ความถูกต้องทางการเมืองความถูกต้องทางการเมือง (อังกฤษ: political correctness หรือใช้อักษรย่อว่า “PC”) คือคำที่ใช้สำหรับภาษา, ความคิดเห็น, นโยบาย และ พฤติกรรมที่เป็นการหลีกเลี่ยงการดูหมิ่นหรือการสร้างความรู้สึกขุ่นเคืองแก่เพศ, ผิว, วัฒนธรรม, เพศภาพ (Gender identity), วิถีทางเพศ (Sexual orientation), ผู้พิการ และ สิ่งที่เกี่ยวกับผู้มีอายุขัยรวมไปถึงรสนิยม การใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะใช้ไปในเชิงเสียดสี (pejorative) ที่สื่อความคิดของ “การยอมรับ” และ “การไม่ยอมรับ”[1][2] ขณะที่คำว่า “ความไม่ถูกต้องทางการเมือง” (อังกฤษ: politically incorrect) เป็นคำที่ใช้สำหรับการบรรยายตนเองในทางบวก ตัวอย่างเช่น “คู่มือความไม่ถูกต้องทางการเมือง” ของฝ่ายอนุรักษนิยม[3] และรายการโทรทัศน์ “ความไม่ถูกต้องทางการเมือง” ฉะนั้นความไม่ถูกต้องทางการเมืองจึงหมายถึงการใช้ภาษา, การออกความคิดเห็น, การออกนโยบาย และ พฤติกรรมทีไม่ถูกจำกัดอยูในกรอบของความเป็นอนุรักษนิยม และกรอบของความกังวลที่ว่าสิ่งที่พูดที่กระทำจะสร้างความรู้สึกขุ่นเคืองหรือความหมางใจให้แก่ผู้อื่น ประวัติการใช้ในสมัยแรกการใช้ในสหรัฐอเมริกาหลักฐานแรกของวลี “ไม่ถูกต้องทางการเมือง” (อังกฤษ: not politically correct) พบในคำตัดสินในกรณี “คดีชิสซอล์ม และ จอร์เจีย” โดยศาลยุติธรรมสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา (ค.ศ. 1793) ที่กล่าวว่าประโยคของคำตัดสินไม่ถูกต้องตามตัวอักษร ที่เข้าใจกันในสหรัฐในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ว่า “รัฐ, แทนที่จะเป็นประชาชน, ผู้ที่เป็นผู้ก่อให้รัฐเกิดขึ้นได้, มักจะเป็นเป้าที่ดึงดูด และ เรียกความสนใจ. . . .ความรู้สึกเช่นนั้นและการแสดงออกของความไม่ถูกต้องยังคงตกค้างอยู่ในภาษาโดยทั่วไป แม้ในโอกาสอันรื่นรมณ์ เช่นการดื่มอวยพรเป็นการถามหรือ? [แด่] ‘สหรัฐอเมริกา’, แทนที่จะเป็น [แด่] ‘ประชาชนแห่งสหรัฐอเมริกา’ จะเป็นการอวยพรที่เป็นคำตอบ ซึ่งเป็นความไม่ถูกต้องทางการเมือง”[4] การใช้ในสหราชอาณาจักรระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอาร์โนลด์ เบ็นเนทท์แห่งกระทรวงข้อมูลแห่งสหราชอาณาจักรใช้คำว่า “ถูกต้องทางการเมือง” (อังกฤษ: politically correct) ในการกล่าวถึง “ความเหมาะสม”[5] การใช้โดยลัทธิมาร์กซ–ลัทธิเลนินในศัพท์ของลัทธิมาร์กซ–ลัทธิเลนิน และ ลัทธิทรอทสกี คำว่า “ถูกต้อง” (อังกฤษ: correct) เป็นคำที่ใช้โดยทั่วไปที่หมายถึง “ความเหมาะสมตามนโยบายของพรรค” และ ตรงตามปรัชญาของพรรค[6] ซึ่งก็ตรงกับการประกาศของเหมา เจ๋อตงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับความ “ถูกต้อง” ในการดำเนินการเกี่ยวกับ “ข้อขัดแย้งที่มิได้สร้างความเป็นปรปักษ์” (อังกฤษ: non-antagonistic contradictions)[1][7][8][9] ศาสตราจารย์ของวิชาวรรณกรรมรูธ เพอร์รีแห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์สืบคำกล่าวของเหมา เจ๋อตงไปถึง “Little Red Book” (ค.ศ. 1964)[ต้องการอ้างอิง] การใช้โดยฝ่ายซ้ายในคริสต์ทศวรรษ 1960 ฝ่ายซ้ายจัดเริ่มนำวลีนี้มาใช้ โดยเริ่มการใช้ตามความหมายตามตัวอักษร แต่ต่อมาใช้ในเชิงประชดประชันในการวิจารณ์ตนเองเกี่ยวกับการยึดมั่นในทัศนคติทางหลักการอย่างฝังหัว (dogmatic attitudes) เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1970 ผู้สนับสนุนฝ่ายซ้ายใหม่ก็เริ่มใช้คำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” (อังกฤษ: political correctness)[1] ในบทความ “สตรีผิวดำ” โดยนักประพันธ์และนักต่อสู้เพื่อสังคมโทนี คาเด บามบารากล่าวว่า: “ผู้ชายไม่สามารถที่จะเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมที่ “ถูกต้องทางการเมือง” และเป็นชายหลงตัวหลงอำนาจ (Male chauvinism) ไปด้วยในขณะเดียวกัน” ต่อมาฝ่ายซ้ายใหม่ก็ใช้วลี “ความถูกต้องทางการเมือง” ในการวิจารณ์ตนเองเชิงเสียดสี เช่นในกรณีของเดบรา ชุลทซ์ผู้กล่าวว่า: “ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 ฝ่ายซ้ายใหม่, ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี และผู้มีหัวก้าวหน้า. . .ใช้คำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” ในเชิงเหยียดในการป้องกันแนวคิดเชิงอนุรักษนิยมของตนเองต่อความพยายามในการเปลี่ยนแปลงสังคม”[1][2][10] นอกจากนั้นนักเขียนเอลเลน วิลลิสก็ยังกล่าวว่า: “ . . . เมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีใช้คำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” ในการกล่าวอย่างเสียดสีถึงความพยายามของขบวนการต่อต้านการอนาจาร (Anti-pornography movement) ในการให้ความหมายของคำว่า “เพศสภาพของสตรี” (feminist sexuality)[11] การใช้ในปัจจุบันการใช้วลี “ความถูกต้องทางการเมือง” และวลีที่คล้ายคลึงกันอย่างกว้างขวางเริ่มขึ้นเมื่อเริ่มใช้ในเชิงเหยียดโดยนักการเมืองฝ่ายขวาในคริสต์ทศวรรษ 1990 ในบริบทของสงครามวัฒนธรรม ริชาร์ด เบิร์นสไตน์ในเดอะนิวยอร์กไทมส์ในปี ค.ศ. 1990[12] ตั้งข้อสังเกตว่า “คำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” ในเชิงอนุรักษนิยมของลัทธิสตาลินมักจะใช้ในเชิงเหน็บแนมและไม่เห็นด้วยมากกว่าที่จะเป็นเชิงชื่นชม แต่โดยทั่วไปแล้วคำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” จะได้ยินกันบ่อยขึ้นในบริบทของการโต้เถียงกันว่าสิ่งใดควรสอนหรือสิ่งใดไม่ควรสอนในมหาวิทยาลัย” เบิร์นสไตน์กล่าวถึงการประชุมของ Western Humanities Conference ที่เบิร์คลีย์ในหัวเรื่อง “ความถูกต้องทางการเมือง” และ “วัฒนธรรมศึกษา” ที่วิจัย “ผลที่เกิดขึ้นจากความกดดันในการพยายามที่จะทำตามความนิยมร่วมสมัยที่เป็นที่ยอมรับต่อทุนการเรียน” และกล่าวถึง “ผู้ปฏิบัติตามความถูกต้องทางการเมือง” (อังกฤษ: politically correct people หรือ pcp) แต่เป็นคำที่ไม่ได้รับความนิยมจนเป็นที่ใช้โดยทั่วไป ภายในสองสามปีวลีที่เดิมไม่ไคร่เป็นที่รู้จักกันเท่าใดนักก็เริ่มนำมาใช้กันอย่างสม่ำเสมอในความหมายในการท้าทายความอนุรักษนิยมทางการเมืองและสังคมในการต่อต้านการขยายตัวของวิธีการสอนแบบก้าวหน้า (progressive teaching method) ในโรงเรียนมัธยมในสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัย[13] ในปี ค.ศ. 1991 ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชกล่าวปาฐกถาต่อนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนต่อต้าน “ . . . ขบวนการ[ที่จะ]ประกาศว่าหัวเรื่องบางเรื่องเป็นหัวเรื่องที่อยู่ ‘นอกข่าย’ (off-limits), หรือคำพูดบางคำว่าอยู่ ‘นอกข่าย’, หรือแม้แต่ท่าทางบางอย่างว่าเป็นสิ่ง ‘นอกข่าย’” ที่เป็นนัยยะถึงผู้ปฏิบัติตามความถูกต้องทางการเมืองผู้เป็นเสรีนิยม[14] การใช้วลีที่ทำกันเสมอที่สุดคือการใช้ในเชิงเหยียดว่าเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงความกระทบกระเทือนต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดกันอย่างพร่ำเพรื่อ เหนือวิจารณญาณอื่นใด การใช้วลีนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องชาติพันธุ์และเพศ ที่รวมทั้งภาษาที่ใช้และทัศนคติที่มีต่อหัวข้อที่กล่าวถึง ผู้สนับสนุนทัศนคติที่ว่าชนผิดดำโดยทั่วไปมีสติปัญญาด้อยกว่าชนผิวขาว หรือ สตรีมีสติปัญญาด้อยกว่าชายกล่าวว่าการวิจารณ์ทัศนคติดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความถูกต้องทางการเมือง[15] ตัวอย่างของภาษาที่ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นภาษาที่ “ถูกต้องทางการเมือง” ก็ได้แก่:[16]
โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะนโยบายใดหรือข้ออ้างใดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายขวาเช่นการอ้างว่าปรากฏการณ์โลกร้อนเป็นปัญหาวิกฤติที่ต้องมีการออกนโยบายตอบโต้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นพฤติกรรมที่มีแรงบันดาลใจมาจาก “ความถูกต้องทางการเมือง”[16] ความเกินเลยของความถูกต้องทางการเมืองในสหราชอาณาจักร “ความเกินเลยของความถูกต้องทางการเมือง” เป็นสำนวนติดปากที่ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยหนังสือพิมพ์อนุรักษนิยมเดลลีเมล การตีความหมายตามตัวอักษรก็อาจจะหมายความว่าสำนวนติดปากที่ใช้เพื่อ “ความถูกต้องทางการเมือง” ทำกันอย่างพร่ำเพรื่อเกินเลยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ตามความเป็นจริงแล้ววลีนี้เป็นวลีที่ส่วนใหญ่จะใช้ในเชิงเหยียด และสำนวนติดปากที่ใช้ก็จะเกี่ยวกับเรื่องราว (ที่ส่วนใหญ่เป็นเกร็ดเรื่อง) ที่เป็นตัวอย่างของการใช้ “ความถูกต้องทางการเมือง” อย่างเกินกว่าเหตุ[3] การใช้โดยสากลการใช้ “ความถูกต้องทางการเมือง” เป็นที่นิยมกันในสแกนดิเนเวีย (“politiskt korrekt” ย่อว่า “PK”), ในโปรตุเกส, สเปน และ ลาตินอเมริกา (สเปน: políticamente correcto, โปรตุเกส: politicamente correcto), ฝรั่งเศส (politiquement correct), เยอรมนี (politisch korrekt), โปแลนด์ (poprawność polityczna), สโลวีเนีย (politično korekten), เนเธอร์แลนด์ และ ฟลานเดอร์ส (politiek correct), อิตาลี (politicamente corretto), รัสเซีย (политкорректность) และ นิวซีแลนด์,[17] คำอธิบายในบริบทของวัฒนธรรมลัทธิมาร์กซผู้วิจารณ์อนุรักษนิยมฝ่ายขวา และ ฝ่ายอิสรเสรีนิยมอ้างว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” เป็นปรัชญาลัทธิมาร์กซที่กัดกร่องคุณค่าของวัฒนธรรมตะวันตก[18] ปีเตอร์ ฮิทเคนส์เขียนใน “การยุบเลิกบริเตน” (อังกฤษ: The Abolition of Britain) ว่า: “วลีที่ชาวอเมริกันใช้กันตามสบาย. . .“ความถูกต้องทางการเมือง” คือระบบความคิดที่แคบที่มามีอิทธิพลเป็นอันมากที่สุดในเกาะอังกฤษตั้งแต่ การปฏิรูปศาสนา” วิลเลียม เอส. ลินด์ และ แพ็ททริค บุคานันบรรยาย “ความถูกต้องทางการเมือง” ว่าเป็นเท็คนิคที่เริ่มขึ้นโดยตระกูลความคิดฟรังเฟิร์ตที่มีวัตถุประสงค์ในการบ่อนทำลายคุณค่าของวัฒนธรรมตะวันตกโดยการมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมโดยวัฒนธรรมมลัทธิมาร์กซ.[19][20] แพ็ททริค บุคานันกล่าวในหนังสือ “การสิ้นสุดของโลกตะวันตก” (อังกฤษ: The Death of the West) ว่า: “ความถูกต้องทางการเมืองคือวัฒนธรรมมลัทธิมาร์กซ ของสถาบันการปกครองที่ลงโทษผู้ทรยศต่อหลักการและประทับตราผู้ไม่เห็นด้วยว่าเป็นผู้นอกระบบสังคม เช่นเดียวกับการลงโทษผู้นอกศาสนาคริสต์โดยผู้ไต่สวนศรัทธา สิ่งที่เด่นของความคิดที่ว่านี้คือการไม่ยอมรับความคิดนอกระบบ”[21] ในบริบทของภาษาศาสตร์ในการพยายามเลือกคำที่ใช้ให้ “ถูกต้องทางการเมือง” เอ็ดนา แอนดรูว์ส์กล่าวว่าการใช้ภาษาที่เป็น “คำรวม” (inclusive) และ “คำกลาง” (neutral) มีรากฐานมาจากปรัชญาที่ว่า “ภาษาคือสิ่งที่แทนความคิด และอาจจะถึงกับควบคุมความคิด”[22] ข้ออ้างนี้มาจากสมมุติฐานซาเพียร์–วอร์ฟ (Sapir–Whorf hypothesis) ที่กล่าวว่ากลุ่มไวยากรณ์ของภาษามีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม แต่แอนดรูว์ส์กล่าวว่าความเข้าใจเพียงเล็กน้อยของความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและความคิดก็เพียงพอที่จะสนับสนุน “การกำจัดระดับอย่างมีเหตุผล. . . [ของ]ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมโดยการเปลี่ยนแปลงทางภาษาศาสตร์”[23] งานทางด้านจิตวิทยาเชิงการรู้ (cognitive psychology) และ ภาษาศาสตร์เชิงการรู้ (cognitive linguistics) ชี้ให้เห็นว่าการเลือกคำมีอิทธิพลต่อการสร้างรูปแบบของสัญชาน, ความทรงจำ และทัศนคติของทั้งผู้พูดและผู้ฟัง[24][25] ฉะนั้นคำถามจึงอยู่ที่ว่าภาษาที่ไม่มีเพศจะสามารถสร้างความลำเอียงทางต่อทัศนคติเกี่ยวกับเพศ (sexism) ได้หรือไม่--ทัศนคติหรือพฤติกรรมทางลบ ผู้สนับสนุนภาษาเอกเพศ (Gender-neutral language) โต้ว่าการใช้ภาษาดังว่าเป็นการใช้ภาษาที่ไม่สร้างอันตรายจากเหตุผลหลายประการ:
ผู้วิจารณ์ความคิดดังว่านี้และภาษาเอกเพศโดยทั่วไปก็มักจะใช้คำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง”[4]. ข้อติที่พบโดยทั่วไปเกิดขึ้นเมื่องคำที่เลือกใช้โดยกลุ่มว่าเป็นคำที่เหมาะแก่กลุ่ม และกลายมาเป็นคำที่ใช้กันโดยทั่วไปรวมทั้งการใช้โดยผู้เหยียดผิวเหยียดเพศ ฉะนั้นคำใหม่จึงกลายเป็นคำที่หมดความหมาย ซึ่งทำให้ต้องคิดหาคำใหม่ขึ้นมาแทนที่ เช่นในกรณีของการวิวัฒนาการจากคำว่า “นีโกร” มาเป็น “คนผิวสี” มาเป็น “คนดำ” มาเป็น “แอฟริกันอเมริกัน” ในบริบทของการเมืองนักวิจารณ์การเมืองฝ่ายซ้ายอ้างว่าหลังจาก ค.ศ. 1980 นักอนุรักษนิยมอเมริกันฝ่ายขวานิยามคำว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” ขึ้นมาใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของการเมืองอเมริกันในรูปของสงครามวัฒนธรรม ฮัททันรายงานว่า:
นอกจากนั้นแล้วนักวิจารณ์การเมืองยังอ้างว่าอันที่จริงแล้วสหรัฐไม่เคยมี “ขบวนการเพื่อความถูกต้องทางการเมือง และกล่าวว่าผู้ใช้วลีนี้ทำเพื่อหันเหความสนใจจากประเด็นสำคัญในการถกเถียงในเรื่องที่เกี่ยวกับการเหยียดผิว, ชั้นวรรณะ และเพศ และการปฏิบัติทางกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน”[27] ในทำนองเดียวกันพอลลี ทอยน์บีโต้ว่า “วลีดังกล่าวเป็นวลีของฝ่ายขวาที่ปราศจากความหมายที่ใช้เพื่อป้ายสีผู้อื่น เพื่อทำให้ภาพพจน์ของตนเองดีขึ้น”[28] ทอยน์บีกล่าวว่า:
อ้างอิง
ดูเพิ่มดูเพิ่มสนับสนุน
คัดค้าน
|