเพลงในท็อป 100 มากกว่าศิลปินใดที่เคยมีมา ตั้งแต่เริ่มมีชาร์ต[112] ในปีแรกเต็ม ๆ กับสังกัดอาร์ซีเอ ซึ่งถือเป็นบริษัทธุรกิจดนตรีที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่ง ก็มียอดขายซิงเกิลของเพรสลีย์เป็นร้อยละ 50 ของรายได้บริษัท.[106] การร่วมงานกับลีเบอร์และสตอลเลอร์ และหมายเกณฑ์ทหารเพรสลีย์ปรากฏตัวครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายในรายการ เอ็ดซัลลิแวนโชว์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1957 ในครั้งนี้ถ่ายเพียงถึงเอว นักวิจารณ์บางคน กล่าวว่า พาร์กเกอร์ได้ประพันธ์ดนตรีให้เข้ากับการเซ็นเซอร์แก่สาธารณะ[105][113] นักวิจารณ์ที่ชื่อ กรีล มาร์คัส อธิบายว่า "เพรสลีย์ไม่ได้จำกัดเสรีภาพตัวเอง เขาปล่อยให้เสื้อผ้าไม่น่าสนใจทิ้งไป แต่เขาก้าวออกมาพร้อมเสื้อผ้าแปลกๆ อย่างขุนนาง แต่งหน้าทางตา ปล่อยผมมาที่หน้า การแสดงลักษณะทางเพศผ่านทางปาก เขาเล่นเป็น รูดอล์ฟ วาเลนติโน" อย่างในภาพยนตร์เรื่อง The Sheik[93] และในการปิดการแสดง เพรสลีย์ร้องเพลงแบบโซลในเพลง "Peace in the Valley" ตอนจบการแสดง ซัลลิแวนออกมาพูดกับเพรสลีย์ว่า "ช่างเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นดี"[114] 2 วันต่อมา เมมฟิสออกมาประกาศการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเพรสลีย์จะจัดอยู่ใน 1 เอ และจะต้องเข้าเกณฑ์ทหารในปีนั้น[115] ทั้ง 3 ซิงเกิลของเพรสลีย์ที่ออกในช่วงครึ่งปีแรกของปี ค.ศ. 1957 ติดอันดับ 1 ได้แก่ "Too Much", "All Shook Up", และ "(Let Me Be Your) Teddy Bear" เขาได้กลายเป็นดาราระดับนานาชาติ เขาได้รับความสนใจจากแฟนเพลง ถึงแม้ว่าเพลงเขาจะยังไม่ออกขาย ยังมีการพาดหัวข่าวว่า "เพรสลีย์สร้างความคลั่งไคล้ในโซเวียต" ใน เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่าเพลงของเขาเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งในราคาสูง ที่เลนนินกราด[116] และในช่วงการถ่ายทำภาพยนตร์และบันทึกเสียง เขาซื้อแมนชัน 18 ห้อง ห่างจากดาวน์ทาวน์ของเมมฟิสไป 8 ไมล์ เขาซื้อให้ตัวเขาและพ่อแม่เขา ในเกรซแลนด์[117] Loving You เพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่องที่สองของเขา ก็กลายเป็นอัลบั้มอันดับ 1 อัลบั้มที่ 3 ของเขา เพลงไตเติลแทร็กเขียนโดยลีเบอร์และสตอลเลอร์ที่ยังคงเขียน 4 ใน 6 เพลงในการบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์เรื่องถัดมา Jailhouse Rock ทีมนักเขียนเพลงได้ร่วมกันทำงานในเซสชัน และพวกเขาเริ่มใกล้ชิดกับเพรสลีย์ ซึ่งเคยพูดถึงว่า "เป็นสิ่งนำโชค"[118] เพลง "Jailhouse Rock" ก็เป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ในอีพีชุด Jailhouse Rock เพรสลีย์ออกทัวร์สั้น ๆ 3 ทัวร์ระหว่างปี ยังสร้างกระแสตอบรับที่บ้าคลั่งจากผู้ชม[119] หนังสือพิมพ์ดีทรอยต์ แนะนำว่า "ปัญหาหากคุณไปดูเอลวิส เพรสลีย์ คือคุณอาจถูกฆ่าตายได้"[120] นักศึกษามหาวิทยาลัยวิลลาโนวาปาไข่ใส่เขาในฟิลาเดเฟีย[120] และในแวนคูเวอร์ ฝูงชนประท้วงหลังจบโชว์ โดยการทำลายเวที[121] แฟรงก์ ซินาตรา ซึ่งเคยทำให้วัยรุ่นสาวเป็นลมมาแล้วในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 ตำหนิเรื่องปรากฏการณ์ใหม่ทางดนตรีนี้ โดยในบทความในนิตยสาร เขาประณามร็อกแอนด์โรลว่า "หยาบคาย น่าเกลียด เสื่อม เลวทราม ... มันส่งเสริมให้เกิดด้านลบและการทำลายล้างในหมู่วัยรุ่น ดูเหมือนเสแสร้งและผิด เขียนและเล่นโดยคนโง่และผิดปกติ ...คือกลิ่นเหม็นเน่าของการกระตุ้นทางเพศ ที่ผมไม่เห็นด้วย"[122] และหลังจากเพรสลัย์ก็ตอบรับว่า "ผมเคารพในตัวเขา เขามีสิทธิ์ที่จะพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด เขามีความประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นนักแสดงที่ดี แต่ผมคิดว่าเขาไม่ควรพูดอย่างนั้น... มันคือกระแส ก็เหมือนกับที่เขาเจอเมื่อเขาเริ่มมันเมื่อหลายปีก่อน"[123] ลีเบอร์และสตอลเลอร์ กลับมาในสตูดิโออีกครั้งเพื่อบันทึกเสียงให้กับเพรสลีย์ในอัลบั้มชุด Elvis' Christmas Album จนเกือบจบการบันทึกเสียง เขาเขียนเพลงตามที่เพรสลีย์เรียนกร้องในเพลง "Santa Claus Is Back In Town" ในเพลงบลูส์เหน็บแนม[124] อัลบั้มออกในช่วงวันหยุด และทำให้อันดับติดอันดับ 1 เป็นชุดที่ 4 และต่อมาถือว่าเป็นอัลบั้มคริสต์มาสที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[125][126] ในวันที่ 20 ธันวาคม เพรสลีย์ได้รับหมายเกณฑ์ เขาได้รับการเลื่อนการเกณฑ์ทหาร จนกว่าจะจบการทำภาพยนตร์เรื่องต่อมาที่ชื่อ King Creole ที่ได้รับทุนมาแล้วจำนวน 350,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้รับทุนจากพาราเมาต์และโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ ฮอล แวลลิส ก่อนปีใหม่ 1-2 สัปดาห์ เพลงที่แต่งโดยลีเบอร์และสตอลเลอร์ที่ชื่อเพลง "Don't" ก็กลายเป็นซิงเกิลขายดีอันดับ 1 เพลงที่ 10 และเพียง 21 เดือนหลังจากที่เขานำ "Heartbreak Hotel" ขึ้นอันดับ 1 เป็นครั้งแรก สำหรับการบันทึกเสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ King Creole เกิดขึ้นในฮอลลีวูด กลางเดือนมกราคม ลีเวอร์และสตอลเลอร์ทำเพลง 3 เพลง แต่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับเพรสลีย์[127] รับราชการทหารและการเสียชีวิตของมารดา (1958–60)เมื่อวันที่ 24 มีนาคม เพรสลีย์ถูกเกณฑ์ทหารในกองทัพสหรัฐฯ เป็นพลทหารที่พอร์ตแชฟฟี ใกล้เมืองฟอร์ตสมิท รัฐอาร์คันซอ ร้อยเอกอาร์ลี เมเทนี ผู้บังคับการหน่วยสารสนเทศไม่ได้เตรียมพร้อมกับการมาของสื่อมวลชน เมื่อเพรสลีย์มาถึง มีคนกว่า 100 คนมารอดู เมื่อเขาก้าวเท้าลงมาจากรถบัส ช่างภาพมากมายก็เข้ามารุมที่ตัวเขา[128] เพรสลีย์ประกาศว่าเขาตั้งตาคอยในการเป็นทหาร และยังกล่าวว่า เขาไม่ต้องการให้รับการปฏิบัติแตกต่างจากผู้อื่น "กองทัพจะทำอะไรก็ได้กับผมตามที่ต้องการ"[129] ต่อมาที่ฟอร์ตฮูด รัฐเท็กซัส พันโทมาร์โจรี ชูลเทน ได้ให้สื่อเข้าถึงเขาเต็ม ๆ 1 วัน หลังจากที่เธอประกาศห้ามสื่อเข้ามา[130] ไม่นานเพรสลีย์ก็เข้าร่วมฝึกเบื้องต้นที่ฟอร์ตฮูด มีนักธุรกิจที่ชื่อเอ็ดดี้ ฟาดาล ที่เคยพบเขาในทัวร์ที่เท็กซัส เข้าเยี่ยมเขา ฟาดาลกล่าวว่า เพรสลีย์เชื่อว่าอาชีพเขาได้จบลงแล้ว— "เขาเชื่อเช่นนั้นอย่างมาก"[131] ใน 2 สัปดาห์ของต้นเดือนมิถุนายน เพรสลีย์ไถศีรษะขาว 5 ด้านที่แนชวิลล์ เขากลับไปฝึกต่อแต่พอต้นเดือนสิงหาคม แม่ของเขาซึ่งป่วยเป็นโรคตับอักเสบ และอาการของเธอก็แย่ลง เพรสลีย์ได้เร่งกลับมาเยี่ยมเธอโดยด่วน ถึงเมมฟิสเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม หลังจากนั้น 2 วันเธอก็เสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย อายุได้ 46 ปี ทำให้เกิดความเสียใจกับเพรสลีย์อย่างมาก[132] หลังจากฝึกที่ฟอร์ตฮูด เพรสลีย์ได้ประจำการในหน่วยยานเกราะ หน่วยที่ 3 ในฟรีดเบิร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม[133] เขาได้เสพแอมเฟตามีนที่ได้จากเพื่อนทหาร ขณะซ้อมรบ มีผลไม่เพียงให้กำลัง ความแข็งแรง และทำให้เขาน้ำหนักลด และมีเพื่อนเขาหลายคนร่วมด้วย[134] เพรสลีย์ได้เรียนรู้คาราเต้เป็นครั้งแรก เขาศึกษาอย่างจริงจัง ต่อมาเขาก็รวมเข้ากับการแสดงของเขา[135] เพื่อนทหารเป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความหลักแหลม ความเป็นทหารธรรมดาคนหนึ่ง แต่เนื่องจากชื่อเสียงของเขาและความใจกว้างขณะรับใช้ชาติ เขายังได้บริจาคเงินการกุศลให้กองทัพ ได้ซื้อชุดโทรทัศน์ให้กับฐาน และซื้อชุดทหารชุดพิเศษให้กับทุกคนได้ใส่กัน[136] ขณะที่อยู่ฟรีดเบิร์ก เพรสลีย์พบกับหญิงสาวอายุ 14 ปีที่ชื่อพริสซิลลา โบลิยอ ทั้งคู่แต่งงานกันในอีก 7 ปีที่คบหากัน[137] ในหนังสืออัตชีวประวัติของเธอ พริสซิลลาพูดว่า เนื่องจากเขากังวลเรื่องถูกทำลายอาชีพการงานของเขา พาร์กเกอร์แนะนำเพรสลีย์ให้เพิ่มความน่านับถือ จากการรับใช้ประเทศชาติกับกองทัพทั่วไป ไม่ใช่หน่วยพิเศษ จะทำให้เขาสามารถแสดงดนตรีและสามารถเข้าถึงมหาชนได้[138] สื่อมวลชนตระหนักถึงอาชีพของเขาโดยการรายงานข่าว แต่โปรดิวเซอร์ค่ายอาร์ซีเอ สตีฟ โชลส์และเฟรดดี้ บีนสต็อก ได้เตรียมงานสำหรับการหายไป 2 ปีของเขา รวมถึงผลงานที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อน และยังได้กระแสตอบรับ ประสบความสำเร็จอย่างดี[139] โดยปล่อยซิงเกิลติดชาร์ตท็อป 40 อย่าง "Wear My Ring Around Your Neck", เพลงขายดีอย่าง "Hard Headed Woman", และ "One Night" ในปี ค.ศ. 1958, และเพลง "(Now and Then There's) A Fool Such as I" รวมถึงเพลงอันดับ 1 "A Big Hunk o' Love" ในปี ค.ศ. 1959[140] อาร์ซีเอยังได้จัดการออกอัลบั้มรวมเพลงเก่า 4 อัลบั้มในช่วงนี้ ชุดที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ Elvis' Golden Records (1958) ที่ติดอันดับ 3 บนชาร์ตอัลบั้ม มุ่งด้านภาพยนตร์ (1960–67)Elvis Is Backเพรสลีย์กลับสู่สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1960 และได้รับยศสิบเอก เมื่อวันที่ 5 มีนาคม[141] เขาขึ้นขบวนรถไฟจากนิวเจอร์ซีย์ไปเทนเนสซี ซึ่งตลอดทางมีฝูงชนล้อมอย่างมากมาย และเพรสลีย์ได้ปรากฏตัวเพื่อหาแฟนคลับที่ปลายทาง.[142] เมื่อกลับถึงเมมฟิส เขาไม่ใช้เวลาให้เปล่าประโยชน์ กลับเข้าสตูดิโอโดยทันที บันทึกเสียงในเดือนมีนาคมและเมษายน กับซิงเกิลฮิตขายดี กับเพลงบัลลาด "It's Now or Never" และ "Are You Lonesome Tonight?", และอัลบั้ม Elvis Is Back! ที่มีหลาย ๆ เพลงที่กรีล มาร์คัส ได้อธิบายไว้ว่า "ภยันตราย ที่ขับผ่านอคูสติกกีตาร์ เล่นโดยสก็อตตี มัวร์ และแซกโซโฟนปีศาจของบูตส์ แรนดอล์ฟ และเอลวิสไม่ได้ร้องแบบเซ็กซี่ แต่มันโป๊เลย"[143] และการภาพรวมอัลบั้ม "ได้ร่ายมนต์ภาพของคนร้องให้สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้" ในคำพูดของนักประวัติศาสตร์ดนตรี จอห์น โรเบิร์ตสัน "ไอดอลวัยรุ่นเจ้าชู้คนนี้ กับชายที่เอาใจใส่ โผงผาง คนรักอันตราย นักร้องบลูส์-กัตบักเกต ผู้สร้างความบันเทิงในสถานกลางคืนมาช่ำชอง กับเสียงร้องห้าว ๆ"[144] อัลบั้มออกขายเพียง 1 วันหลังจากที่เสร็จสิ้นการบันทึกเสียง ติดอันดับ 2 บนชาร์ตอัลบั้ม เพรสลีย์กลับมาในรายการโทรทัศน์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เป็นแขกในรายการ The Frank Sinatra Timex Special ยังออกรายการ Welcome Home Elvis บันทึกเทปเมื่อปลายเดือนมีนาคม เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เพรสลีย์แสดงต่อหน้าผู้ชม พาร์กเกอร์ได้จ่ายค่าตัว $125,000 กับการร้องเพลงความยาว 8 นาที ที่ยังไม่เคยมีใครได้ยิน การออกอากาศครั้งนี้มีผู้ชมมากมายมหาศาล[145] G.I. Blues อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรกหลังจากที่เขากลับมา ติดอันดับ 1 ในเดือนตุลาคม และอัลบั้มเกี่ยวกับศาสนาอัลบั้มแรกของเขาที่ชื่อ His Hand in Mine ก็ออกใน 2 เดือนถัดมา ติดอันดับ 3 บนยูเอสป็อปชาร์ต และอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักร เป็นอัลบั้มในแนวกอสเปล ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961 เพรสลีย์แสดง 2 ครั้งในงานหารายได้ในเมมฟิส กับงานการกุศลท้องถิ่น 24 งาน ในช่วงงานเลี้ยงอาหารกลางวันก่อนงาน อาร์ซีเอได้มองแผ่นเพื่อแสดงยอดขายมากกว่า 75 ล้านชุดทั่วโลกให้กับเขา[146] เขาได้บันทึกเสียงนานกว่า 12 ชั่วโมงในแนชวิล ในช่วงกลางเดือนมีนาคม กับผลงานอัลบั้มถัดไปของเขา ชุด Something for Everybody[147] จอห์น โรเบิร์ตสัน บรรยายว่า เป็นตัวอย่างของดนตรีแนชวิล กับแนวที่กลั่นกรองและขัดเกลา ที่จำกัดความถึงดนตรีคันทรี ในคริสต์ทศวรรษ 1960 และเป็นการทำนายถึงสิ่งที่จะออกมาจากเพรสลีย์ ในครึ่งทศวรรษถัดไป อัลบั้มนี้ "มีดนตรีที่เป็นงานผสมผสานทางศิลปะที่น่ายินดี และเป็นหนึ่งในสิ่งที่เอลวิสได้มาแต่เกิด"[148] เป็นอัลบั้มอันดับ 1 ชุดที่ 6 ของเขา เขายังได้ร่วมงานคอนเสิร์ตหารายได้ให้กับการรำลึกถึงเพิร์ลฮาร์เบอร์ ขึ้นแสดงบนเวทีเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ในฮาวาย และเป็นการแสดงต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายและจะไม่มีอีกนาน 7 ปี[149] กับงานในฮอลลีวูดพาร์กเกอร์ ได้ผลักดันให้เพรสลีย์มีตารางงานในด้านแสดงภาพยนตร์อย่างหนัก มุ่งหนังตลาด และหนังเพลง-ตลก มีทุนสร้างโดยพอประมาณ เดิมทีเพรสลีย์ยืนยันว่าจะแสดงในบทหนัก ๆ แต่เมื่อหนัง 2 เรื่องที่เน้นแนวดราม่า อย่างเรื่อง Flaming Star (1960) และ Wild in the Country (1961) ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาจึงกลับมาแสดงในหนังตลาด ในหนัง 27 เรื่องที่เขาแสดงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 มีบางเรื่องที่เป็นแนวอื่นบ้าง[150] ผลงานแสดงภาพยนตร์ของเขา มีนักวิจารณ์วิจารณ์โดยรวมไว้ว่า "ปูชนียสถานที่มีรสนิยมแย่"[151] อย่างไรก็ตาม ก็มีคุณค่าสรรเสริญ ฮอล แวลลิส ที่สร้างหนังของเขา 9 เรื่อง ก็ประกาศไว้ว่า "ภาพของเพรสลีย์เป็นสิ่งเดียวที่แน่นอนในฮอลลีวูด"[152] ผลงานภาพยนตร์ของเพรสลีย์ในคริสต์ทศวรรษ 1960 นั้นมี 15 เรื่องที่มีอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ และอีก 5 ชุดเป็นอีพีเพลงประกอบภาพยนตร์ โดยมีภาคผลิตภาพยนตร์และออกฉายอย่างรวดเร็ว เขาแสดงภาพยนตร์ 3 เรื่องใน 1 ปี ซึ่งมีผลต่อการทำงานดนตรีกับเขา จากข้อมูลของเจอร์รี ลีเบอร์ สูตรในการทำอัลบั้มประกอบภาพยนตร์นั้นเกิดขึ้นก่อนที่เพรสลีย์จะออกจากกองทัพเสียอีก คือสูตร "3 เพลง บัลลาด ,1 เพลง มีเดียม-เท็มโป, 1 เพลง อัปเท็มโป" และ 1 เพลง เบรกบลูส์บูกี"[153] คุณภาพของเพลงประกอบภาพยนตร์นั้นค่อย ๆ แย่ลงไปเรื่อย ๆ[154] จูลี แพร์ริช ที่แสดงใน Paradise, Hawaiian Style (1966) พูดว่า "เขาเกลียดหลายเพลงที่เลือกในภาพยนตร์ของเขา"[155] กอร์ดอน สโตเกอร์ จากเดอะจอร์แดนแนร์ส อธิบายว่า จะวางไมค์ลง "วัตถุดิบมันช่างแย่ เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถร้องเพลงได้"[156] อัลบั้มประกอบหนังส่วนมากของเขาจะมีเพลง 1-2 เพลงจากนักเขียนเพลงที่น่าเคารพอย่างทีมของ ด็อก โพมัส และ พอร์ต ชูแมน แต่ส่วนใหญ่แล้ว เจอร์รี ฮอปกินส์ ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติเขา กล่าวว่า "เพลงเขียนออกมาจากการได้รับคำสั่งจากคนที่ไม่เข้าใจเอลวิสหรือร็อกแอนด์โรลเลย"[157] เขาไม่นึกถึงคุณภาพของเพลง โดยอ้างว่าเขาสามารถร้องเพลงได้ดีอยู่แล้ว[158] นักวิจารณ์ เดฟ มาร์ช เห็นในทางที่ต่างกัน "เพรสลีย์ไม่ได้พยายาม อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการทำงานอย่างรวดเร็วที่ดีที่สุด โดยใช้หน้าของเขา อย่างในเพลง 'No Room to Rumba in a Sports Car' และ 'Rock-a-Hula Baby'"[110] ในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ มี 3 อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ของเพรสลีย์ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตป็อป และมีเพลงยอดนิยมจากภาพยนตร์หลายเพลง เช่น "Can't Help Falling in Love" (1961) และ "Return to Sender" (1962) ส่วนเพลง "Viva Las Vegas" เพลงชื่อเดียวกับหนังนั้น โด่งดังเล็กน้อยในฐานะเพลงหน้าบี แต่ต่อมาก็โด่งดังในภายหลัง แต่เมื่องานทำออกมาโดยเน้นด้านศิลปะ ลดความเป็นตลาดลงไป ในช่วงระหว่าง 5 ปี (ค.ศ. 1964-1968) เพรสลีย์มีเพลงติดท็อป 10 เพียงเพลงเดียวคือ "Crying in the Chapel" (1965) เพลงที่บันทึกเสียงในปี ค.ศ. 1960 ส่วนอัลบั้มที่ไม่ใช่เพลงประกอบภาพยนตร์ ในระหว่างเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1962 เขาออกอัลบั้ม Pot Luck และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1968 ออกอัลบั้มประกอบรายการพิเศษทางโทรทัศน์ มีเพียง 1 อัลบั้มในฉบับใหม่ของเพรสลีย์ เป็นอัลบั้มในแนวกอสเปล คือชุด How Great Thou Art (1967) ทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี่ครั้งแรกในชีวิต ในสาขาแสดงเกี่ยวกับศาสนายอดเยี่ยม The New Rolling Stone Album Guide เขียนเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ว่า "อาจพิสูจน์ได้ว่า เขาเป็นนักร้องกอสเปลผิวขาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลาของเขา ที่ค่อนถือว่าเป็นศิลปินร็อกแอนด์โรลคนสุดท้ายที่ทำเพลงกอสเปล ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการแสดงบุคลิกลักษณะด้านดนตรีของเขา ในด้านเกี่ยวกับเพลงของฆราวาส"[159] ก่อนคริสต์มาส ค.ศ. 1966 เป็นเวลามากกว่า 7 ปีที่เพรสลีย์ได้พบกับพริสซิลลา โบลิยอ ครั้งแรก ทั้งคู่สมรสกับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 ในพิธีง่าย ๆ ในห้องสวีตที่โรงแรมอาละดินในลาสเวกัส[160] หนังตลาดและอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ใกล้ออก แต่ไม่ได้ออกจนกว่าเดือนตุลาคม ค.ศ. 1967 เมื่ออัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Clambake ถือเป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายต่ำในบรรดาอัลบั้มของเพรสลีย์ ผู้บริหารอาร์ซีเอลพูดถึงปัญหาว่า "ในช่วงเวลานั้น เกิดความพินาศขึ้น" คอนนี เคิร์ชเบิร์กและมาร์ก เฮนดริกซ์ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า "เอลวิสถูกมองว่าเป็นตัวตลกของคนรักในเสียงดนตรีและเป็นอดีตไปแล้วสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของเขา"[161] กลับมา (1968–73)Elvis: รายการโทรทัศน์พิเศษ ใน ค.ศ. 1968ลิซ่า มารี เพรสลี่ย์ ลูกสาวคนเดียวของเพรสลี่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 ในช่วงเวลาที่เขาไม่ค่อยมีความสุขกับอาชีพของเขา[162] เพลง 8 เพลงที่ปล่อยออกมาในช่วงระหว่างมกราคม ค.ศ.1967 ถึง พฤษภาคม ค.ศ.1968 มีเพียง 2 เพลงที่ติดท็อป 40 และไม่ถึงอันดับที่ 28[163] เพลงในอัลบั้ม Speedway ของเขาอยู่ที่อันดับ 82 ในบิลบอร์ดชาร์ต พาร์กเกอร์ได้เปลี่ยนแผนให้เขาออกรายการโทรทัศน์ หลังจากที่เขาไม่ได้กลับมาในรายการโทรทัศน์เลยหลังจาก Frank Sinatra Timex Special ใน ค.ศ. 1960 เขาได้ทำข้อตกลงกับ NBC ในการผลิตและออกอากาศในช่วงคริสต์มาส[164] มีการบันทึกช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่เบอร์แบงก์ แคลิฟอร์เนีย เรียกชื่ออย่างง่ายๆว่า Elvis ออกอากาศเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ.1968 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น 68 Comeback Special เป็นการแสดงที่โดดเด่นในฉากของสตูดิโอร่วมกับวงดนตรีของเขาและผู้ชมจำนวนไม่มากนัก นับเป็นการแสดงสดครั้งแรกของเขาหลังจาก ค.ศ. 1961 เอลวิสปรากฏตัวด้วยชุดหนังสีดำ ร้องเพลงและเล่นกีตาร์อย่างเผ็ดร้อนเหมือนสมัยแรกๆของเขา บิล บีลิวส์ ผู้ออกแบบชุดนี้ได้ออกแบบให้มันปกสูงเหมือนนโปเลียน (เพรสลีย์ชอบใส่เสื้อปกสูงเพราะคิดว่าคอของเขายาวเกินไป) และกลายเป็นคุณลักษณะสำคัญในการออกแบบชุดของเพรสลีย์ในปีหลังๆ ผู้อำนวยการและผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ สตีฟ บินเดอร์ ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นใจและผลิตการแสดงทำให้ผลงานเสร็จหลายวันก่อนคริสต์มาส[165] ตามที่พาร์คเกอร์ได้วางแผนนไว้ การแสดงนี้มียอดชมสูงสุดในฤดูกาล มีผู้ชมถึง 42% จากยอดผู้ชมทั้งหมด[166] จอน แลนด้าจากนิตยสาร Eye กล่าวว่า "มีมนต์ขลังบางอย่างในการดูชายที่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง หาทางกลับบ้านของเขา เขาร้องเพลงโดยไร้พลังและไม่มีความหวังในความเป็นร็อคแอนด์โรล เขาขยับร่างกายของเขาอย่างขาดความสมดุล และพยายามทำให้จิม มอร์ริสันเกิดความอิจฉา"[167] แต่เดฟ มาร์ชได้เรียกการแสดงนี้ให้เป็นหนึ่งในความยิ่งใหญ่ทางอารมณ์และเสียงในประวัติศาสตร์[168] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1969 เพลง "If I Can Dream" ที่เขียนขึ้นเป็นพิเศษในอัลบั้มและสามารถติดท็อป 10 ได้ ตามที่เพื่อนของเขาเจอรี่ ชิลลิง ได้กล่าวถึงเขาว่า "เขาไม่ได้ทำแบบนี้มานานเป็นปี การที่เขาสามารถทำเพลงที่เหมาะกับเขาและไม่ได้ทำเพียงเพื่อประกอบภาพยนตร์อีก...เขาออกจากคุกแล้ว สหาย"[166] บินเดอร์ได้พูดถึงปฏิกิริยาของเพรสลีย์ว่า "ผมเล่น Elvis the 60-minute show และเขาบอกผมในห้องตรวจทานว่า 'สตีฟ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำในชีวิตของผม ผมขอบอกคุณอย่างนึง ผมไม่เคยร้องเพลงเลย ผมไม่เชื่ออย่างนั้น' "[166] From Elvis In Memphis และการแสดงในโรงแรมอินเตอร์เนชันแนลเพรสลีย์ได้รับเชิญให้บันทึกเสียงที่อเมริกัน ซาวด์ สตูดิโอ ซึ่งต่อมาออกมาเป็นอัลบั้ม "From Elvis In Memphis" จัดจำหน่ายเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1969 เป็นอัลบั้มแรกของเขาในรอบ 8 ปีที่ไม่ใช้อัลบั้มประกอบภาพยนตร์ เดฟ มาร์ช ได้กล่าวถึงอัลบั้มนี้ว่า "เป็นผลงานชิ้นเด่นของเพรสลีย์ที่ทำให้เขากลับมาสู่กระแสได้อีกหลังเสียเวลาอย่างยาวนานกับงานภาพยนตร์ เขาร้องเพลงคันทรี่, เพลงโซลและร็อคด้วยความเชื่อมั่นที่แท้จริง เป็นผลงานที่น่าทึ่งมาก"[169] เพรสลีย์ตั้งใจที่จะกลับมาทำการแสดงสดอีกครั้ง หลังจากความสำเร็จใน Comeback Special, มีข้อเสนอมาจากทั่วโลก London Palladium เสนอพาร์คเกอร์เป็นเงินมูลค่า $28,000 สำหรับการแสดงหนึ่งสัปดาห์[170] ในเดือนพฤษภาคม โรงแรมอินเตอร์เนชันแนลที่เปิดใหม่ในลาส เวกัส ที่มีห้องแสดงโชว์ใหญ่ที่สุดในเมือง ประกาศว่าได้จองตัวเพรสลีย์สำหรับการแสดง 57 รอบตลอด 4 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม มัวร์, ฟอนทานา, และเดอะ จอร์แดนแนร์ส ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเพราะกลัวสูญเสีญรายได้จากงานในแนชวิล เพรสลีย์สร้างวงใหม่นำโดยนักกีต้าร์ เจมส์ เบอร์ตันและสองวงกอสเปล The Imperials และ The Sweet Inspirations[171] อย่างไรก็ตามเขารูสึกประหม่า เขาจดจำความผิดพลาดจากการแสดงที่ลาสเวกัสเมื่อปี 1956 ได้เป็นอย่างดี เพรสลีย์เข้าเยี่ยมชมห้องแสดงโชว์และห้องรับรองในลาสเวกัส ณ ที่นั้นเขาได้พบกับทอม โจนส์ ผู้มีสไตล์คล้ายคลึงกับเขาในยุค 50 ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน และเรียนคาราเต้ร่วมกัน เพรสลีย์ในจ้างให้บิล เบลิว เพื่อออกแบบชุดจั๊มสูทซึ่งจะเป็นชุดสำหรับการแสดงของเขา ในปีต่อมา พาร์คเกอร์ตั้งใจจะให้เพรสลีย์กลับมาสู่งานแสดงบนเวทีอย่างต่อเนื่อง มีการโปรโมตอย่างขันแข็ง เจ้าของโรงแรม Kirk Kerkorian จัดส่งเครื่องบินของเขาเองไปนิวยอร์กเพื่อทำข่าวการกลับมาแสดงสดของเพรสลีย์[172] เพรสลีย์แสดงบนเวทีโดยไม่มีการแนะนำตัว ผู้ชมมากกว่า 2,200 คนซึ่งรวมไปถึงดาราดังพากันปรบมือหลังจากเขาร้องเพลง "Can't Help Falling in Love" (ซึ่งต่อมากลายเป็นเพลงปิดการแสดงของเขาในยุค 70's)[173] ในการแถลงข่าวหลังการแสดง เมื่อนักข่าวเรียกเขาว่า "เดอะ คิง" เขาชี้ไปที่แฟตส์ โดมิโน และพูดว่า "ไม่ครับ, เขาต่างหากคิงออฟร็อคแอนด์โรล"[174] วันต่อมา พาร์คเกอร์ทำข้อตกลงว่าจ้างเพรสลีย์สำหรับการแสดงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคม เป็นเวลา 5 ปี มูลค่าถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี[175] นิวส์วีคกล่าวว่า "มีหลายสิ่งที่ไม่น่าเชื่อสำหรับเอลวิส แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดคืออำนาจของเขาในอาชีพมันเปรียบเสมือนดาวจรัสแสง"[176] โรลลิงสโตนเรียกเพรสลีย์ว่า "การคืนชีพในวงการที่เหนือธรรมชาติ"[177] ในเดือนพฤศจิกายน ภาพยนตร์ที่เพรสลีย์แสดงเรื่องสุดท้ายในชื่อ "Change of Habit" เข้าฉาย อัลบั้ม "From Memphis To Vegas/From Vegas" ออกจำหน่ายในเดือนเดียวกัน ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่บันทึกเสียงจากการแสดงสดของเขาในโรงแรมอินเตอร์เนชันแนล ซิงเกิลจากงานบันทึกเสียงที่อเมริกัน ซาวด์ สตูดิโอ "Suspicious Minds" ขึ้นสู่อันดับ 1 ในบิลบอร์ดฮอต 100 ในรอบ 7 ปีและเป็นซิงเกิลสุดท้ายของเขาที่ขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตนี้[178] คาสซานดรา ปีเตอร์สัน ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าของรายการ Elvira พบกับเพรสลีย์ในช่วงนี้ ขณะที่เธอกำลังทำงานเป็นนักแสดงสาวที่ลาส เวกัส พูดถึงเพรสลีย์ว่า "เขาเป็นคนต่อต้านยาเสพติด เมื่อฉันพบเขาและบอกเขาว่าฉันสูบกัญชา เขาเตือนเธอว่า "อย่าสูบมันอีก" "[179] เพรสลีย์ไม่เพียงแค่ต่อต้านสารเสพติด เขาเป็นคนไม่ชอบดื่มสุรา ครอบครัวของเขาเคยมีปัญหาการติดสุรามาก่อนทำให้เขาตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยง[180] กลับสู่ทัวร์ และ พบกับนิกสันในปี พ.ศ. 2512 เอลวิสได้รับเชิญให้ไปเปิดการแสดง ที่โรงแรมอินเตอร์เนชันแนล ในลาสเวกัสที่เพิ่งสร้างเสร็จ และมีห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง โดยเขาได้เปิดการแสดงถึง 57 รอบ ภายในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และการแสดงในครั้งนี้ ก็มีผู้เข้าชมมากเป็นประวัติการณ์ หลังจากนั้น เขาก็ได้เปิดการแสดงในที่ต่างๆ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากทุกครั้ง หย่าร้าง และ Aloha from Hawaii
สุขภาพเสื่อมโทรมและวาระสุดท้าย (1973–77)วิกฤตสุขภาพและงานสตูดิโอครั้งสุดท้ายในช่วงปี พ.ศ. 2516 เอลวิสประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ เคยถูกนำส่งโรงพยาบาล ด้วยโรคปอดบวม โรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ นอกจากต้องต่อสู้กับโรค ที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เขายังต่อสู้กับน้ำหนักตัว ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระนั้นเขาก็ยังตระเวนเปิดการแสดง ตามคำเรียกร้องของแฟนเพลง ตามเมืองต่างๆ อยู่เสมอ ปีสุดท้ายและเสียชีวิตวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2520 เวลาหลังเที่ยงคืน หลังจากที่เอลวิสไปพบทันตแพทย์ในช่วงเช้า แฟนสาวของเขาก็พบเอลวิสนอนหมดสติอยู่ภายในห้องน้ำ ซึ่งเป็นการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ที่คฤหาสน์เกรสแลนด์ของเขาเอง ด้วยวัยเพียง 42 ปี และข่าวนี้ก็สร้างความตกตะลึงและเสียใจอย่างยิ่งแก่แฟนเพลงทั่วโลก ชีวิตส่วนตัวสำหรับชีวิตครอบครัวนั้น เอลวิสได้แต่งงานกับพริสซิล่า เมื่อ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1973 และมีลูกสาวด้วยกัน 1 คนคือ ลิซ่า มารี เพรสลี่ย์ แต่ต่อมาทั้งคู่ก็ได้หย่าขาดจากกันในปี ค.ศ. 1973 และต่อมาเอลวิสพบรักใหม่กับลินดา ทอมสัน และใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันจนกระทั่งปลายปี ค.ศ. 1976 ผลงานเพลงอัลบั้มอันดับหนึ่ง
ซิงเกิลอันดับหนึ่ง
เชิงอรรถ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เอลวิส เพรสลีย์
|