คนพื้นเมืองหนึ่งในนิยามของ คนพื้นเมือง ชนเผ่าพื้นเมือง หรือ ชาวพื้นเมือง (อังกฤษ: indigenous peoples หรือ aboriginal peoples) ให้ความหมายของคำนี้ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ มีกำเนิดในท้องถิ่นนั้น มีวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา เป็นของตนเอง มีเอกตลักษณ์การแต่งกายที่เป็นของตนเอง อย่างไรก็ดีไม่มีนิยามที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป[1] ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ คำนี้มักใช้กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับแผ่นดินก่อนการล่าอาณานิคมหรือการก่อตั้งรัฐชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวคงไว้ซึ่งความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการเมืองจากวัฒนธรรมและการเมืองกระแสหลักในรัฐชาติที่กลุ่มชาติพันธ์นั้นดำรงอยู่[2] ความหมายทางการเมืองของคำนี้หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่ง่ายต่อการถูกเอาเปรียบและกดขี่โดยรัฐชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดสิทธิพิเศษทางการเมืองให้กับชนพื้นเมืองโดยองค์การนานาชาติ อาทิเช่น สหประชาชาติ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และธนาคารโลก[3] สหประชาชาติได้ประกาศ Declaration on the Rights of Indigenous Peoples เพื่อปกป้องสิทธิในวัฒนธรรม อัตลักษณ์ ภาษา การจ้างงาน สุขภาพ การศึกษา และทรัพยากรธรรมชาติ ของชนพื้นเมือง ด้วยนิยามที่ต่างกันไป มีประมาณการณ์ว่าชนพื้นเมืองในโลกนี้มีอยู่ราว 220 ล้านคนใน ค.ศ. 1997[4]ถึง 350 ล้านคน ใน ค.ศ. 2004[2] สิทธิ ปัญหา และความกังวลชนพื้นเมืองประสบปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับสถานะและการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มวัฒนธรรมอื่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ปัญหาบางอย่างก็เป็นปัญหาจำเพาะกลุ่ม บางปัญหาก็พบได้ทั่วไป Bartholomew Dean และ Jerome Levi (2003) ศึกษาหาสาเหตุว่าทำไมสภาพความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองในหลายส่วนของโลกพัฒนาขึ้น ในขณะที่อีกหลายส่วนยังตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่และถูกกดขี่[5] ปัญหาเหล่านี้ได้แก่ การอนุรักษ์วัฒนธรรมและภาษา สิทธิในที่ดิน สิทธิในทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิทางการเมืองและการปกครองตนเอง การเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม ความยากจน สาธารณสุข และการเลือกปฏิบัติ ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมชนพื้นเมืองและโลกภายนอกมีความซับซ้อนยิ่ง มีตั้งแต่ความยัดแย้งและการกดขี่อย่างเต็มรูปแบบ จนถึงการอยู่ร่วมกันและการถ่ายเทวัฒนธรรมอันก่อเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย ในทางมานุษยวิทยาเรียกการที่สองวัฒนธรรมมาพบกันเป็นครั้งแรกว่า first contact ปัญหาที่พบได้โดยทั่วไปในกลุ่มชนพื้นเมือง โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการเลือปฏิบัติและแรงกดดันให้ควบรวมกับสังคมส่วนใหญ่ มีข้อยกเว้นเพียงแต่ชนพื้นเมืองบางกลุ่มในรัสเซียและแคนาดาที่ได้รับสิทธิปกครองตนเอง (Sakha, Komi peoples และ Inuit) ในบางประเทศรัฐบาลก็แสดงความแข็งกร้าวและกดขี่ชนพื้นเมืองอย่างเด่นชัด เมื่อ ค.ศ. 2002 รัฐบาล บอตสวานา ขับไล่ชาว Kalahari จากแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเขาอาศัยมาอย่างน้อยสองหมื่นปี[6] ประธานาธิบดี Festus Mogai เรียกคนเหล่านี้ว่า "สัตว์ยุคหิน"[7] และรัฐมนตรี Margaret Nasha เปรียบเปรยการวิพากษ์ของสาธารณชนในกรณีนี้ว่าก็คล้ายกับการวิพากษ์การฆ่าช้าง[8] ต่อมา ใน ค.ศ. 2006 จึงมีคำพิพากษาของศาลสูงว่าชนพื้นเมืองนี้มีสิทธิ์คืนสู่ที่ดินในบริเวณ Central Kalahari Game Reserve.[9][10] เมื่อ ค.ศ. 2011 รัฐบาลบังกลาเทศประกาศว่า "ไม่มีชนพื้นเมืองในบังกลาเทศ"[11] สร้างความโกรธแค้นให้กับชนพื้นเมืองหลายกลุ่ม[12] และถูกมองว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลในการทำลายสิทธิ์ของชนพื้นเมืองซึ่งมีอยู่เพียงจำกัด[13] ผู้เชี่ยวชาญได้ประท้วงคำประกาศดังกล่าวและตั้งคำถามต่อนิยามของ "ชนพื้นเมือง" ที่รัฐบาลบังกลาเทศใช้[14][15] ปัญหาสุขภาพองค์การอนามัยโลกพบว่าสถิติทางสุขภาพของชนพื้นเมืองมีค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย และยุโรปตะวันออก แต่ข้อมูลเบื้องต้นจากหลายประเทศที่มีการจัดเก็บข้อมูลต่างชี้ชัดว่าชนพื้นเมืองมีปัญหาสุขภาพมากกว่าประชากรทั่วไป ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา อาทิเช่น ชนพื้นเมืองเป็นโรคเบาหวานมากกว่าประชากรทั่วไปในออสเตรเลีย[16] มาตรฐานทางสาธารณสุขที่ย่ำแย่และการขาดน้ำสะอาดของชนพื้นเมืองในรวันดา[17] การเกิดของเด็กที่ไร้การดูแลของผู้ปกครองในเวียดนาม[18] อัตราการฆ่าตัวตายของเยาวชนชาวอินุอิตในแคนาดาสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงสิบเอ็ดเท่า[19] และอัตราการตายของทารกแรกเกิดของชนพื้นเมืองสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั่วไปในทุกแห่ง[20] วันสากลของชนพื้นเมืองโลกวันสากลของชนพื้นเมืองโลกตรงกับวันที่ 9 สิงหาคม อันเป็นวันที่มีการประชุมของ United Nations Working Group of Indigenous Populations เป็นครั้งแรก สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติลงมติเมื่อ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1994 ให้วันที่ 9 สิงหาคมเป็นวันสากลของชนพื้นเมืองโลก (resolution 49/214) เป็นเวลาสิบปี ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2004 สมัชชาฯ มีมติให้ยืดเวลาของการฉลองวันสากลนี้ไปอีกทศวรรษหนึ่ง (ค.ศ. 2005–2014) (resolution 59/174).[21] อ้างอิง
|