Share to:

 

สหราชอาณาจักร

สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland (อังกฤษ)[]
ที่ตั้งของ สหราชอาณาจักร  (เขียวเข้ม)

ในทวีปยุโรป  (เทาเข้ม)

เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
กรุงลอนดอน
51°30′N 0°7′W / 51.500°N 0.117°W / 51.500; -0.117
ภาษาราชการ
และภาษาประจำชาติ
อังกฤษ (โดยพฤตินัย)
ภาษาระดับภูมิภาคและภาษาชนกลุ่มน้อย[1]
กลุ่มชาติพันธุ์
(ค.ศ. 2011)
ศาสนา
(ค.ศ. 2011)
การปกครองรัฐเดี่ยว ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3
เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์
สภานิติบัญญัติรัฐสภา
สภาขุนนาง
สภาสามัญชน
การก่อตั้ง
ค.ศ. 1535 และ 1542
24 มีนาคม ค.ศ. 1603
1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707
1 มกราคม ค.ศ. 1801
5 ธันวาคม ค.ศ. 1922
พื้นที่
• รวม
242,495 ตารางกิโลเมตร (93,628 ตารางไมล์)[2] (อันดับที่ 78)
1.51 (ค.ศ. 2015)[3]
ประชากร
• ประมาณ
เพิ่มขึ้นเป็นกลาง 68,138,484[4]
270.7 ต่อตารางกิโลเมตร (701.1 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 50)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2023 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 3.847 ล้านล้านดอลลาร์[5] (อันดับที่ 10)
เพิ่มขึ้น 56,471 ดอลลาร์[5] (อันดับที่ 29)
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2023 (ประมาณ)
• รวม
ลดลง 3.159 ล้านล้านดอลลาร์[5] (อันดับที่ 6)
ลดลง 46,371 ดอลลาร์[5] (อันดับที่ 22)
จีนี (ค.ศ. 2019)Negative increase 36.6[6]
ปานกลาง · อันดับที่ 33
เอชดีไอ (ค.ศ. 2021)ลดลง 0.929[7]
สูงมาก · อันดับที่ 18
สกุลเงินปอนด์สเตอร์ลิง (GBP)
เขตเวลาUTC (เวลามาตรฐานกรีนิช, เวลายุโรปตะวันตก)
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+1 (เวลาออมแสงบริติช, เวลาออมแสงยุโรปตะวันตก)
รูปแบบวันที่วว/ดด/ปปปป
ปปปป-ดด-วว (คริสต์ศักราช)
ขับรถด้านซ้ายมือ[]
รหัสโทรศัพท์+44[]
รหัส ISO 3166GB
โดเมนบนสุด.uk[]

สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ[8] (อังกฤษ: United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) หรือโดยทั่วไปรู้จักกันว่า สหราชอาณาจักร (United Kingdom: UK) และ บริเตน (Britain)[9] เป็นรัฐเอกราชในยุโรป ตั้งอยู่นอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปภาคพื้นทวีป[10][11] ประกอบด้วยประเทศองค์ประกอบ 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ[12] โดยครอบคลุมเกาะบริเตนใหญ่ ส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไอร์แลนด์ และเกาะเล็ก ๆ จำนวนมากในบริติชไอลส์[13] ไอร์แลนด์เหนือเป็นเพียงส่วนเดียวของสหราชอาณาจักรที่มีพรมแดนทางบกติดต่อกับรัฐอื่น คือ ประเทศไอร์แลนด์ นอกเหนือจากนี้แล้ว สหราชอาณาจักรล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติก ทะเลเหนือ ช่องแคบอังกฤษ ทะเลเคลติก และทะเลไอริช สหราชอาณาจักรมีเนื้อที่ทั้งหมด 243,610 ตารางกิโลเมตร (94,060 ตารางไมล์) และมีจำนวนประชากรประมาณการใน ค.ศ. 2022 มากกว่า 67 ล้านคน[14]

รูปแบบการปกครองของสหราชอาณาจักรเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยระบบรัฐสภา[15][16] เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือลอนดอนซึ่งเป็นนครระดับโลกและศูนย์กลางการเงินที่มีประชากรในเขตมหานครมากกว่า 14 ล้านคน เมืองใหญ่อื่น ๆ ได้แก่ เบอร์มิงแฮม แมนเชสเตอร์ กลาสโกว์ ลิเวอร์พูล และลีดส์[17] สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือมีรัฐบาลที่ได้รับการถ่ายโอนอำนาจบริหารเป็นของตนเอง โดยแต่ละแห่งมีอำนาจแตกต่างกันไป[18][19]

สหราชอาณาจักรมีวิวัฒนาการมาจากการผนวก การรวม และการแบ่งแยกประเทศองค์ประกอบหลายครั้งในช่วงเวลาหลายร้อยปี สนธิสัญญาสหภาพระหว่างราชอาณาจักรอังกฤษ (ซึ่งรวมถึงเวลส์ที่ถูกผนวกใน ค.ศ. 1542) กับราชอาณาจักรสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 1707 ก่อให้เกิดราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ การรวมเป็นสหภาพกับราชอาณาจักรไอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1801 ก่อให้เกิดสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ทำให้เกิดสหราชอาณาจักรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ของไอร์แลนด์แยกตัวออกจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1922 จึงเหลือเพียงสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือซึ่งใช้ชื่อดังกล่าวอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1927

ไอล์ออฟแมน เกิร์นซีย์ และเจอร์ซีย์ที่อยู่ใกล้เคียงมิใช่ส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร แต่เป็นคราวน์ดีเพนเดนซีซึ่งรัฐบาลสหราชอาณาจักรมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการป้องกันดินแดนและการต่างประเทศ[20] สหราชอาณาจักรมีดินแดนโพ้นทะเล 14 ดินแดน[21] นับเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของจักรวรรดิบริติชซึ่งในขณะที่รุ่งเรืองที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 1920 นั้นครอบคลุมเกือบหนึ่งในสี่ของมวลแผ่นดินโลกและหนึ่งในสามของประชากรโลก และเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อิทธิพลของสหราชอาณาจักรยังสามารถพบเห็นได้จากความแพร่หลายของภาษา วัฒนธรรม และระบบกฎหมายและการเมืองในอดีตอาณานิคมหลายแห่ง[22][23]

สหราชอาณาจักรมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลกเมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ณ ราคาตลาด และใหญ่เป็นอันดับที่ 9 เมื่อพิจารณาจากภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ (พีพีพี) สหราชอาณาจักรมีเศรษฐกิจที่มีรายได้สูงและมีค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์ในระดับสูงมาก โดยอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก นอกจากนี้ยังทำผลงานได้ดีในการจัดอันดับระหว่างประเทศในด้านการศึกษา, บริการสุขภาพ, การคาดหมายคงชีพ และการพัฒนามนุษย์[24][25] สหราชอาณาจักรกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมประเทศแรกของโลกและเป็นมหาอำนาจสูงสุดของโลกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20[26][27] ในปัจจุบันสหราชอาณาจักรยังคงมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การทหาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเมืองในระดับสากลอยู่มาก[28][29] สหราชอาณาจักรได้รับรองว่าเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีรายจ่ายทางการทหารมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก[30]

สหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตั้งแต่สมัยประชุมแรกใน ค.ศ. 1946 นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ, สภายุโรป, กลุ่ม 7, กลุ่ม 10, กลุ่ม 20, องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (เนโท), ออคัส, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี), องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ตำรวจสากล) และองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) สหราชอาณาจักรเป็นรัฐสมาชิกของประชาคมยุโรป (อีซี) และองค์การสืบทอดคือสหภาพยุโรป (อียู) ตั้งแต่การเข้าร่วมใน ค.ศ. 1973 จนถึงการถอนตัวใน ค.ศ. 2020 หลังการลงประชามติใน ค.ศ. 2016

ภูมิศาสตร์

แผนที่สหราชอาณาจักรแสดงเขตเมืองและพื้นที่ใกล้เคียง
แผนที่ของสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นพื้นที่ที่เป็นเนินเขาไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก และพื้นที่ราบเรียบในทิศตะวันออกเฉียงใต้

พื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักรจะอยู่ที่ประมาณ 243,610 ตารางกิโลเมตร (94,060 ตารางไมล์) ประเทศครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะบริเตน[31] หมู่เกาะบริเตน รวมถึง เกาะบริเตนใหญ่, เกาะไอร์แลนด์ และหมู่เกาะขนาดเล็กรอบ ๆ ประเทศอยู่ระหว่างตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเหนือ ที่มีชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้อยู่ภายใน 22 ไมล์ (35 กิโลเมตร) จากชายฝั่งทางตอนเหนือของ ฝรั่งเศส, ซึ่งจะถูกคั่นด้วยช่องแคบอังกฤษ[32] ในปี 1993, 10% ของสหราชอาณาจักรเป็นป่า, 46% เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และ 25% เพื่อการเกษตร[33] 'เดอะรอยัลกรีนิช หอดูดาวกรุงลอนดอน' กำหนดจุด เส้นแวงแรกที่พาดผ่านตำบลกรีนนิช (Greenwich) ของอังกฤษ (อังกฤษ: Prime Meridian)[34]

สหราชอาณาจักรอยู่ระหว่างเส้นรุ้ง 49° ถึง 61°N, และเส้นแวง 9°W ถึง 2°E ไอร์แลนด์เหนือ ใช้เส้นเขตแดนทางบกยาว 224 ไมล์ (360 กิโลเมตร) เดียวกับประเทศไอร์แลนด์[32] ชายฝั่งของเกาะบริเตนใหญ่ยาว 11,073 ไมล์ (17,820 กิโลเมตร)[35] มันจะเชื่อมต่อไปยังทวีปยุโรปโดยอุโมงค์ลอดช่องแคบยาว 31 ไมล์ (50 กิโลเมตร) (24 ไมล์ (38 กิโลเมตร) อยู่ใต้น้ำ) ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก[36]

ประเทศอังกฤษมีพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักร, ครอบคลุม 130,395 ตารางกิโลเมตร (50,350 ตารางไมล์)[37] ส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบไปด้วยภูมิประเทศที่ลุ่ม[33] และภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของเส้น Tees-Exe (เส้นที่ลากจากตะวันออกเฉียงเหนือลงมาตะวันตกเฉียงใต้), ที่รวมทั้ง เทือกเขา Cumbrian ของเขต Lake District, the Pennines และ ภูเขาหินปูนของเขต Peak District, Exmoor และ Dartmoor แม่น้ำสายหลักและบริเวณปากแม่น้ำ มีแม่น้ำเทมส์, Severn and the Humber ภูเขาที่สูงที่สุดของอังกฤษคือ Scafell Pike (978 เมตร (3,209 ฟุต)) ใน Lake District แม่น้ำที่สำคัญได้แก่ Severn, Thames, Humber, Tees, Tyne, Tweed, Avon, Exe และ Mersey[33]

สก็อตแลนด์มีพื้นที่น้อยกว่าหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักร, ครอบคลุม 78,772 ตารางกิโลเมตร (30,410 ตารางไมล์)[38] และ รวมถึง เกือบแปดร้อยเกาะ[39] ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกและทางเหนือของเกาะบริเตนใหญ่; สะดุดตาคือ Hebrides, Orkney Islands และ Shetland Islands ภูมิประเทศของสกอตแลนด์เป็นที่โดดเด่นด้วย Highland Boundary Fault (รอยแตกหักของหินทางธรณีวิทยา) ซึ่งลัดเลาะในสกอตแลนด์ จาก Arran ทางตะวันตกไป Stonehaven ทางตะวันออก[40] รอยแตกจะแยกสองภูมิภาคที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน, คือไฮแลนด์ไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก และที่ราบลุ่มไปทางใต้และ ตะวันออก ภูมิภาคไฮแลนด์ที่ขรุขระมากขึ้นประกอบด้วยส่วนใหญ่ของแผ่นดินที่เต็มไปด้วยภูเขาของสกอตแลนด์, รวมทั้ง Ben Nevis ที่สูง 1,343 เมตร (4,406 ฟุต), ซึ่งสูงที่สุดในเกาะบริเตนใหญ่อังกฤษ[41] พื้นที่ ลุ่ม, โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงแคบของแผ่นดินระหว่าง the Firth of Clyde และ the Firth of Forth ที่รู้จักกันว่าเป็น Central Belt เป็นที่ราบเรียบ และบ้านของส่วนใหญ่ของประชากร รวมทั้ง กลาสโกว์, เมืองที่ใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์, และ เอดินบะระ เมืองหลวงและศูนย์กลางทางการเมือง

ภาพของ เบน เนวิส ในระยะไกลโดยข้างหน้าคือที่ราบเป็นคลื่น ตั้งอยู่ในสกอตแลนด์, เป็นจุดสูงสุดในหมู่เกาะอังกฤษ

เวลส์มีเนื้อที่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของพื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักร, ครอบคลุม 20,779 ตารางกิโลเมตร (8,020 ตารางไมล์)[42] เวลส์เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ แม้ว่าเวลส์ทางใต้จะเป็นเขาน้อยกว่า เวลส์ทางเหนือและเวลส์ตอนกลาง พื้นที่หลักของประชากรและอุตสาหกรรมอยู่ในเวลส์ทางใต้ ซึ่งประกอบด้วยเมืองชายฝั่งทะเลเช่น คาร์ดิฟฟ์, สวอนซี และ นิวพอร์ต และหุบเขาเวลส์ใต้ ไปทางเหนือ ภูเขาที่สูงที่สุดในเวลส์ อยู่ใน Snowdonia และรวมถึง สโนว์ดอน (ภาษาเวลส์: Yr Wyddfa) ที่สูง 1,085 เมตร (3,560 ฟุต) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเวลส์[33] มีภูเขาเวลส์จำนวน 14, หรืออาจจะเป็น 15 ลูกที่สูงกว่า 3,000 ฟุต (914 เมตร) เป็นที่รู้จักกันรวมกันว่าเป็น the Welsh 3000s เวลส์มีชายฝั่งยาวกว่า 746 ไมล์ (1,200 กิโลเมตร) มีหลายเกาะนอกแผ่นดินใหญ่เวลส์ ที่ใหญ่ที่สุดจะเป็น Anglesey ( Ynys Môn) ในด้านตะวันตกเฉียงเหนือ

ไอร์แลนด์เหนือมีพื้นที่เพียง 14,160 ตารางกิโลเมตร ( 5,470 ตารางไมล์) และ ส่วนใหญ่เป็น เนินเขา รวมถึง Lough Neagh ที่มีขนาด 388 ตารางกิโลเมตร (150 ตารางไมล์) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะอังกฤษโดยพื้นที่[43] ยอดเขาสูงสุดในภาคเหนือของไอร์แลนด์เหนือคือ Slieve Donard ใน Mourne Mountains ที่ความสูง 852 เมตร (2,795 ฟุต)[33]

ภูมิอากาศ

สหราชอาณาจักรมีภูมิอากาศเขตหนาว ที่มีปริมาณน้ำฝนอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปี[32] อุณหภูมิแตกต่างกันไปตามฤดูกาล, ไม่ค่อยลดลงต่ำกว่า −11 °C (12 °F) หรือเพิ่มขึ้นสูงกว่า 35 °C (95 °F)[44] ลมแน่ทิศจะพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ และ นำพาอากาศเย็นอ่อน ๆ และเปียกชื้นจากมหาสมุทรแอตแลนติก,[32] แม้ว่า ภาคตะวันออกที่ส่วนใหญ่จะถูกกำบังจากลมนี้ เนื่องจากส่วนใหญ่ ฝนจะตกทั่วภูมิภาคตะวันตก, ด้านตะวันออกจึงแห้งที่สุด กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก, ถูกทำให้อุ่นด้วย Gulf Stream, นำฤดูหนาวอ่อน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคตะวันตก ที่ฤดูหนาวจะเปียกและจะมากยิ่งขึ้นสำหรับพื้นที่สูง ฤดูร้อนจะอุ่นที่สุดในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ อังกฤษ, ที่อยู่ใกล้กับแผ่นดินใหญ่ยุโรป และเย็นที่สุดในภาคเหนือ หิมะตกหนักอาจเกิดขึ้นในฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิในพื้นที่สูง และบางครั้งทับถมลงไปลึกมากห่างจากเนินเขา

ประวัติศาสตร์

ก่อนปี 1707

สโตนเฮนจ์ในวิลต์เชียร์ ถูกสร้างขึ้นประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล

การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์สมัยใหม่ในดินแดนที่กำลังจะกลายเป็นสหราชอาณาจักร เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นประมาณ 30,000 ปีที่ผ่านมา[45] ในตอนท้ายของยุคก่อนประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ประชากรคิดว่าจะได้เป็นเจ้าของ, ในพื้นที่หลัก, วัฒนธรรมที่เรียกว่า เซลติกที่โดดเดี่ยว (อังกฤษ: Insular Celtic), ที่ประกอบไปด้วย Brythonic Britain และ Gaelic Ireland[46] ชัยชนะของโรมัน, เริ่มต้นในปีค.ศ. 43, และปกครองภาคใต้ของสหราชอาณาจักรอยู่ 400 ปี, ตามมาด้วยการบุกรุกของตั้งถิ่นฐานโดย เจอร์มานิคแองโกลแซกซอน, เป็นการลดพื้นที่ Brythonic ส่วนใหญ่บนดินแดนที่กำลังจะกลายเป็นเวลส์และราชอาณาจักร Strathclyde ยุคประวัติศาสตร์[47] ส่วนใหญ่ของภูมิภาคที่ตั้งรกรากโดยแองโกลแอกซอน กลายเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวเป็นอาณาจักรแห่งอังกฤษในศตวรรษที่ 10[48] ในขณะเดียวกัน นักพูดแห่ง Gaelic ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหราชอาณาจักร (ที่เชื่อมต่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์และสงสัยว่าจะมีการอพยพมาจากที่นั่นในศตวรรษที่ 5)[49][50] รวมตัวกับชาว Picts ในการสร้างอาณาจักรแห่งสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 9[51]

ในปี 1066 พวกนอร์มันส์บุกรุกอังกฤษจากฝรั่งเศส และหลังจากได้รับชัยชนะ, ได้ยึดส่วนใหญ่ของเวลส์, เอาชนะพื้นที่จำนวนมากของไอร์แลนด์และได้รับเชิญไปตั้งรกรากในสกอตแลนด์, เป็นนำระบบศักดินาไปให้แต่ละประเทศในรูปแบบของฝรั่งเศสตอนเหนือและวัฒนธรรมนอร์แมนฝรั่งเศส[52] พวกชนชั้นสูงชาวนอร์แมนมีอิทธิพลอย่างมากต่อ, แต่ในที่สุดก็หลอมรวมกับ, แต่ละวัฒนธรรมท้องถิ่น[53] ต่อมา กษัตริย์อังกฤษยุคกลางก็พิชิตเวลส์ได้อย่างสมบูรณ์ และได้พยายามผนวกสกอตแลนด์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้น สก็อตแลนด์ยังคงรักษาความเป็นอิสระ แม้จะอยู่ในความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับอังกฤษ ราชวงค์อังกฤษ, ผ่านการถ่ายทอดมรดกของดินแดนที่สำคัญในประเทศฝรั่งเศสและอ้างสิทธ์สำหรับมงกุฏกษัตริย์ฝรั่งเศส, ยังมีส่วนร่วมอย่างมากในความขัดแย้งในประเทศฝรั่งเศส, ที่สะดุดตาที่สุดคือ 'สงครามร้อยปี', ในขณะที่ กษัตริย์แห่งสก็อตเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น[54]

ม่านลายดอกประดับฝาผนังของบาโย แสดงให้เห็นการต่อสู้แห่งเฮสติ้งส์ และเหตุการณ์ที่นำไปสู่​​เหตุนั้น

ช่วงระยะเวลาที่ทันสมัยตอน​​ต้นได้เห็นความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดจาก 'การปฏิรูป' และ การเปิดตัวของ คริสตจักรโปรเตสแตนต์ในแต่ละประเทศ[55] เวลส์ถูกรวมอย่างเต็มที่เข้ากับ'อาณาจักรแห่งอังกฤษ'[56] และไอร์แลนด์ถูกบัญญัติให้เป็นอาณาจักรส่วนตัวควบรวมกับราชวงศ์อังกฤษ[57] ในดินแดนที่กำลังจะกลายเป็นไอร์แลนด์เหนือ, ดินแดนแห่งขุนนาง Catholic Gaelic อิสระถูกริบและถูกยกให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรเตสแตนต์จากอังกฤษและสกอตแลนด์[58]

ใน 1603, ราชอาณาจักรของอังกฤษ,สกอตแลนด์และไอร์แลนด์ถูกรวมเข้าด้วยกันในการรวมส่วนตัวเมื่อกษัตริย์เจมส์ที่หกแห่งสกอต, ที่สืบทอดมงกุฎแห่งอังกฤษและไอร์แลนด์และย้ายพระราชวังจากเอดินเบิร์กไปยังกรุงลอนดอน; แต่ละประเทศยังคงไม่มากก็น้อยเป็นองค์กรทางการเมืองที่แยกต่างหาก และยังคงรักษาสถาบันทางการเมือง, กฎหมาย, และศาสนา ที่แยกต่างหาก[59][60]

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17, ทั้งสามอาณาจักรมีส่วนเกี่ยวข้องในชุดของสงครามที่ต่อเนื่อง (รวมทั้งสงครามกลางเมืองอังกฤษ) ซึ่งนำไปสู่​​การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ชั่วคราว และการจัดตั้งสาธารณรัฐรวมกันระยะสั้นของเครือจักรภพอังกฤษสกอตแลนด์และไอร์แลนด์[61][62]

แม้ว่าราชวงค์ถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่, มันให้ความมั่นใจ (ด้วย ความรุ่งโรจน์ของการปฏิวัติปี 1688) ว่า, แตกต่างจากส่วนที่เหลือของยุโรป, สมบูรณาญาสิทธิราชย์จะไม่เหนือกว่า, และผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นคาทอลิกจะไม่ขึ้นสู่บัลลังก์ รัฐธรรมนูญอังกฤษจะพัฒนาบนพื้นฐานของระบอบราชวงค์รัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภา[63] ในช่วงเวลานั้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษ, การพัฒนาของกำลังทหารเรือ ( และความสนใจในการเดินทางเพื่อการค้นพบ) นำไปสู่การเข้ายึดและการตั้งถิ่นฐานของอาณานิคมในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาเหนือ[64][65]

ตั้งพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707

'สนธิสัญญาสหภาพ' นำไปสู่​​สหราชอาณาจักรเดียวที่ครอบคลุมทั้งบริเตนใหญ่

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1707 สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ได้รวมกันเข้าอันเป็นผลมาจาก "กฎหมายของสหภาพ"(อังกฤษ: Acts of Union) ที่ผ่านโดยรัฐสภาของประเทศอังกฤษและสกอตแลนด์ที่จะให้สัตยาบัน สนธิสัญญาของสหภาพปี 1706 (อังกฤษ: 1706 Treaty of Union) และทำให้เกิดการรวมกันของสองราชอาณาจักร[66][67][68]

ในศตวรรษที่ 18 ที่รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีได้พัฒนาภายใต้ โรเบิร์ต วอลโพล ในการปฏิบัติตัวเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก (1721–1742) ชุดต่อเนื่องของ Jacobite ได้ลุกฮือในความพยายามที่จะถอดถอน "สภาโปรเตสแตนต์แห่งฮันโนเฟอร์" จากราชบัลลังก์อังกฤษและฟื้นฟู 'สภาคาทอลิกแห่งสจวร์ต' Jacobites ได้พ่ายแพ้ในที่สุดในการรบ'สงครามแห่งคัลโลเดน'ในปี 1746, หลังจากที่ "ชาวที่ราบสูงแห่งสกอต" ถูกปราบปรามอย่างไร้ความปราณี อาณานิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือที่แยกออกจากบริเตนใน 'สงครามเพื่ออิสรภาพอเมริกัน' ได้กลายมาเป็น สหรัฐอเมริกา ในปี 1782 ความทะเยอทะยานของจักรวรรดิอังกฤษหันไปสู่ที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังประเทศอินเดีย[69]

ในระหว่างศตวรรษที่ 18, บริเตนมีส่วนร่วมในการค้าทาสในมหาสมุทรแอตแลนติก บริเตนจัดส่งทาสประมาณ 2 ล้านคนจากแอฟริกาไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ก่อนที่จะห้ามการค้าในปี 1807[70] คำว่า สหราชอาณาจักร กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการในปี 1801 เมื่อรัฐสภาของบริเตนและไอร์แลนด์ได้ผ่าน กฎหมายสหภาพ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของสองราชอาณาจักร และเป็นการสร้าง สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์[71]

ในต้นศตวรรษที่ 19, การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่นำโดยอังกฤษเริ่มที่จะเปลี่ยนประเทศ มันค่อย ๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอำนาจทางการเมืองออกไปจากชนชั้นเจ้าของที่ดินแบบอนุรักษนิยมเดิม ไปสู่นักอุตสาหกรรมใหม่ พันธมิตรของพ่อค้าและนักอุตสาหกรรมที่มีสมาชิกพรรคการเมืองเก่าจะนำไปสู่​​พรรคใหม่, พรรคลิเบอรัล, ที่มีอุดมการณ์ของการค้าเสรีและไม่แทรกแซง ในปี 1832 รัฐสภาผ่าน "กฎหมายปฏิรูปครั้งใหญ่" ซึ่งเริ่มการถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองจากขุนนางไปยังชนชั้นกลาง ในชนบทการปิดล้อมที่ดินได้ขับเกษตรกรรายย่อยออกไป เมืองใหญ่และเมืองเล็ก เริ่มที่จะขยายตัวด้วยชนชั้นแรงงานในเมืองใหม่ คนงานธรรมดาไม่มากมีการลงคะแนนเสียงและพวกเขาได้สร้างองค์กรของตัวเองในรูปแบบของสหภาพการค้า

ภาพวาดของการต่อสู้แบบนองเลือด ม้าและทหารต่อสู้หรือนอนราบอยู่บนพื้นหญ้า, สงครามวอเตอร์ลู บอกจุดจบของโปเลียนและจุดเริ่มต้นของ Pax Britannica

หลังจากความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสใน "การปฏิวัติและสงครามโปเลียน (1792–1815)", สหราชอาณาจักรกลายเป็นพลังทางเรือและจักรพรรดิที่สำคัญของศตวรรษที่ 19 (ที่มีลอนดอนเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากประมาณปี 1830)[72] โดยที่ไม่มีกล้าท้าทายในทะเล, การครอบงำของอังกฤษได้รับการอธิบายในภายหลังว่า Pax Britannica[73][74] เมื่อถึงเวลาของ Great Exhibition of 1851, บริเตนได้รับการอธิบายว่าเป็น "การประชุมเชิงปฏิบัติการของโลก"[75] จักรวรรดิอังกฤษได้ขยายไปเพื่อควบรวมอินเดีย, ส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกาและภูมิภาคอื่น ๆ หลายแห่งทั่วโลก, ควบคู่ไปกับการควบคุมอย่างเป็นทางการ อังกฤษจะ ใช้อำนาจผ่านอาณานิคมของตัวเอง, การครอบงำของอังกฤษในหลายส่วนของการค้าโลกได้หมายความว่า อังกฤษสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ เช่นจีน, อาร์เจนตินาและสยาม[76][77] ภายในประเทศ ทัศนคติทางการเมืองให้การสนับสนุนการค้าเสรี และนโยบายไม่แทรกแซง และการค่อย ๆ ขยายตัวของแฟรนไชส์​​ที่มีสิทธิออกเสียง ในระหว่างศตวรรษ, ประชากรมีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าทึ่ง, พร้อมด้วยการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว, ก่อให้เกิดความเครียดทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ[78] หลังจากปี 1875 การผูกขาดอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร ได้รับการท้าทายจากเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ในการแสวงหาตลาดและแหล่งที่มา ของวัตถุดิบใหม่, พรรคอนุรักษนิยม ภายใต้ Disraeli เปิดตัวช่วงเวลาของการขยายตัวจักรวรรดินิยมในอียิปต์, แอฟริกาใต้และที่อื่น ๆ แคนาดา, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กลายเป็น อาณาจักรปกครองตนเอง[79]

การปฏิรูปสังคมและกฎของบ้านสำหรับไอร์แลนด์เป็นประเด็นสำคัญในประเทศหลังจากปี 1900 พรรคแรงงานโผล่ออกมาจากพันธมิตรของสหภาพการค้าและกลุ่มสังคมนิยมขนาดเล็กในปี 1900 และ กลู่มผู้หญิงได้รณรงค์ให้สตรีได้ใช้สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงก่อนปี 1914

ภาพขาวดำของชายสองโหลในชุดเครื่องแบบทหารและหมวกโลหะ นั่งหรือยืนอยู่ในคูน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน, ของกองกำลังกรมทหารราบปืนเล็กยาวไอริช ระหว่าง "การรบที่ซอมม์" ทหารอังกฤษมากกว่า 885,000 นายเสียชีวิตในสนามรบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สหราชอาณาจักรต่อสู้กับฝรั่งเศส, รัสเซียและ (หลังปี 1917) สหรัฐอเมริกา, กับเยอรมนีและพันธมิตรของเยอรมนีใน​​สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (1914–1918)[80] กองกำลังติดอาวุธของสหราชอาณาจักรเข้าร่วมต่อสู้ในหลายส่วนของจักรวรรดิอังกฤษ และในหลายภูมิภาคของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวรบด้านตะวันตก[81] การเสียชีวิตที่สูงของสงครามสนามเพลาะทำให้เกิดการสูญเสีย ของมากของเผ่าพันธ์ของมนุษย์, ที่มีผลกระทบทางสังคมที่ยั่งยืนในประเทศและการหยุดชะงัก อย่างมากในการจัดระเบียบสังคม

หลังสงคราม สหราชอาณาจักรได้รับฉันทานุมัติจากสันนิบาตแห่งชาติในเรือ่งจำนวนของอดีต อาณานิคมเยอรมันและออตโตมัน จักรวรรดิอังกฤษได้มาถึงขอบเขตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยการ ครอบครองพื้นผิวดินของโลกอันดับที่ห้าของโลก และหนึ่งในสี่ของประชากรของโลก[82] อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรประสพกับ 2.5 ล้านคนที่บาดเจ็บ และจบสงครามด้วยหนี้ของชาติจำนวนมาก[81] การลุกขึ้นของกลุ่มชาตินิยมไอริช และข้อพิพาทภายในไอร์แลนด์ในแง่ของกฎบ้านไอริชในที่สุดนำไปสู่การแบ่งพื้นที่ของเกาะในปี 1921,[83] และ รัฐอิสระไอริช กลายเป็นอิสระที่มีสถานะการปกครองในปี 1922 ไอร์แลนด์เหนือยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร[84] คลื่นของการประท้วงในช่วงกลางทศวรรษ 1920s ส่งผลให้เกิด 'การประท้วงทั่วไปในสหราชอาณาจักรปี 1926' สหราชอาณาจักรก็ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของสงครามเมื่อ 'เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่' (1929-1932) เกิดขึ้น สิ่งนี้นำไปสู่​​การว่างงานและความยากลำบากอย่างมากใน พื้นที่อุตสาหกรรมเก่า รวมทั้ง ความไม่สงบทางการเมืองและสังคมในปี 1930s พรรคร่วมรัฐบาลถูกตั้งขึ้นในปี 1931[85]

สหราชอาณาจักรเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองด้วยการประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี 1939, หลังจากที่เยอรมนีได้บุกโปแลนด์และเช็ก ในปี 1940 Winston Churchill ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล แม้จะมีความพ่ายแพ้ของฝ่ายพันธมิตรในยุโรปในปีแรกของสงคราม, สหราชอาณาจักรยังคงต่อสู้อยู่โดยลำพังกับเยอรมนี ในปี 1940 กองทัพอากาศพ่ายแพ้ต่อกองทัพเยอรมันในการต่อสู้เพื่อควบคุมท้องฟ้าใน "ศึกแห่งบริเตน" สหราชอาณาจักรถูกระเบิดอย่างหนักในระหว่างการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ในที่สุดก็ยังมีชัยชนะที่ยากที่สุดในสงครามแอตแลนติก, การสงครามในแอฟริกาเหนือและในพม่า กองกำลังสหราชอาณาจักร เล่นบทบาทสำคัญในการยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดีในปี 1944, ประสบความสำเร็จกับพันธมิตรของตน คือสหรัฐอเมริกา หลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนี, สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในสามมหาอำนาจที่ประชุมกัน ในการวางแผนโลกหลังสงคราม มันเป็นผู้ลงนามเดิมของ 'ประกาศของสหประชาชาติ' สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม สงครามทำให้สหราชอาณาจักรต้องอ่อนแอลงอย่างรุนแรง และขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือทางการเงินจาก Marshall Aid และเงินกู้ยืมจากสหรัฐอเมริกา[86]

แผนที่โลก แคนาดา, ภาคตะวันออกของสหรัฐฯ และประเทศในแอฟริกาตะวันออก, อินเดีย, ส่วนใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ จะถูกเน้นในสีชมพู, ดินแดนที่ครั้งหนึ่งอยู่ในส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษ ดินแดนโพ้นทะเลในปัจจุบันของอังกฤษคือที่ขีดเส้นใต้สีแดง

ในทันทีหลังสงคราม รัฐบาลเริ่มโครงการปฏิรูปอย่างรุนแรงที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสังคมอังกฤษในหลายทศวรรษที่ผ่านมา[87] อุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคที่สำคัญถูกทำให้เป็นงานแห่งชาติ, รัฐสวัสดิการถูกจัดตั้งขึ้น, และครอบคลุม, ระบบการดูแลสุขภาพได้รับทุนอุดหนุนให้เป็นของสาธารณะ, บริการสุขภาพแห่งชาติถูกสร้างขึ้น[88] การเพิ่มขึ้นของลัทธิชาตินิยมในอาณานิคมเกิดขึ้นพร้อมกับของบริเตนช่วงนี้ที่สถานะทางเศรษฐกิจถูกทำให้ลดลงอย่างมาก, เพื่อที่ว่า นโยบายของการเป็นเอกราชจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเป็นอิสระได้รับอนุญาตให้อินเดียและปากีสถานในปี 1947[89] ในอีกสามทศวรรษต่อมา ส่วนใหญ่ของอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษได้รับเอกราช หลายประเทศกลายเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งชาติ[90]

แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะเป็นประเทศที่สามในการพัฒนาคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ (ที่มีการทดสอบระเบิดอะตอมลูกแรกในปี 1952), ขีดจำกัดของบทบาทระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรหลังสงครามถูกแสดงออกโดยวิกฤติการณ์สุเอซปี 1956 การแพร่กระจายระหว่างประเทศของภาษาอังกฤษ ให้ความมั่นใจในอิทธิพลระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องด้วยวรรณคดีและวัฒนธรรมอังกฤษ จากปี 1960 เป็นต้นมา ความนิยมวัฒนธรรมอังกฤษยังมีอิทธิพลในต่างประเทศ อันเป็นผลมาจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานในปี 1950s, รัฐบาลสหราชอาณาจักรให้การสนับสนุนการอพยพจากประเทศเครือจักรภพ ในหลายทศวรรษต่อมา สหราชอาณาจักร ได้กลายเป็นสังคมหลายเชื้อชาติ[91] แม้จะมีมาตรฐานการครองชีพที่เพิ่มขึ้นในปี 1950s และ 1960s ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนกับหลายประเทศคู่แข่ง เช่นเยอรมนีตะวันตก และประเทศญี่ปุ่น ในปี 1973 สหราชอาณาจักรเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) และเมื่อประชาคมเศรษฐกิจยุโรปกลายเป็นสหภาพยุโรป (EU) ในปี 1992 สหราชอาณาจักรก็เป็นหนึ่งใน 12 สมาชิกก่อตั้ง

หลังจากการยับยั้ง สองครั้งของฝรั่งเศสในปี 1961 และ ปี 1967, สหราชอาณาจักรเข้าร่วมในสหภาพยุโรปในปี 1973 ในปี 1975 โดย 67% ของผู้โหวตลงคะแนนให้กับการร่วมอยู่ในสหภาพยุโรป[92] แต่ในปี 2016 ชาวสหราชอาณาจักร 52% โหวตให้ออกจากสหภาพ[93]

จากปลายปี 1960s, ไอร์แลนด์เหนือประสบความทุกข์เกี่ยวกับความรุนแรงสาธารณะและทางทหาร (บางครั้งมีผลกระทบต่อส่วนอื่น ๆ ของสหราชอาณาจักร) ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็น 'ปัญหา' มันมักถูกพิจารณาว่ามันได้จบลงด้วย 'ข้อตกลง"วันศุกร์ที่ดี"แห่งเบลฟัสต์ของปี 1998'[94][95][96]

ต่อจากช่วงเวลาของการแผ่ขยายของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการปะทะกันทางอุตสาหกรรมในปี 1970s, รัฐบาลพรรคอนุรักษนิยมของปี 1980s ริเริ่มนโยบายอย่างรุนแรงของ ทฤษฎีเกี่ยวกับการเงิน, การไม่กำกับดูแล, โดยเฉพาะอย่างยิ่งของภาคการเงิน (เช่น บิ๊กแบง ในปี 1986) และตลาดแรงงาน, การขายบริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ (การแปรรูป) และ การถอนตัวจากการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้อื่น[97] เรื่องนี้ส่งผลให้การว่างงานและความไม่สงบทางสังคมสูง แต่ท้ายที่สุดก็มีผลกับเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ จากปี 1984 เศรษฐกิจได้รับการช่วยเหลือจากการไหลเข้าของเงินรายได้จากน้ำมันทะเลเหนือ[98]

ประมาณปลายศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร ด้วยการจัดตั้งการกระจายอำนาจสำหรับสกอตแลนด์ เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ[18][99] การรวมตัวกันตามกฎหมายทำได้ตามการยอมรับของอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนของยุโรป สหราชอาณาจักรยังคงเป็นผู้เล่นระดับโลกที่สำคัญทางการทูตและการทหาร มันเล่นบทพระเอกในสหภาพยุโรป, สหประชาชาติและเนโท อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งได้โอบล้อมบางส่วนของการวางกำลังทางทหารของบริเตนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอัฟกานิสถานและอิรัก[100]

ในปี 2013 สหราชอาณาจักรมุ่งมั่นในการฟื้นตัวจากการตกต่ำที่เกิดขึ้นตามวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกปี 2008, พรรคร่วมรัฐบาลได้นำมาตรการประหยัดซึ่งเล็งผลที่จะแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณขนาดใหญ่[101] อิสรภาพของชาวสก๊อตกลับเข้ามาอยู่ในวาระการประชุม รัฐบาลสกอตแลนด์จะจัดให้มีการลงประชามติเป็นอิสระในวันที่ 18 กันยายน 2014. หากผ่าน, สกอตแลนด์จะกลายเป็นรัฐอธิปไตยที่เป็นอิสระจากประเทศอื่น ๆ ภายในสหราชอาณาจักรในปัจจุบัน[102]

ดินแดนของสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2440 (1897)

ราชอาณาจักรสกอตแลนด์และราชอาณาจักรอังกฤษนั้นได้ก่อตัวขึ้นเป็นรัฐแยกกันตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 โดยแต่ละรัฐมีราชวงศ์และระบอบการปกครองของตัวเอง ส่วน ราชรัฐเวลส์ตกมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจากบทกฎหมายรุดดลันในปีพ.ศ. 1827 และรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอังกฤษในปีพ.ศ. 2078 จากพระราชบัญญัติสหภาพพ.ศ. 2250 ขณะที่ประเทศอังกฤษและสกอตแลนด์นั้นรวมกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก จากการที่พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์นั้นได้ปกครองอังกฤษ เนื่องจากพระนางเอลิซาเบธที่หนึ่งไม่มีรัชทายาท ทั้งสองประเทศจึงอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์เดียวกันแต่ต่างฝ่ายต่างมีรัฐบาลอิสระของตนเอง ต่อมาภายหลัง อังกฤษและสกอตแลนด์ก็ได้รวมตัวกันเป็นสหภาพทางการเมืองในชื่อราชอาณาจักรบริเตนใหญ่[103]

พระราชบัญญัติสหภาพ พ.ศ. 2343 ได้รวมราชอาณาจักรบริเตนใหญ่กับราชอาณาจักรไอร์แลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ตกเข้ามาอยู่ในการควบคุมของอังกฤษ เข้าเป็นสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์[104] ซึ่งต่อมาในปีพ.ศ. 2465 26 แคว้นจาก 32 แคว้นบนเกาะไอร์แลนด์ตัดสินใจที่จะเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับสหราชอาณาจักร และตั้งเป็นประเทศใหม่เป็นประเทศไอร์แลนด์ หลังจากนั้นอีก 7 ปี 6 แคว้นที่เหลือได้เข้ามารวมตัวกับสหราชอาณาจักรดังเดิม และตั้งชื่อแคว้นของตนเองเป็น ไอร์แลนด์เหนือ[84]

ในพุทธศตวรรษที่ 24 สหราชอาณาจักร (ในขณะนั้นคือสหราชอาณาจักรแห่งเกาะบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์) เป็นประเทศผู้นำของโลกในหลาย ๆ ด้าน เช่นการพัฒนาระบอบทุนนิยมและประชาธิปไตยระบบรัฐสภา รวมถึงการเผยแพร่ทางด้านวรรณกรรม ศิลปะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จักรวรรดิบริเตนสามารถครอบครองดินแดนถึงหนึ่งในสี่ของพื้นผิวโลกและหนึ่งในสามของประชากรโลกในช่วงที่มีการขยายตัวสูงสุด ทำให้กลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ทั้งในด้านดินแดนและประชากร

อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรเริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมในพุทธศตวรรษที่ 25 ให้กับสหรัฐและจักรวรรดิเยอรมัน หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 1 อำนาจของสหราชอาณาจักรในวงการเมืองโลกเริ่มลดลง และเริ่มมีการปลดปล่อยอาณานิคมในดินแดนโพ้นทะเลต่าง ๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหราชอาณาจักรต่อสู้กับนาซีเยอรมนีและได้รับชัยชนะในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งทำให้สหราชอาณาจักรได้เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สหราชอาณาจักรเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปีพ.ศ. 2516 แต่ปัจจุบันยังไม่เข้าร่วมใช้เงินยูโร โดยมีแผนที่จะจัดการลงประชามติเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อผลจาก "บททดสอบห้าข้อ" ประเมินได้ว่าการเข้าร่วมใช้เงินยูโรจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร[105]

การเมืองการปกครอง

สหราชอาณาจักรเป็นรัฐรวมกันภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ, สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 เป็นประมุขแห่งรัฐของสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ของสิบห้าประเทศอื่น ๆ ในเครือจักรภพอิสระ พระมหากษัตริย์มี "สิทธิที่จะได้รับคำปรึกษา, สิทธิในการส่งเสริม และสิทธิที่จะเตือน"[106] สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในสี่ประเทศในโลกที่จะมีรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นระบบ[107][108] รัฐธรรมนูญแห่งสหราชอาณาจักรจึงประกอบด้วยส่วนใหญ่ ของคอลเลกชันของแหล่งที่มาที่ถูกเขียนขึ้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง, รวมทั้งรัฐบัญญัติ, กฎหมายจากคดีที่ผู้พิพากษาทำและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ, ร่วมกับ การประชุมตามรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ ไม่มีความแตกต่างทางเทคนิคระหว่างรัฐบัญญัติสามัญ และ"กฎหมายรัฐธรรมนูญ", รัฐสภาของสหราชอาณาจักรสามารถดำเนินการ "ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ"ได้ง่ายโดยการผ่าน Acts of Parliament, และจึงทำให้มีอำนาจทางการเมืองในการเปลี่ยนแปลงหรือ ยกเลิกเกือบทุกองค์ประกอบที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม รัฐสภาไม่สามารถผ่านกฎหมายอะไรที่รัฐสภาในอนาคตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้[109]

รัฐบาล

อาคารสีทรายขนาดใหญ่ในการออกแบบแบบสถาปัตยกรรมกอทิกข้างแม่น้ำสีน้ำตาลและสะพานถนน อาคารมีหอคอยขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงหอนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่
พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ในลอนดอนเป็นที่ประชุมของสภาทั้งสองแห่งรัฐสภาสหราชอาณาจักร

สหราชอาณาจักรมีรัฐบาลตามระบบรัฐสภา ที่มีพื้นฐานจากระบบเวสต์มินสเตอร์ที่ถูกทำตามอย่างทั่วโลก: มรดกของจักรวรรดิอังกฤษ รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่พบในพระราชวังเวสต์มินสเตอร์มีสองสภา; สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และ สภาขุนนางที่มาจากการแต่งตั้ง กฎหมายทั้งหมดที่ผ่านจากสภาจะได้รับการลงพระปรมาภิไธยก่อนที่จะถูกนำมาใช้

ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี, หัวหน้ารัฐบาล[110] ของสหราชอาณาจักร เป็นของบุคคลที่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะสั่งความเชื่อมั่นของสภาผู้แทนราษฎร; บุคคลนี้ปกติจะเป็นผู้นำของพรรคการเมืองหรือกลุ่มที่รวมกันของพรรคการเมือง ที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุดในสภา นายกรัฐมนตรีจะเลือกคณะรัฐมนตรีและพวกเขาจะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยพระมหากษัตริย์ ในรูปแบบของรัฐบาลในสมเด็จฯ โดยการประชุม พระมหากษัตริย์จะเคารพในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล[111]

คณะรัฐมนตรีตามประเพณีจะถูกดึงมาจากสมาชิกของพรรคของนายกรัฐมนตรีหรือพรรคร่วมรัฐบาล และส่วนใหญ่มาจากสภาผู้แทน แต่มักจะมาจากทั้งสองสภานิติบัญญัติเสมอ, คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบทั้งสองสภา อำนาจบริหารถูกนำมาใช้โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี, ทุกคนจะสาบานกับคณะองคมนตรีของสหราชอาณาจักร, และจะกลายเป็นรัฐมนตรีของพระมหากษัตริย์ เดวิด แคเมอรอน หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม, หัวหน้าพรรคพันธมิตรพรรคที่สามของสหราชอาณาจักร, พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย แคเมอรอนได้เป็น นายกรัฐมนตรี, ขุนคลังเอก และ รัฐมนตรีว่าการด้านข้าราชการพลเรือน ตั้งแต่ 11 พฤษภาคม 2010[112] สำหรับการเลือกตั้งสภาผู้แทน, ปัจจุบัน สหราชอาณาจักร จะแบ่งออกเป็น 650 เขตเลือกตั้ง,[113] แต่ละเขตฯ จะเลือกตั้งสมาชิกของรัฐสภาเพียงคนเดียวโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกประกาศโดยพระมหากษัตริย์เมื่อนายกรัฐมนตรีแนะนำ กฎหมายรัฐสภาที่ 1911 และ 1949 กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่จะต้องจัดขึ้นไม่เกินห้าปีหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้ว[114]

นิติบัญญัติ

พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ พร้อมหอนาฬิกาบิกเบน ริมชายฝั่งแม่น้ำเทมส์ กรุงลอนดอน เป็นอาคารรัฐสภาของสหราชอาณาจักร

สามพรรคการเมืองใหญ่ของสหราชอาณาจักร ได้แก่ พรรคอนุรักษนิยม, พรรคแรงงาน, และพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปปี 2010, ทั้งสามฝ่ายชนะ 622 จาก 650 ที่นั่งที่มีอยู่ในสภา[115][116] ที่นั่งที่เหลือส่วนใหญ่ชนะโดยพรรคการเมืองที่เข้าแข่งขันในการเลือกตั้งเฉพาะในบางส่วนของสหราชอาณาจักร ได้แก่ พรรคสก็อตแห่งชาติ (สกอตแลนด์เท่านั้น); Plaid Cymru (เวลส์ เท่านั้น); และพรรคสหภาพประชาธิปไตย, พรรคสังคมประชาธิปไตยและแรงงาน, พรรคสหภาพ Ulster และพรรค Sinn Féin (ไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น แม้ว่า Sinn Féin ยังแข่งขันการเลือกตั้งในสาธารณรัฐ ไอร์แลนด์อีกด้วย) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายพรรค, สมาชิก Sinn Féin ที่ได้รับการเลือกตั้งของรัฐสภา จะไม่เคยเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนเพื่อพูดในนามของประชาชนในเขตเลือกตั้งของพวกเขา เพราะต้องทำตามระเบียบที่จะต้องทำพิธีสาบานตนต่อพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ห้า ส.ส. ของ Sinn Féin ในปัจจุบันได้ใช้ประโยชน์ของสำนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่มีใน Westminster[117] สำหรับการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป, สหราชอาณาจักรขณะนี้มี 72 สมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งแบบ 12 multi-member[118]

การบริหารแบบมอบอำนาจปกครอง

ภายในอาคารรัฐสภาสก็อตแลนด์ในโฮลีโรด กรุงเอดินบะระ

สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ แต่ละประเทศมีรัฐบาลหรือผู้บริหารที่ได้รับอำนาจของตัวเอง, นำโดยรัฐมนตรีคนแรก (หรือในกรณีของไอร์แลนด์เหนือ, รัฐมนตรีคนแรกในสองคนและรองรํฐมนตรีคนแรก) และสภานิติบัญญัติ (ระบบสภาเดียว) ที่ได้รับมอบอำนาจ อังกฤษ, ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร, ไม่มีการบริหารหรือสภานิติบัญญัติแบบรับมอบอำนาจดังกล่าว แต่มีการบริหารและการออกกฎหมายโดยตรงจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรและ รัฐสภาในทุกประเด็น สถานการณ์เช่นนี้ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า คำถาม West Lothian ซึ่งเกี่ยวข้องในความจริงที่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากสก็อตแลนด์, เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ สามารถลงคะแนน, บางครั้ง อย่างเด็ดขาด,[119] ในเรื่องที่มีผลเฉพาะกับประเทศอังกฤษ[120] คณะกรรมการ แม็คเคย์ รายงานในเรื่องนี้ในเดือนมีนาคม 2013 แนะนำว่า กฎหมายทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประเทศอังกฤษเท่านั้นที่ควรจะต้องได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส. อังกฤษ[121]

รัฐบาลและรัฐสภาสกอตแลนด์ มีอำนาจกว้างขวางในเรื่องใด ๆ ที่ยังไม่ได้รับการสงวนไว้เฉพาะเพื่อรัฐสภาสหราชอาณาจักร, รวมทั้ง การศึกษา, การดูแลสุขภาพ, กฎหมายสกอตและรัฐบาลท้องถิ่น[122] ในช่วงการเลือกตั้ง 2011, SNP ชนะเลือกตั้งและได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่โดยรวมในรัฐสภาสก็อต ที่มีผู้นำ อเล็กซ์ Salmond เป็น รัฐมนตรีคนแรกของสกอตแลนด์[123][124] ในปี 2012 สหราชอาณาจักรและรัฐบาลสก็อตได้ลงนามใน'ข้อตกลงเอดินบะระ' ในการจัดทำวาระของการลงประชามติเกี่ยวกับความเป็นอิสระของสก็อตแลนด์ในปี 2014

รัฐบาลเวลส์และสมัชชาแห่งชาติของเวลส์มีอำนาจจำกัดมากขึ้นกว่าที่สก็อตแลนด์ได้รับการมอบอำนาจ[125] สภาสามารถออกกฎหมายในเรื่องการมอบอำนาจ ผ่าน Acts of the Assembly, ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมก่อนจาก Westminster. ผลของการเลือกตั้ง 2011 ทำให้ได้มีการบริหารจากพรรคแรงงานส่วนน้อย ที่นำโดย Carwyn โจนส์[126]

ผู้บริหารและสภาไอร์แลนด์เหนือมีอำนาจคล้ายกับที่ตกทอดไปยังสกอตแลนด์ ผู้บริหารที่นำโดย ผู้ปกครองสองคน เป็นตัวแทนของสหภาพและสมาชิกของสภาแห่งชาติ ปัจจุบัน ปีเตอร์ โรบินสัน ( พรรคสหภาพประชาธิปไตย) และ มาร์ติน กินเนสส์ (พรรค Sinn Féin) เป็นรัฐมนตรีคนแรก และรองรัฐมนตรีคนแรกตามลำดับ[127] การถ่ายทอดอำนาจมาที่ไอร์แลนด์เหนือ ผูกพันด้วยการมีส่วนร่วมโดยการบริหารไอร์แลนด์เหนือใน'สภารัฐมนตรีเหนือใต้' ที่ผู้บริหารไอร์แลนด์เหนือให้ความร่วมมือและพัฒนา นโยบายร่วมกันและใช้ร่วมกัน กับรัฐบาลของสาธารณะรัฐไอร์แลนด์ รัฐบาลอังกฤษและไอร์แลนด์ร่วมกันทำงานในเรื่องที่ไม่ถ่ายทอดอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อไอร์แลนด์เหนือ ผ่านการประชุมระหว่างรัฐบาลอังกฤษ-ไอริช, ซึ่งรับผิดชอบการบริหารไอร์แลนด์เหนือในกรณีของการไม่ดำเนินงานของมัน

สหราชอาณาจักรไม่ได้มีรัฐธรรมนูญที่จัดเป็นระบบ และเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่ใน อำนาจที่จะตกทอดมายัง สกอตแลนด์, เวลส์ หรือ ไอร์แลนด์เหนือ ภายใต้หลักการของ อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา, รัฐสภาสหราชอาณาจักรจึงสามารถ, ในทางทฤษฎี, ยกเลิกรัฐสภาของสกอตแลนด์, สภาเวลส์ หรือ สภาไอร์แลนด์เหนือ[128][129] แท้จริงแล้ว ในปี 1972 รัฐสภาสหราชอาณาจักรปิดประชุมรัฐสภาไอร์แลนด์เหนือ, เป็นการทำให้เป็นแบบอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการถ่ายทอดอำนาจร่วมสมัย[130] ในทางปฏิบัติ มันจะเป็นเรื่องยากในทางการเมืองสำหรับรัฐสภาสหราชอาณาจักร ที่จะยกเลิกการถ่ายทอดอำนาจให้กับรัฐสภาสกอตและสภาเวลส์, ให้การป้องกันทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยการตัดสินใจการลงประชามติ[131] ข้อจำกัดทางการเมืองที่วางอยู่บนอำนาจของรัฐสภาสหราชอาณาจักรในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การถ่ายทอดอำนาจในไอร์แลนด์เหนือจะยิ่งใหญ่กว่าในส่วนที่เกี่ยวกับสกอตแลนด์และเวลส์, ที่ระบุว่าการรับโอนอำนาจในไอร์แลนด์เหนือ วางอยู่บนข้อตกลงระหว่างประเทศกับรัฐบาลของประเทศไอร์แลนด์

กฎหมายและความยุติธรรมทางอาญา

The Royal Courts of Justice ของอังกฤษและเวลส์

สหราชอาณาจักรไม่ได้มีระบบกฎหมายเดียว, มาตรา 19 ของ สนธิสัญญาสหภาพปี 1706 มีไว้ให้สำหรับความต่อเนื่องของระบบกฎหมายแยกของสกอตแลนด์[132] วันนี้ สหราชอาณาจักรมีสามระบบที่แตกต่างกันของกฎหมาย: กฎหมายอังกฤษ กฎหมายไอร์แลนด์เหนือและกฎหมายสกอตแลนด์ ศาลฎีกาใหม่ของสหราชอาณาจักรเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2009 เพื่อแทนที่ คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ของสภาขุนนาง[133][134] คณะกรรมการตุลาการของคณะองคมนตรี รวมทั้งสมาชิกที่เป็นสมาชิกเดียวกันกับศาลฎีกาเป็นศาลอุทธรณ์สูงสุดสำหรับหลายประเทศ เครือจักรภพอิสระ, ดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษและเมืองขึ้นของพระมหากษัตริย์[135]

ทั้งกฎหมายอังกฤษ, ซึ่งใช้ในอังกฤษและเวลส์ และกฎหมายไอร์แลนด์เหนือ อยู่บนพื้นฐานของ หลักการ common-law[136] สาระสำคัญของกฎหมาย common law ก็คือว่า, ภายใต้รัฐบัญญัติ, กฎหมายได้รับการพัฒนาโดยผู้พิพากษาในศาล, ในการใช้กฎหมาย, แบบอย่างที่เคยเกิดขึ้น และสามัญสำนึก เข้ากับข้อเท็จจริงก่อนที่ศาลจะให้ ตัดสินที่เป็นคำอธิบายหลักการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง, ซึ่งจะมีการรายงานและมีผลผูกพันในกรณีที่คล้ายกันในอนาคต (stare decisis)[137] ศาลของอังกฤษและเวลส์มีหัวหน้าเป็นศาลอาวุโสของอังกฤษและเวลส์, ประกอบด้วยศาลอุทธรณ์, ศาลยุติธรรม (สำหรับศาลแพ่ง) และบัลลังก์ศาล (สำหรับกรณีความผิดทางอาญา) ศาลฎีกาเป็นศาลที่สูงที่สุด ในแผ่นดินกรณีอุทธรณ์ทั้งทางอาญาและทางแพ่งในอังกฤษ, เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ และการตัดสินใด ๆ จะทำให้มีผลผูกพันในทุกศาลอื่น ๆ ในเขตอำนาจเดียวกัน, มักจะมีผลโน้มน้าวใจในเขตอำนาจศาลอื่น[138]

ศาลยุติธรรมสูงสุด-ศาลอาญาสูงสุดของสก็อตแลนด์

กฎหมายของสก็อตแลนด์เป็นระบบไฮบริดที่ขึ้นอยู่กับทั้ง common-law และหลักการของกฎหมายแพ่ง หัวหน้าศาลเป็นศาลของเซสชันสำหรับคดีแพ่ง[139] และเป็นศาลสูงยุติธรรมสำหรับคดีอาญา[140] ศาลฎีกาของสหราชอาณาจักรทำหน้าที่เป็นศาลที่สูงที่สุดของการอุทธรณ์ สำหรับกรณีทางแพ่งตามกฎหมายศาลของสก็อตแลนด์[141] ศาลนายอำเภอจัดการกับกรณีแพ่งและทางอาญาส่วนใหญ่รวมทั้งการดำเนินคดีอาญาด้วยคณะลูกขุนที่เรียกว่า ศาล เคร่งครัดนายอำเภอ (อังกฤษ: sheriff solemn court), หรือมีนายอำเภอและไม่มีคณะลูกขุนที่รู้จักในฐานะ ศาลสรุปนายอำเภอ (อังกฤษ: sheriff summary Court)[142] ระบบกฎหมายของสก็อตเป็นเอกลักษณ์ในการมีสามคำตัดสินที่เป็นไปได้สำหรับการพิจารณาคดีทางอาญา: "มีความผิด", "ไม่ผิด " และ "พิสูจน์ไม่ได้" ทั้ง "ไม่ผิด" และ "พิสูจน์ไม่ได้" ส่งผลในการตัดสินว่าพ้นผิด[143]

อาชญากรรมในอังกฤษและเวลส์ได้เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างปี 1981 และปี 1995 ถึงแม้ว่าตั้งแต่ จุดสูงสุดนั้น มีการลดลงโดยรวมที่ 48% ในอาชญากรรมจากปี 1995 ถึง 2007/08,[144] ตามสถิติอาชญากรรม ประชากรคุกของอังกฤษและเวลส์ เกือบเป็นสองเท่าในช่วงเวลาเดียวกัน, ถึงกว่า 80,000 ทำให้อังกฤษและเวลส์มีอัตราที่สูงที่สุดของการจำคุกในยุโรปตะวันตก, ที่ 147 ต่อ 100,000 คน[145] หน่วยบริการเรือนจำในสมเด็จฯ ซึ่งรายงานต่อกระทรวงยุติธรรม, จัดการ ส่วนใหญ่ของเรือนจำในอังกฤษและเวลส์ อาชญากรรมในสกอตแลนด์ลดลงในระดับที่บันทึกว่า ต่ำสุดเป็นเวลา 32 ปีในปี 2009/10, ลดลงร้อยละสิบ[146] ในเวลาเดียวกัน ประชากรคุกของสกอตแลนด์, ที่กว่า 8,000,[147] อยู่ที่ระดับบันทึกไว้และสูงกว่าความจุที่ออกแบบไว้[148] บริการเรือนจำสก็อต ซึ่งจะต้องรายงานต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรียุติธรรมเป็นผู้จัดการเรือนจำของสกอตแลนด์ ในปี 2006 รายงานโดย 'เครือข่ายศึกษาการเฝ้าระวังพบว่า สหราชอาณาจักรมีระดับสูงสุดของการเฝ้าระวังในระหว่างมวลหมู่ประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก[149]

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร, นายเดวิด แคเมอรอน และประธานาธิบดีของสหรัฐ นายบารัค โอบามา ในระหว่างการประชุมสุดยอด G-20 ในปี 2010 ในโทรอนโต

กองทัพ

กองกำลังติดอาวุธของสหราชอาณาจักร (อย่างเป็นทางการ, กองทัพในสมเด็จฯ) ประกอบด้วย ทหารอาชีพสามเหล่าทัพ ราชนาวีและกองนาวิกโยธิน, รวมตัวกันเป็นกองทัพเรือ, กองทัพบก และ กองทัพอากาศ[150] กองทัพมีการจัดการโดย กระทรวงกลาโหม และควบคุมโดยสภากลาโหม, เป็นประธานโดยปลัดกระทรวงกลาโหม ราชวงค์อังกฤษเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด,[151] โดยกำลังพลในกองทัพได้สาบานตนต่อหน้าพระพักตร์ของพระมหากษัตริย์, ว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์ และ ปกป้องประเทศชาติ

จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสต็อกโฮล์มและกระทรวงกลาโหม สหราชอาณาจักรมีการใช้จ่ายทางทหารสูงสุดเป็นที่สี่ของโลก ค่าใช้จ่ายในการป้องกันรวม ขณะนี้ประมาณ 2.3–2.6% ของ GDP รวมของประเทศ[152]

กองทัพจะรับผิดชอบในการปกป้องดินแดนของสหราชอาณาจักรและดินแดนของประเทศในต่างประเทศ, ส่งเสริมผลประโยชน์ความมั่นคงทั่วโลกและให้การสนับสนุนความพยายามรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ พวกเขาเข้มแข็งและมีส่วนร่วมปกติในองค๋การเนโท, รวมทั้ง Allied Rapid Reaction Corps เช่นเดียวกับ Five Power Defence Arrangements, RIMPAC และการดำเนินงานร่วมกันอื่น ๆ ทั่วโลก กองทหารรักษาการและสิ่งอำนวยความสะดวกในต่างประเทศ ถูกรักษาการอยู่ในเกาะแอสเซอร์ชัน, เบลีซ, บรูไน, แคนาดา, ไซปรัส, ดิเอโก การ์เซีย, หมู่เกาะฟอล์กแลนด์, เยอรมนี, ยิบรอลตา, เคนยา และกาตาร์[153]

ราชนาวีเป็นกองทัพเรือที่ทรงนาวิกานุภาพ และ มีกองกำลังทางน้ำถึงหนึ่งในสามของโลก, โดยอีกสองกองทัพคือกองทัพเรือฝรั่งเศสและกองทัพเรือสหรัฐ[154] เช่นเดียวกับการมีความรับผิดชอบในการส่งมอบตัวยับยั้งนิวเคลียร์ของสหราชอาณาจักร ผ่านทางโปรแกรมไทรเดนท์ของสหราชอาณาจักร และสี่เรือดำน้ำชั้นแนวหน้า, ราชนาวีดำเนินงานกองเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่, รวมทั้งเรือบรรทุกเครื่องบิน, เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์, ท่าเทียบเรือ, เรือดำน้ำนิวเคลียร์, ตัวทำลายขีปนาวุธนำวิถี, เรือรบ, เรือกวาดทุ่นระเบิด, และเรือลาดตระเวน ในอนาคตอันใกล้ เรือบรรทุกเครื่องบินใหม่สองลำ, รรล. Queen Elizabeth และ รรล. เจ้าฟ้าชายแห่งเวลส์ จะเข้ามาให้บริการในราชนาวี กองกำลังพิเศษสหราชอาณาจักร เช่นบริการพิเศษทางอากาศและ เรือบริการพิเศษ ให้การฝึกฝนทหารเพื่อตอบสนองทางทหารได้อย่างรวดเร็ว, เคลื่อนที่เร็ว ในการต่อต้านการก่อการร้าย, ทางบก, ทางน้ำและสะเทินน้ำสะเทินบก ที่จะใช้เมื่อกลยุทธ์ต้องการให้เป็นความลับหรือต้องการซ่อนเร้น

ในประวัติศาสตร์ กองกำลังติดอาวุธของอังกฤษมีบทบาทสำคัญในการสร้างจักรวรรดิอังกฤษ, โดยที่เป็นพลังของโลกที่โดดเด่นในศตวรรษที่ 19 กองทัพอังกฤษได้เห็นการดำเนินการใน สงครามที่สำคัญหลายครั้งเช่น สงครามเจ็ดปี, สงครามนโปเลียน, สงครามไครเมีย, สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และ สงครามโลกครั้งที่สอง, รวมทั้งความขัดแย้งในอาณานิคมหลายครั้ง ด้วยความแข็งแกร่งของกำลังทางทหาร, บริเตนมักจะสามารถที่จะมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ของโลกอย่างเด็ดขาด นับตั้งแต่สิ้นสุดจักรวรรดิอังกฤษ, สหราชอาณาจักรยังคงมีอำนาจทางทหารที่สำคัญ ทหารอังกฤษอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากที่สุด​​ในโลก นโยบายการป้องกันที่ผ่านมามีสมมติฐานที่ระบุว่า "การดำเนินงานที่มีความต้องการมากที่สุด" จะถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือทางทหาร[155] นอกเหนือจากการแทรกแซงในเซียร์ราลีโอน, การปฏิบัติการทางทหารของสหราชอาณาจักรที่ผ่านมาในบอสเนีย, คอซอวอ, อัฟกานิสถาน, อิรักและล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ในลิเบีย ได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ ครั้งสุดท้ายที่ทหารอังกฤษต่อสู้เพียงลำพังคือ สงครามฟอล์กแลนด์ ปี 1982

เขตการปกครอง

สหราชอาณาจักรประกอบด้วยสี่ส่วนใหญ่ ๆ ซึ่งบางครั้งเรียกในภาษาไทยว่า "ประเทศ" หรือ "แคว้น"

ธง แคว้น สถานะ ประชากร
อังกฤษ อังกฤษ ราชอาณาจักร 50,431,700
สกอตแลนด์ สกอตแลนด์ ราชอาณาจักร 5,094,800
เวลส์ เวลส์ ราชรัฐ 2,958,600
ไอร์แลนด์เหนือ ไอร์แลนด์เหนือ มณฑล 1,724,400
หน่วยการปกครองของสหราชอาณาจักร

แต่ละประเทศของสหราชอาณาจักรมีระบบการบริหารและการแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์ของตัวเอง ที่มีต้นกำเนิดมักจะก่อนวันที่ก่อตั้งของสหราชอาณาจักร ดังนั้นจึง "ไม่มีชนชั้นที่เป็นอันเดียวกันของหน่วยการบริหารที่ครอบคลุมทั้งสหราชอาณาจักร"[156] จนกระทั่ง ศตวรรษที่ 19 จึงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยกับการเตรียมการเหล่านั้น, แต่ ตั้งแต่นั้นมาได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของบทบาทและหน้าที่[157] การเปลี่ยนไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะที่เหมือนกันและการกระจายอำนาจให้กับรัฐบาลท้องถิ่นของสกอตแลนด์, เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะไม่น่าจะ เหมือนกันเลย

องค์กรของรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศอังกฤษมีความซับซ้อน ที่มีการกระจายของหน้าที่ที่แตกต่างกันไปตามการเตรียมการในท้องถิ่น การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศอังกฤษ เป็นความรับผิดชอบของรัฐสภาสหราชอาณาจักรและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร เนื่องจากประเทศอังกฤษไม่มีรัฐสภาที่กระจายอำนาจออกไป เขตการปกครองย่อยบนชั้น upper-tier ของอังกฤษ เป็นพื้นที่สำนักงานรัฐบาล หรือภูมิภาคสำนักงานรัฐบาลสหภาพยุโรป 9 แห่ง[158] หนึ่งในภูมิภาค, มหานครลอนดอน, มีสภาและนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงตั้งแต่ปี 2000 ต่อมาจากการสนับสนุนที่เป็นที่นิยมสำหรับข้อเสนอในการลงประชามติ[159] มันเป็นเจตนาที่ภูมิภาคอื่น ๆ ก็จะได้รับสภาระดับภูมิภาคที่มาจากการเลือกตั้งของตัวเอง, แต่สภาที่ถูกนำเสนอในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับการปฏิเสธโดยการลงประชามติในปี 2004[160] ด้านล่างของ tier ระดับภูมิภาค, บางส่วนของอังกฤษมีเทศบาลเมืองและเทศบาลเขต และบางส่วนอื่น ๆ มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นหนึ่งเดียว; ในขณะที่ลอนดอนประกอบด้วย 32 เมืองเล็กของลอนดอน และกรุงลอนดอน ที่ปรึกษาจะมาจากการเลือกตั้งโดยระบบ first-past-the-post ในการเลือกแบบสมาชิกเดียว หรือโดยระบบ หลายสมาชิก ในการเลือกแบบหลายสมาชิก[161]

สำหรับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลท้องถิ่น, สกอตแลนด์ถูกแบ่งออกเป็น 32 พื้นที่สภาท้องถิ่น ที่มี ความหลากหลายทั้งในด้านขนาดและจำนวนประชากร เมืองกลาสโกว์, เอดินบะระ, แอเบอร์ดีน และดันดี เป็นพื้นที่สภาท้องถิ่นแยกต่างหาก เช่นเดียวกับสภาท้องถิ่นไฮแลนด์ซึ่งกินพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นที่สกอตแลนด์ แต่มีประชากรเพียงกว่า 200,000 คนเท่านั้น สภาท้องถิ่นประกอบด้วยสมาชิกสภาท้องถิ่น (อังกฤษ: Councillors) ที่ได้รับการเลือกตั้ง, ซึ่งปัจจุบันมี 1,222 คน;[162] พวกเขาจะได้รับเงินเดือนแบบ part-time การเลือกตั้งจะดำเนินการโดยระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงในแต่ละวอร์ดหลายสมาชิกที่จะเลือกทั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นสามหรือสี่คน แต่ละสภาท้องถิ่นเลือกประธานสภาหรือ Convenor, เพื่อเป็นประธานในที่ของสภาท้องถิ่นและจะทำหน้าที่เป็นบุคลสำคัญสำหรับพื้นที่ Councillors จะต้องมีจรรยาบรรณ ที่ถูกบังคับใช้โดย คณะกรรมการมาตรฐานสกอตแลนด์[163] สมาคม ตัวแทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของสกอตแลนด์ เป็น 'สหพันธ์องค์กรปกครงท้องถิ่นแห่งสก๊อตแลนด์'(COSLA)[164]

รัฐบาลท้องถิ่นในเวลส์ ประกอบด้วย 22 สำนักงาน เหล่านี้รวมถึง เมืองคาร์ดิฟฟ์, เมืองสวอนซี และเมืองนิวพอร์ต ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รวมในสิทธิของตนเอง[165] การเลือกตั้งจะมีขึ้นทุกสี่ปี ภายใต้ระบบ first-past-the-post[166] การเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมาถูกจัดขึ้นเมื่อเดิอนพฤษภาคม 2012, ยกเว้นสำหรับ เกาะแองเกิลซีย์ สมาคมรัฐบาลท้องถิ่นของเวลส์เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสำนักงานท้องถิ่นในเวลส์[167]

รัฐบาลท้องถิ่นในไอร์แลนด์เหนือถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1973 ให้เป็น 26 เทศบาลเขต แต่ละเขตถูกเลือกตั้งโดยการออกเสียงแบบโอนคะแนนได้ครั้งเดียว อำนาจของเทศบาลเขตจะถูกจำกัดให้ทำงานบริการเช่น การเก็บของเสีย, การควบคุมสุนัขและการบำรุงรักษาสวนสาธารณะและสุสาน[168] เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2008 ผู้บริหารเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะสร้าง 11 เทศบาลใหม่และแทนที่ระบบที่ใช้อยู่ในตอนนั้น[169] การเลือกตั้งท้องถิ่นถูกเลื่อนออกไปจนถึงปี 2016 เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องนี้[170]

เขตสังกัด

ภาพของทะเลแคริบเบียนที่มองจากหมู่เกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์การเงินระหว่างประเทศ[171] และสถานที่ท่องเที่ยว[172]ที่สำคัญของโลก

สหราชอาณาจักรมีอำนาจอธิปไตยเหนือสิบเจ็ดดินแดนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร. สิบสี่เป็นดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ[173] และสามเป็นเมืองขึ้นของพระมหากษัตริย์ (Crown Dependencies)[174]

สิบสี่ดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษมีดังนี้: แองกวิลลา; เบอร์มิวดา; บริติชแอนตาร์กติกเทร์ริทอรี; บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี; หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน; หมู่เกาะเคย์แมน; หมู่เกาะฟอล์กแลนด์; ยิบรอลตาร์; มอนต์เซอร์รัต; เซนต์เฮเลนา อัสเซนชันและตริสตันดากูนยา; หมู่เกาะเติร์กและเคคอส; หมู่เกาะพิตแคร์น; เซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช; และฐานทัพอำนาจอธิปไตยไซปรัส[175] การอ้างสิทธิ์ของอังกฤษในทวีปแอนตาร์กติกา ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง[176] เมื่อรวมกันแล้ว ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,600,000 ตารางกิโลเมตร (640,000 ตารางไมล์)[177] และมีประชากรประมาณ 250,000 คน[178] พวกเขามีเศษที่เหลือของจักรวรรดิอังกฤษและหลายที่ได้รับการโหวตโดยเฉพาะที่จะยังคงเป็นดินแดนของอังกฤษ (เบอร์มิวดาในปี 1995, ยิบรอลตาร์ในปี 2002 และหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ในปี 2013)[179]

เมืองขึ้นของพระมหากษัตริย์เป็นดินแดนของกษัตริย์อังกฤษ ที่ตรงข้ามกับดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร[180] ประกอบด้วยเกาะช่องแคบ Bailiwicks ของเจอร์ซีย์และเกิร์นซีย์ ในช่องแคบอังกฤษ และเกาะแมนในทะเลไอริช. เขตอำนาจถูกบริหารอย่างเป็นอิสระ, ดินแดนเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรหรือของสหภาพยุโรป, ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรจะจัดการด้านการต่างประเทศและการทหารโดยตรง และ รัฐสภาสหราชอาณาจักรมีอำนาจในการออกกฎหมายในนามของพระปรมาภิไธย อำนาจที่จะผ่านกฎหมายที่มีผลกระทบต่อหมู่เกาะเหล่านี้ท้ายที่สุด อยู่ในสภานิติบัญญัติของตัวเอง, ตามการยอมรับของพระมหากษัตริย์ (องคมนตรี, หรือในกรณีของเกาะแมน ในบางกรณีเป็น Lieutenant-Governor)[181] ตั้งแต่ปี 2005 แต่ละเมืองได้มีหัวหน้ารัฐมนตรี เป็นหัวหน้าของรัฐบาล[182]

เศรษฐกิจ

สหราชอาณาจักรมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี โดยมีขนาดเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก และสูงเป็นอันดับที่ 3 รองจากเยอรมนีและฝรั่งเศสในยุโรป โดยวัดจาก GDP โดยสหราชอาณาจักรมีธนาคารกลางที่ชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่ในการออกธนบัตร และเหรียญในสกุลปอนด์สเตอร์ลิง

โครงสร้างเศรษฐกิจ

ภาคบริการของสหราชอาณาจักรมีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 73%[183] โดยมีกรุงลอนดอนเป็นศูนย์กลางการเงินโลกขนาดใหญ่ เทียบเคียงได้กับนิวยอร์กซิตี้ และยังเป็นเมืองที่มี GDP สูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย นอกจากนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจ เพราะมีนักท่องเที่ยวถึง 27 ล้านคนเดินทางมาสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2547

สถานการณ์สำคัญ

การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มต้นที่สหราชอาณาจักรในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตามด้วยอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมการต่อเรือ เหมืองถ่านหิน และการผลิตเหล็กกล้า

การท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างมาก ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังสหราชอาณาจักรสูงถึง 27 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2547 นอกจากนี้สหราชอาณาจักรยังถูกจัดให้เป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวอันดับที่ 6[184] ของโลก

โครงสร้างพื้นฐาน

การขนส่ง

อาคารเทอร์มินอล 5 ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ มีผู้โดยสารต่างประเทศมากที่สุดของสนามบินใด ๆ ในโลก[185][186]

เครือข่ายถนนรัศมี รวม 29,145 ไมล์ (46,904 กิโลเมตร) ของถนนสายหลัก, 2,173 ไมล์ (3,497 กิโลเมตร) มอเตอร์เวย์, และ 213,750 ไมล์ (344,000 กิโลเมตร) ถนนสายย่อย[32] ในปี 2009 มียานพาหนะจดทะเบียนทั้งหมด 34 ล้านคันในประเทศสหราชอาณาจักร[187] สหราชอาณาจักรมีเครือข่ายรถไฟระยะทาง 10,072 ไมล์ (16,209 กิโลเมตร) ในสหราชอาณาจักรและ 189 ไมล์ (304 กิโลเมตร) ในไอร์แลนด์เหนือ รถไฟไอร์แลนด์เหนือจะดำเนินการโดยการรถไฟ NI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Translink ที่รัฐเป็นเจ้าของ ในสหราชอาณาจักร เครือข่ายรถไฟของอังกฤษ ถูกแปรรูประหว่าง ปี 1994 และ 1997. เครือข่ายรถไฟส่วนใหญ่เป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารสินทรัพย์ถาวร(ราง, สัญญาณ ฯลฯ) ประมาณ 20 บริษัทเอกชนที่ ดำเนินงานเดินรถไฟ (รวมทั้ง East Coast ที่รัฐเป็นเจ้าของ) ทำงานเดินรถไฟโดยสาร และเดินรถกว่า 18,000 รถไฟโดยสารทุกวัน นอกจากนี้ยังมีประมาณ 1,000 รถไฟบรรทุกสินค้าเดินรถทุกวัน[32] รัฐบาลสหราชอาณาจักรใช้จ่าย 30 พันล้าน £ สำหรับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายใหม่, HS2, เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ในปี 2025[188] ระบบ Crossrail ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในกรุงลอนดอนจะเป็นโครงการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป ด้วยค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ที่ 15 พันล้าน £[189][190]

ในปีเริ่มตุลาคม 2009 ถึงกันยายน 2010 สนามบินในสหราชอาณาจักรให้บริการผู้โดยสารรวม 211.4 ล้านคน[191] ในช่วงเวลานั้น สามสนามบินที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ สนามบิน London Heathrow (ผู้โดยสาร 65.6 ล้านคน) สนามบินแก็ตวิก (ผู้โดยสาร 31.5 ล้านคน) และ สนามบินลอนดอนสแตนสเตด (ผู้โดยสาร 18.9 ล้านคน)[191] สนามบิน London Heathrow ตั้งอยู่ 15 ไมล์ (24 กิโลเมตร ) ทางตะวันตกของเมืองหลวง มีผู้โดยสารต่างประเทศมากที่สุดของสนามบินใด ๆ ในโลก[185][186] และเป็นศูนย์กลางสำหรับ British Airways ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับ BMI และ เวอร์จินแอตแลนติก[192]

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชาร์ลส์ ดาร์วิน (1809–1882) ผู้ที่ทฤษฎีวิวัฒนาการการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ทางชีวภาพสมัยใหม่​​

อังกฤษและสกอตแลนด์เคยเป็นศูนย์กลางในการเป็นผู้นำการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17[193] และสหราชอาณาจักรได้เป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมจากศตวรรษที่ 18 [194] และต่อมาก็ยังคงผลิตนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ได้รับการยกย่องกับความก้าวหน้าที่สำคัญ ๆ ของวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [195] นักทฤษฎีสำคัญ ๆ จากศตวรรษที่ 17 และ 18 รวมถึง ไอแซก นิวตัน ซึ่งกฎการเคลื่อนที่และแรงโน้มถ่วงของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่,[196] จากศตวรรษที่ 19 ชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนาของชีววิทยาที่ทันสมัย ​​และเจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ ผู้ตั้งสูตรทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าแบบคลาสสิก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ สตีเฟ่น ฮอว์คิง ผู้สร้างความก้าวหน้าด้านทฤษฎีที่สำคัญในสาขาของจักรวาล, แรงโน้มถ่วงควอนตัมและการตรวจสอบหลุมดำ[197] การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญนับจากศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วย ไฮโดรเจนโดยเฮนรี คาเวนดิช [198] ยาปฏิชีวนะในศตวรรษที่ 20 โดยอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง,[199] และโครงสร้าง ดีเอ็นเอ โดยฟรานซิส คริก เป็นต้น [200] โครงการวิศวกรรมและการนำไปประยุกต์ใช้งานขนาดใหญ่โดยคนในสหราชอาณาจักรในศตวรรษที่ 18 รวมถึง หัวรถจักรไอน้ ซึ่งพัฒนาโดย ริชาร์ด ทรีวิธิค และ แอนดรู วิเวียน, [201] จากศตวรรษที่ 19 มอเตอร์ไฟฟ้าโดยไมเคิล ฟาราเดย์, หลอดไฟใช้ไส้ โดยโจเซฟ สวอน,[202] และโทรศัพท์ ในทางปฏิบัติตัวแรกที่จดสิทธิบัตรโดย อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์, [203] และ ในศตวรรษที่ 20 ระบบโทรทัศน์ที่ทำงานได้ครั้งแรกของโลกโดยจอห์น โลจี เบร์ด เป็นต้น [204] เครื่องยนต์เจ็ทโดยแฟรงก์ วิตเทิล, พื้นฐานของคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย​โดยอลัน ทัวริง และ เวิลด์ไวด์เว็บ โดยทิม เบอร์เนิร์ส-ลี [205] การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ที่มี การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์จำนวนมากเพื่ออำนวยความสะดวกการผลิตและการทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม[206] ระหว่างปี ค.ศ. 2004 - 2008 สหราชอาณาจักรได้ผลิตงาน 7% ของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของโลก และมีส่วนแบ่ง 8% ของการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์เป็นอันดับที่สาม ซึ่งเป็นอันดับสามและอันดับสองที่สูงที่สุดในโลก (รองจากสหรัฐฯ และจีน, และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ)[207] วารสารทางวิทยาศาสตร์ที่ผลิตขึ้นในสหราชอาณาจักร รวมถึง ธรรมชาติ, วารสารการแพทย์อังกฤษ และมีดสำหรับการแพทย์[208]

พลังงาน

สถานีขุดเจาะน้ำมันในทะเลเหนือ

ในปี 2006 สหราชอาณาจักรเป็นผู้บริโภคพลังงานอันดับที่เก้าและผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุดอันดับที่ 15 ของโลก[209] สหราชอาณาจักรเป็นที่ตั้งของหลายบริษัท พลังงานขนาดใหญ่รวมทั้งสองในหก "supermajors" บริษัทน้ำมันและก๊าซ - BPและรอยัลดัตช์ เชลล์  และกลุ่ม BG[210][211] ในปี 2011, 40% ของกระแสไฟฟ้าของสหราชอาณาจักรผลิตโดยก๊าซ, 30% โดยถ่านหิน, 19% โดยพลังงานนิวเคลียร์ และ 4.2% โดยลม, น้ำ, เชื้อเพลิงชีวภาพและของเสีย[212]

ในปี 2013 สหราชอาณาจักรผลิตน้ำมัน 914,000 บาร์เรลต่อวัน และบริโภค 1.507 ล้านบาร์เรล/วัน[213][214] การผลิตในขณะนี้ลดลง และสหราชอาณาจักรได้กลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิตั้งแต่ปี 2005[215] ในปี 2010 สหราชอาณาจักรมีประมาณ 3.1 พันล้านบาเรลล์ของปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้ว, ใหญ่ที่สุดในระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป[215] ในปี 2009, 66.5 % ของอุปทานน้ำมันของสหราชอาณาจักรถูกนำเข้า[216]

ในปี 2009 สหราชอาณาจักรเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป[217] การผลิตขณะนี้ลดลงและสหราชอาณาจักรได้กลายเป็นผู้นำเข้าสุทธิก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ปี 2004[217] ในปี 2009, ครึ่งหนึ่งของก๊าซที่อังกฤษใช้มาจากการนำเข้าและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 75% ในปี 2015 เนื่องจากปริมาณสำรองในประเทศได้หมดลง[212]

การผลิตถ่านหินมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในศตวรรษที่ 19 และ 20 ในกลางปี 1970s, ถ่านหิน 130 ล้านตันถูกผลิตเป็นประจำทุกปี, ไม่ตกต่ำกว่า 100 ล้านตันจนถึงช่วงต้นปี 1980 ในช่วงปี 1980s และ 1990s อุตสาหกรรมเป็นสัดส่วนกลับทางอย่างมาก ในปี 2011 สหราชอาณาจักรผลิตถ่านหิน 18.3 ล้านตัน[218] ในปี 2005 ปริมาณสำรองถ่านหินได้รับการพิสูจน์ว่ามีประมาณ 171 ล้านตัน[218] สำนักงานถ่านหินสหราชอาณาจักรได้ระบุว่ามีศักยภาพในการผลิตถ่านหินระหว่าง 7 พันล้านตันถีง 16 พันล้านตันด้วยวิธีการ เปลี่ยนถ่านหินใต้ดินให้เป็นก๊าซ (อังกฤษ: underground coal gasification หรือ (UCG) หรือ 'fracking',[219] และว่า, บนพื้นฐานของการบริโภคถ่านหินปัจจุบันของสหราชอาณาจักร, ปริมาณสำรองดังกล่าวสามารถใช้ได้ถึงระหว่าง 200 ถึง 400 ปี[220] อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ถูกกล่าวถึงเกี่ยวกับสารเคมีที่ได้รับลงในแหล่งน้ำและการเกิดแผ่นดินไหว เล็กน้อยที่จะสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน[221][222]

ในปลายปี 1990s โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้มีส่วนร่วมประมาณ 25 % จากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ประจำปีในสหราชอาณาจักร แต่ตอนนี้ค่อย ๆ ลดลงเมื่อโรงไฟฟ้าเก่าถูกปิดตัวลง และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเก่าแก่ได้ส่งผลกระทบต่อความพร้อมในการทำงานของโรงไฟฟ้า ในปี 2012 สหราชอาณาจักรมีเครื่องปฏิกรณ์ 16 ตัว ตามปกติจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 19% ของทั้งหมด แต่หนึ่งในเครื่องปฏิกรณ์จะเกษียณอายุราชการในปี 2023 ซึ่งแตกต่างจากประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักรมีความตั้งใจที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นใหม่เริ่มจากประมาณปี 2018[212]

การศึกษา

คิงส์คอลเลจ, ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1209

การศึกษาในสหราชอาณาจักรเป็นเรื่องการกระจายอำนาจ ซึ่งแต่ละประเทศมีระบบการศึกษาที่แยกจากกัน

ในขณะที่การศึกษาในประเทศอังกฤษเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, การบริหารวันต่อวัน และการระดมทุนของโรงเรียนของรัฐเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น[223] การศึกษาของรัฐแบบถ้วนหน้า ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายได้รับการแนะนำทีละน้อยระหว่างปี 1870 ถึงปี 1944[224][225] ปัจจุบัน การศึกษาจะเป็นภาคบังคับจากวัย 5-16 (15 ถ้าเกิดหลังกรกฎาคมหรือสิงหาคม) ในปี 2011 แนวโน้มในการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศและวิทยาศาสตร์ (TIMSS) ที่จัดให้นักเรียนอายุ 13-14 ปีในอังกฤษและเวลส์เป็นอันดับ 10 ในโลกสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ และอันดับ 9 สำหรับวิทยาศาสตร์[226] ส่วนใหญ่ของเด็กได้รับการศึกษาในโรงเรียนภาครัฐ, ส่วนเล็ก ๆ ของเด็กเหล่านั้นเลือกบนพื้นฐานของความสามารถทางวิชาการ อัตราส่วน 2 ใน 10 สุดยอดของโรงเรียนที่มีการดำเนินการในแง่ของผลการสอบเทียบในปี 2006 เป็นโรงเรียนของรัฐที่เน้นทางด้านวิชาการ กว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของอ๊อกฟอร์ด และเคมบริดจ์ได้มาจากโรงเรียนของรัฐ[227] แม้จะมีการลดลงในจำนวนที่เกิดขึ้นจริง สัดส่วนของเด็กในประเทศอังกฤษที่เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 7%[228] ในปี 2010 กว่า 45% ของที่เรียนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และ 40% ที่มหาวิทยาลัย เคมบริดจ์มาจากนักเรียนจากโรงเรียนเอกชน ถึงแม้ว่าพวกเขาได้เข้าเรียนเพียง 7% ของประชากร[229] มหาวิทยาลัยของอังกฤษอยู่ในหมู่ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก, มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน และ อิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนถูกจัดอยู่ในระดับโลก 10 อันดับแรกในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกปี 2010 โดย QS, เคมบริดจ์เป็นอันดับแรก[230]โรงเรียน การศึกษา ภาคฤดูร้อน Lite Regal Education มีให้เลือกมากมายซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 13-18 มีโอกาสเรียนรู้และเรียนรู้ในช่วงฤดูร้อน ในวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของเคมบริดจ์ หรือมหาวิทยาลัยลอนดอน

Queen's University Belfast ที่สร้างขึ้นในปี 1849[231]

การศึกษาในประเทศสกอตแลนด์ เป็นความรับผิดชอบของเลขาธิการรัฐมนตรีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีการบริหารงานแบบวันต่อวัน และการระดมทุนของโรงเรียนของรัฐเป็น ความรับผิดชอบของหน่วยงานท้องถิ่น สองหน่วยงานที่ไม่ใช่แผนกสาธารณะมีบทบาทสำคัญในการศึกษาของสกอตแลนด์ หน่วยงานคณสมบัติของสกอต เป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนา, ให้การรับรอง, การประเมิน และประกาศนียบัตรรับรองคุณสมบัติอื่น ๆ นอกเหนือจากปริญญาบัตร ซึ่งจะถูกส่งไปที่โรงเรียนมัธยม, วิทยาลัยหลังมัธยมของการศึกษาต่อเนื่องและศูนย์อื่น ๆ[232] หน่วยงานการเรียนการสอนสกอตแลนด์ให้คำแนะนำ, การพัฒนาทรัพยากรและพนักงานให้เป็นมืออาชีพทางการศึกษา[233] สก็อตแลนด์ได้ออกกฎหมายครั้งแรกสำหรับการศึกษาภาคบังคับในปี 1496[234] สัดส่วนของเด็กในสก็อตแลนด์ที่เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนมีเพียง 4% และได้เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา[235] นักเรียนสก็อตที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของสก็อตไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียนหรือค่าใช้จ่ายการบริจาคบัณฑิต (อังกฤษ: graduate endowment charges) เมื่อค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ถูกยกเลิกในปี 2001 และโครงการบริจาคบัณฑิตถูกยกเลิกในปี 2008[236] มหาวิทยาลัย แห่งสก็อตแลนด์อยู่ในกลุ่มของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก, มหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระ, มหาวิทยาลัยแห่งกลาสโกว์ และ มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรู ทั้งหมดอยู่ในอันดับ 100 สูงสุดในโลกในการอันดับมหาวิทยาลัยโลกปี 2012 โดย OS, ที่มีมหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระ อยู่ในอันดับที่ 21[237]

รัฐบาลเวลส์มีความรับผิดชอบในการศึกษาในเวลส์ นักเรียนของเวลส์จำนวนมากได้รับการสอนทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ในภาษาเวลส์; บทเรียนในภาษาเวลส์เป็นภาคบังคับสำหรับนักเรียนทุกคน จนอายุ 16[238] มีหลายแผนที่จะเพิ่มการให้โรงเรียนใช้สื่อการเรียนการสอนภาษาเวลส์เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการสร้างเวลส์ให้เป็นแบบสองภาษาอย่างเต็มที่ โดยต้องการเพิ่มจำนวนผู้เรียนในโรงเรียนดังกล่าวจาก 22% ในปี พ.ศ. 2560 เป็น 40% เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593[239]

การศึกษาในไอร์แลนด์เหนือเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการจ้างงานและการเรียนรู้, ถึงแม้ว่าความรับผิดชอบในระดับท้องถิ่นจะมีการบริหารงานโดยมี 5 คณะกรรมการการศึกษาและห้องสมุด ซึ่งครอบคลุมหลายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน สภาหลักสูตร, การสอบและการประเมิน (CCEA) เป็นคณะทำงานที่รับผิดชอบในการให้คำแนะนำรัฐบาลในสิ่งที่ควรจะสอนในโรงเรียนของไอร์แลนด์เหนือ, การตรวจสอบมาตรฐานและการตัดสินคุณสมบัติ[240]

การสาธารณสุข

โรงพยาบาลเด็กรอยัลอเบอร์ดีน เป็นโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางกุมารเวชในสกอตแลนด์

การดูแลสุขภาพในสหราชอาณาจักรเป็นเรื่องของการกระจายอำนาจ และแต่ละประเทศจะมี ระบบของตัวเองในการดูแลสุขภาพส่วนตัวและการอุดหนุนทางการเงินสาธารณะ, ร่วมกับการรักษาแบบทางเลือก, องค์รวมและแบบเพิ่มเติม การดูแลสุขภาพของประชาชนมีให้กับทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรอย่างถาวรและ ส่วนใหญ่จะฟรีที่จุดของความจำเป็น, ที่ถูกจ่ายเงิน จากภาษีอากรทั่วไป องค์การอนามัยโลก, ในปี 2000, จัดอันดับการดูแลสุขภาพในสหราชอาณาจักรเป็นที่สิบห้าที่ดีที่สุดในยุโรปและที่สิบแปดในโลก[241][242]

หน่วยงานกำกับดูแลถูกจัดองค์กรบนพื้รฐานของสหราชอาณาจักรในวงกว้าง เช่น สภาแพทย์ทั่วไป, สภาการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และด้านเอกชน เช่น ราชวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบทางการเมืองและการดำเนินงานสำหรับการดูแลสุขภาพขึ้นอยู่กับสี่ผู้บริหารระดับสูงแห่งชาติได้แก่ การดูแลสุขภาพในประเทศอังกฤษเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลสหราชอาณาจักร; การดูแลสุขภาพในไอร์แลนด์เหนือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารไอร์แลนด์เหนือ; การดูแลสุขภาพในสกอตแลนด์เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลสกอตแลนด์; และการดูแลสุขภาพในเวลส์เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลสภาเวลส์ แต่ละบริการสุขภาพแห่งชาติมีนโยบายและความสำคัญเร่งด่วนที่แตกต่างกัน ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งหลายครั้ง[243][244]

ตั้งแต่ปี 1979 ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ที่จะนำมันไปใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป[245] สหราชอาณาจักรใช้ประมาณ 8.4 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็น 0.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาและ ประมาณ 1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป[246]

ประชากรศาสตร์

เขตเมือง

ประชากร

เชื้อสาย จำนวน % ของทั้งหมด
อังกฤษ (ผิวขาว) 50,366,497 85.67%
ผิวขาว (อื่น ๆ) 3,096,169 5.27%
อินเดีย 1,053,411 1.8%
ปากีสถาน 747,285 1.3%
ผสม 677,117 1.2%
ไอร์แลนด์ (ผิวขาว) 691,232 1.2%
แคริบเบียน (ผิวสี) 565,876 1.0%
แอฟริกา (ผิวสี) 485,277 0.8%
บังกลาเทศ 283,063 0.5%
เอเชีย (ไม่ใช่จีน) 247,644 0.4%
จีน 247,403 0.4%
อื่น ๆ 230,615 0.4%
ผิวสี (อื่น ๆ) 97,585 0.2%

จากการสำรวจสำมะโนครัวของสหราชอาณาจักรในเดือนเมษายน พ.ศ. 2544 สหราชอาณาจักรมีประชากร 58,789,194 คน โดยมากเป็นอันดับที่ 3 ของสหภาพยุโรป และอันดับ 21 ของโลก ในปีพ.ศ. 2547 สำนักงานสถิติแห่งชาติประมาณการจำนวนประชากรที่ 59,834,300 คน[250] และเพิ่มเป็น 60.2 ล้านคนในอีกสองปีต่อมา โดยการเพิ่มจำนวนประชากรส่วนใหญ่มาจากการอพยพเข้าประเทศ อัตราการเกิดที่สูงขึ้น และอายุขัยที่ยาวนานขึ้น[251]

สหราชอาณาจักรมีความหนาแน่นของประชากรสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมดอาศัยอยู่ในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ ซึ่งมีสภาพทางเศรษฐกิจที่ดี และส่วนใหญ่เป็นเขตเมืองหรือชานเมือง[252] ประชากรประมาณ 7.5 ล้านคนอาศับอยู่ในกรุงลอนดอน[253] สหราชอาณาจักรมีอัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรสูงถึง 99% เป็นผลมาจากการศึกษาของรัฐทั่วประเทศ[254] การศึกษาภาคบังคับมีสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 5 ถึง 16 ปี

ภาษา

สหราชอาณาจักรไม่มีภาษาทางการ ภาษาที่พูดกันเป็นส่วนใหญ่คือภาษาอังกฤษ[255] ซึ่งเป็นภาษากลุ่มเจอร์มานิกตะวันตก พัฒนามาจากภาษาอังกฤษเก่า ภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ภาษาสกอต และภาษากลุ่มแกลิกและบริทโทนิก (เป็นกลุ่มภาษาย่อยของกลุ่มภาษาเคลติก) เช่นภาษาเวลส์ ภาษาคอร์นิช ภาษาไอริช และภาษาสกอตติชแกลิก

ภาษาอังกฤษได้แพร่กระจายไปทั่วโลก จากอิทธิพลของจักรวรรดิบริเตนในอดีตและสหรัฐในปัจจุบัน ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองที่สอนกันมากที่สุดในโลก[256] ภาษากลุ่มเคลติกของสหราชอาณาจักรก็มีพูดกันในกลุ่มเล็ก ๆ หลายแห่งในโลก เช่น ภาษาแกลิกในประเทศแคนาดา และภาษาเวลส์ในประเทศอาร์เจนตินา

ในระยะหลังนี้ ผู้อพยพ โดยเฉพาะจากประเทศในเครือจักรภพ ได้นำภาษาอื่นหลายภาษาเข้ามาในสหราชอาณาจักร เช่น ภาษาคุชราต ภาษาฮินดี ภาษาปัญจาบ ภาษาอูรดู ภาษาเบงกอล ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาตุรกี และภาษาโปแลนด์ โดยสหราชอาณาจักรมีจำนวนผู้พูดภาษาฮินดี ปัญจาบ และเบงกอลสูงที่สุดนอกทวีปเอเชีย

ศาสนา

มหาวิหารแคนเทอร์เบอรี คริสต์ศาสนสถานอันสำคัญของสหราชอาณาจักร

คริสต์ศาสนาเข้าสู่เกาะบริเตนครั้งแรกโดยชาวโรมัน ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรยังคงมีสถานะเป็นประเทศคริสต์อย่างเป็นทางการ พระประมุขจะต้องเป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนา และสถาปนาโดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ร้อยละ 72 ของประชากรในสหราชอาณาจักรประกาศตัวเป็นคริสต์ศาสนิกชน[257] แต่ละชาติในสหราชอาณาจักรมีขนบธรรมเนียมทางศาสนาของตนเอง

สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 1 ส่งนักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรีไปยังอังกฤษในปี พ.ศ. 1140 โดยออกัสตินดำรงตำแหน่งอาร์ชบิชอปคนแรกแห่งแคนเทอร์เบอรี คริสตจักรของอังกฤษแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกในปี พ.ศ. 2077 ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ปัจจุบันคริสตจักรแห่งอังกฤษเป็นคริสตจักรประจำชาติของอังกฤษ และเป็นคริสตจักรแม่ของคริสตจักรทั้งหลายที่สังกัดแองกลิคันคอมมิวเนียนทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบิชอปของคริสตจักรเป็นสมาชิกของสภาขุนนางด้วย กษัตริย์ของสหราชอาณาจักรจำเป็นต้องเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งอังกฤษ และเป็นผู้ดูแลสูงสุดด้วย ผู้นับถือคริสต์ศาสนนิกายโรมันคาทอลิกไม่มีสิทธิที่จะดำรงตำแหน่งกษัตริย์ได้

คริสตจักรแห่งสกอตแลนด์ แยกตัวออกมาจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกในปี พ.ศ. 2103 โดยปัจจุบันเป็นคริสตจักรในนิกายเพรสไบทีเรียน และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐแม้ว่าจะมีสถานะเป็นคริสตจักรประจำชาติของสกอตแลนด์ กษัตริย์ของสหราชอาณาจักรมีสถานะเป็นสมาชิกทั่วไป และจำเป็นต้องสาบานที่จะ "ปกป้องความมั่นคง" ของคริสตจักรในพระราชพิธีราชาภิเษก

ในปีพ.ศ. 2463 คริสตจักรในเวลส์แยกตัวออกมาจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ และได้ออกจากสถานะความเป็นคริสตจักรจัดตั้งของรัฐ แต่ยังคงเป็นสมาชิกของแองกลิคันคอมมิวเนียนอยู่ คริสตจักรแห่งไอร์แลนด์ซึ่งเป็นคริสตจักรแองกลิคัน ได้ยกเลิกความเป็นคริสตจักรจัดตั้งในปีพ.ศ. 2412 โดยคริสตจักรแห่งไอร์แลนด์ครอบคลุมเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมด ทั้งในส่วนของแคว้นไอร์แลนด์เหนือและสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ในไอร์แลนด์เหนือ นิกายโรมันคาทอลิกเป็นนิกายศาสนาเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด แต่น้อยกว่านิกายโปรเตสแตนต์ต่าง ๆ เมื่อรวมกัน คริสตจักรเพรสไบทีเรียนในไอร์แลนด์เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และมีความเกี่ยวข้องกับคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์ในทางประวัติศาสตร์และเทววิทยา

เทวสถานฮินดูในกรุงลอนดอน เป็นเทวสถานฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป

คริสตจักรโรมันคาทอลิกเป็นนิกายคริสต์ศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหราชอาณาจักร หลังจากการปฏิรูปศาสนา มีการออกกฎหมายต่อต้านคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกอย่างเข้มงวด กฎหมายต่อต้านเหล่านี้ยกเลิกไปจากกฎหมายหลายฉบับซึ่งปลดปล่อยคาทอลิกในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24

กลุ่มคริสต์ศาสนาอื่น ๆ ในสหราชอาณาจักรประกอบไปด้วย กลุ่มนิกายเมทอดิสต์ ก่อตั้งโดยจอห์น เวสลีย์ และกลุ่มแบปติสต์ นอกจากนี้ ยังมีโบสถ์นิกายอิวานจิลิคัลหรือเพนโทคอทัลมากขึ้นเรื่อย โดยส่วนมากมาจากการอพยพของประชากรจากประเทศในเครือจักรภพ สหราชอาณาจักรในปัจจุบันมีความหลากหลายทางด้านศาสนาค่อนข้างสูง คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดูมีศาสนิกชนจำนวนมาก ในขณะที่ศาสนาซิกข์และศาสนายูดาห์มีศาสนิกชนจำนวนรองลงมา ร้อยละ 14.6 ของประชากรประกาศตัวว่าไม่นับถือศาสนาใด ๆ

เชื่อกันว่ามีชาวมุสลิมถึง 1.8 ล้านคนในสหราชอาณาจักร ซึ่งจำนวนมากอาศัยอยู่ในลอนดอน เบอร์มิงแฮม แบรดฟอร์ด และโอลด์แฮม[258] โดยในปัจจุบันสามารถเห็นมัสยิดได้ทั่วไปในหลายภาคของสหราชอาณาจักร ชาวมุสลิมในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่มีเชื้อสายปากีสถาน อินเดีย และบังคลาเทศ ในระยะหลัง ผู้อพยพจากโซมาเลียและตะวันออกกลางได้เพิ่มจำนวนชาวมุสลิมในสหราชอาณาจักร ในปีพ.ศ. 2549 การให้สัมภาษณ์ของแจ็ก สตรอว์ ผู้นำเฮาส์ออฟคอมมอนส์ ได้ก่อเกิดความขัดแย้งในเรื่องของผ้าคลุมศีรษะของชาวมุสลิม โดยสะท้อนให้เห็นฝ่ายชาวสหราชอาณาจักรที่เห็นว่าศาสนาอิสลามไม่สามารถเข้ากับสังคมสหราชอาณาจักรได้ และอีกกลุ่มที่พอใจกับศาสนาอิสลามในสหราชอาณาจักร[259] ศาสนาที่มีต้นกำเนิดจากอินเดีย เช่น ศาสนาฮินดู และ ศาสนาซิกข์ ก็มีขยายใหญ่ขึ้นในสหราชอาณาจักรเช่นกัน โดยมีชาวฮินดูมากกว่า 500,000 คน และชาวซิกข์ถึง 320,000 คน[260] โดยปัจจุบันน่าจะเพิ่มขึ้นจากตัวเลขนี้ ซึ่งมาจากการสำรวจในปีพ.ศ. 2544 ในเมืองเลสเตอร์มีศาสนสถานของศาสนาเชน ซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลกที่อยู่นอกประเทศอินเดีย

กีฬา

สนามกีฬาเวมบลีย์, ลอนดอน สนามเหย้าของทีมฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เป็นสนามที่มีมูลค่าในการก่อสร้างสูงที่สุดแห่งหนึ่ง[261]

กีฬาฟุตบอล, เทนนิส, รักบี้ยูเนียน, รักบี้ลีก, กอล์ฟ, กีฬามวย, เน็ตบอล, พายเรือกรรเชียง และคริกเก็ต มีต้นกำเนิดหรือได้รับการพัฒนาอย่างมากในสหราชอาณาจักรโดยมีกฎและกติกาของกีฬาสมัยใหม่หลายประเภทที่คิดค้นและประมวลขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในยุควิกตอเรียของสหราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. 2555 ฌัก โรคเคอ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากลกล่าวว่า "ประเทศที่ยิ่งใหญ่และรักกีฬาแห่งนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นแหล่งกำเนิดของกีฬาสมัยใหม่ ที่นี่แนวคิดเรื่องความมีน้ำใจนักกีฬาและการเล่นที่ยุติธรรมได้รับการประมวลเป็นกฎระเบียบที่ชัดเจน และที่นี่กีฬาถูกรวมไว้เป็นเครื่องมือทางการศึกษาหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียน"[262][263]

วัฒนธรรม

วัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ได้แก่ สถานะของประเทศที่เป็นเกาะ, ประวัติศาสตร์ของประเทศในฐานะประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบตะวันตกและความเป็นมหาอำนาจ เช่นเดียวกับการเป็นสหภาพทางการเมืองของสี่ประเทศ โดยแต่ละประเทศยังคงรักษาองค์ประกอบของจารีตประเพณีและสัญลักษณ์ที่โดดเด่น ผลจากจักรวรรดิอังกฤษทำให้อิทธิพลของอังกฤษสามารถสังเกตเห็นได้ในภาษาวัฒนธรรม และระบบกฎหมายของอาณานิคมในอดีตหลายแห่ง ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, อินเดีย, ไอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, ปากีสถาน, แอฟริกาใต้ และสหรัฐ ซึ่งวัฒนธรรมสามัญที่มีร่วมกันในวันนี้เรียกว่า Anglosphere อิทธิพลทางวัฒนธรรมที่สำคัญของสหราชอาณาจักร ทำให้สหราชอาณาจักรได้รับคำจำกัดความว่าเป็น "มหาอำนาจทางวัฒนธรรม"[264][265] การสำรวจความคิดเห็นทั่วโลกโดย BBC พบว่าสหราชอาณาจักรติดอันดับประเทศที่มีการมองในแง่บวกมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก (รองจากเยอรมนี และแคนาดา) ในปี พ.ศ. 2556 และ 2557[266][267]

วรรณกรรม

ภาพเหมือนชานดอส ซึ่งเชื่อกันว่าบุคคลในภาพคือ วิลเลียม เชกสเปียร์

"วรรณคดีอังกฤษ" หมายถึงวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับสหราชอาณาจักร, ไอล์ออฟแมน และหมู่เกาะแชนเนล วรรณคดีอังกฤษส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2548 มีการตีพิมพ์หนังสือ 206,000 เล่มในสหราชอาณาจักรและในปี พ.ศ. 2549 เป็นประเทศผู้จัดพิมพ์หนังสือที่มากที่สุดในโลก[268]

วิลเลียม เชกสเปียร์ นักเขียนบทละครและกวีชาวอังกฤษได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักเขียนบทละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[269][270] และนักเขียนร่วมสมัยของเขา คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ และเบนจามิน จอนสัน ก็ได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

นักเขียนชาวอังกฤษยุคก่อนสมัยใหม่และยุคต้นที่มีชื่อเสียง เช่น เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (ศตวรรษที่ 14), เซอร์ทอมัส มอร์ (ศตวรรษที่ 16), จอห์น มิลตัน (ศตวรรษที่ 17), ในศตวรรษที่ 18 แดเนียล เดโฟ (ผู้เขียน โรบินสัน ครูโซ), ในศตวรรษที่ 19 นักประพันธ์กอทิก แมรี เชลลีย์, นักรณรงค์เพื่อสังคม ชาลส์ ดิกคินส์, นักสัจนิยม จอร์จ เอเลียต, กวี วิลเลียม เบลกและกวีโรแมนติก วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ นักเขียนชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ เอช. จี. เวลส์ นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์, เอ. เอ. มิลน์ (ผู้สร้าง วินนี่-เดอะ-พูห์), เวอร์จิเนีย วูล์ฟ นักเขียนแนวนวนิยม, นักเขียนนวนิยายแนวพยากรณ์ จอร์จ ออร์เวลล์, นักเขียนวรรณกรรมแนวอาชญากรรม อกาธา คริสตี (นักประพันธ์ที่ผลงานขายดีที่สุดตลอดกาล),[271] เอียน เฟลมมิง (ผู้เขียน เจมส์ บอนด์), นักเขียนแนวแฟนตาซี เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และ เจ. เค. โรว์ลิง, นักเขียนนิยายภาพ นีล ไกแมน

ภาพถ่ายของ ชาลส์ ดิกคินส์ นักประพันธ์ในยุควิกตอเรีย

ผลงานของสกอตแลนด์ เช่น งานของนักเขียนแนวนักสืบ อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ (ผู้สร้าง เชอร์ล็อก โฮล์มส์) วรรณกรรมโรแมนติกของ เซอร์วอลเตอร์ สก็อตต์, มหากาพย์การผจญภัยของ โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน โดยเอดินบะระเมืองหลวงของสกอตแลนด์ได้รับการประกาศ ให้เป็นเป็นเมืองแห่งวรรณกรรมของยูเนสโกเป็นแห่งแรกของโลก[272]

บทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของสหราชอาณาจักร Y Gododdin แต่งขึ้นในดินแดนโอลด์นอร์ท (เวลส์: Yr Hen Ogledd) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 6 เขียนด้วยภาษาคัมบริกหรือภาษาเวลส์เก่า และมีการอ้างอิงถึงกษัตริย์อาเธอร์ที่เก่าแก่ที่สุด[273] ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 7 การเชื่อมต่อระหว่างเวลส์และโอลด์นอร์ท ก็ขาดหายไป และจุดสนใจของวัฒนธรรมภาษาเวลส์ก็เปลี่ยนไปที่แคว้นเวลส์ ซึ่งตำนานของอาเธอร์ได้รับการพัฒนาต่อไปโดยเจฟฟรีย์แห่งมอนมัท (เวลส์: Sieffre o Fynwy)[274] กวีในยุคกลางที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวลส์ Dafydd ap Gwilym (มีชื่อเสียงระหว่าง ค.ศ. 1320–1370) ได้แต่งกวีนิพนธ์ในหัวข้อต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติ, ศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรัก เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นกวีชาวยุโรปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคของเขา[275] จนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 วรรณกรรมของเวลส์ส่วนใหญ่อยู่ในเวลส์ และร้อยแก้วส่วนใหญ่มีลักษณะทางศาสนา

มีนักเขียนหลายคนที่มีต้นกำเนิดจากนอกประเทศ แต่ย้ายไปยังสหราชอาณาจักรและได้กลายเป็นชาวบริติช เช่น โจเซฟ คอนราด,[276] ที. เอส. อีเลียต,[277] คาซุโอะ อิชิงุโระ[278] และเซอร์ซัลมัน รัชดี[279] คนอื่น ๆ เลือกที่จะอาศัยและทำงานในสหราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับสัญชาติอังกฤษ เช่น เอซรา ปอนด์[280][281] ในอดีตนักเขียนชาวไอริชจำนวนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่ไอร์แลนด์ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในอังกฤษเช่นกัน ได้แก่ ออสการ์ ไวลด์,[282][283] แบรม สโตกเกอร์[284] และจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์[285][286]

หมายเหตุ

  1. สหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นภาษาทางการในท้องถิ่นนั้น ๆ ตามกฎบัตรยุโรปว่าด้วยภาษาท้องถิ่นหรือภาษาชนกลุ่มน้อย ดังนั้นจึงมีชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศเป็นภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ดังนี้
  2. ไม่รวมดินแดนโพ้นทะเล 2 ดินแดน คือ ยิบรอลตาร์และบริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี
  3. ไม่รวมดินแดนโพ้นทะเลส่วนใหญ่
  4. นอกจากนี้ยังมีโดเมน .gb ด้วย แต่มีที่ใช้น้อย

อ้างอิง

  1. "List of declarations made with respect to treaty No. 148". Council of Europe. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-12. สืบค้นเมื่อ 12 December 2013.
  2. Demographic Yearbook – Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density (PDF) (Report). United Nations Statistics Division. 2012. สืบค้นเมื่อ 9 August 2015.
  3. "Surface water and surface water change". Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 11 October 2021.
  4. "2011 UK censuses". Office for National Statistics. สืบค้นเมื่อ 17 December 2012.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 "World Economic Outlook database: April 2021". International Monetary Fund. October 2021.
  6. "Inequality – Income inequality". us.oecd.org. OECD. สืบค้นเมื่อ 25 July 2021.
  7. "Human Development Report 2021/2022" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. 8 September 2022. สืบค้นเมื่อ 8 September 2022.
  8. "ประกาศสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 139 (พิเศษ 205 ง). 1 กันยายน 2565.
  9. "Great Britain | island, Europe". Encyclopedia Britannica.
  10. United Kingdom Permanent Committee on Geographical Names (May 2017). "Toponymic guidelines for the United Kingdom". GOV.UK. 10.2 Definitions. usually shortened to United Kingdom ... The abbreviation is UK or U.K.
  11. "United Kingdom". Encyclopedia Britannica.
  12. "Countries within a country". Prime Minister's Office. 10 January 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 September 2008. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  13. "Definition of Great Britain in English". Oxford University Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2013. สืบค้นเมื่อ 29 October 2014. Great Britain is the name for the island that comprises England, Scotland and Wales, although the term is also used loosely to refer to the United Kingdom.
  14. "Office for National Statistics". ons.gov.uk.
  15. The British Monarchy, "What is constitutional monarchy?". Retrieved 17 July 2013
  16. "United Kingdom" CIA The World Factbook. Retrieved 17 July 2013
  17. D. Clark (2022-01-17). "Largest UK cities 2020". Statista. สืบค้นเมื่อ 2022-02-27.
  18. 18.0 18.1 "Devolution of powers to Scotland, Wales and Northern Ireland". United Kingdom Government. สืบค้นเมื่อ 17 April 2013. In a similar way to how the government is formed from members from the two Houses of Parliament, members of the devolved legislatures nominate ministers from among themselves to comprise executives, known as the devolved administrations...
  19. "Country Overviews: United Kingdom". Transport Research Knowledge Centre. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2010. สืบค้นเมื่อ 28 March 2010.
  20. "Key facts about the United Kingdom". Directgov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 October 2012. สืบค้นเมื่อ 6 March 2015.
  21. "Supporting the Overseas Territories". Foreign and Commonwealth Office. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  22. Julian Go (2007). "A Globalizing Constitutionalism?, Views from the Postcolony, 1945–2000". ใน Arjomand, Saïd Amir (บ.ก.). Constitutionalism and political reconstruction. Brill. pp. 92–94. ISBN 978-90-04-15174-1.
  23. Ferguson 2004, p. 307.
  24. "World Population Prospects – The 2006 Revision" (PDF). UN. สืบค้นเมื่อ 27 April 2010.
  25. Professor Arne Björnberg, Ph.D (29 January 2018). "Euro Health Consumer Index 2017" (PDF). Health Consumer Powerhouse. สืบค้นเมื่อ 26 April 2018.
  26. Mathias, P. (2001). The First Industrial Nation: the Economic History of Britain, 1700–1914. London: Routledge. ISBN 978-0-415-26672-7.
  27. Ferguson, Niall (2004). Empire: The rise and demise of the British world order and the lessons for global power. New York: Basic Books. ISBN 978-0-465-02328-8.
  28. T.V. Paul; James J. Wirtz; Michel Fortmann (2005). "Great+power" Balance of Power. State University of New York Press. pp. 59, 282. ISBN 978-0-7914-6401-4. Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia and the United States p. 59
  29. McCourt, David (2014). Britain and World Power Since 1945: Constructing a Nation's Role in International Politics. United States: University of Michigan Press. ISBN 978-0-472-07221-7.
  30. "IISS Military Balance 2021". The Military Balance. 121 (1): 23–29. January 2021. doi:10.1080/04597222.2021.1868791. ISSN 0459-7222. S2CID 232050862. สืบค้นเมื่อ 1 October 2021.
  31. Oxford English Dictionary: "British Isles: a geographical term for the islands comprising Great Britain and Ireland with all their offshore islands including the Isle of Man and the Channel Islands."
  32. 32.0 32.1 32.2 32.3 32.4 32.5 "United Kingdom". The World Factbook. Central Intelligence Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 23 September 2008.
  33. 33.0 33.1 33.2 33.3 33.4 Latimer Clarke Corporation Pty Ltd. "United Kingdom – Atlapedia Online". Atlapedia.com. สืบค้นเมื่อ 26 October 2010.
  34. ROG Learing Team (23 August 2002). "The Prime Meridian at Greenwich". Royal Museums Greenwich. Royal Museums Greenwich. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-07. สืบค้นเมื่อ 11 September 2012.
  35. Neal, Clare. "How long is the UK coastline?". British Cartographic Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-27. สืบค้นเมื่อ 26 October 2010.
  36. "The Channel Tunnel". Eurotunnel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 December 2010. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  37. "England – Profile". BBC News. 11 February 2010.
  38. "Scotland Facts". Scotland Online Gateway. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2008. สืบค้นเมื่อ 16 July 2008.
  39. Winter, Jon (19 May 2001). "The complete guide to Scottish Islands". The Independent. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-01. สืบค้นเมื่อ 2014-04-21.
  40. "Overview of Highland Boundary Fault". Gazetteer for Scotland. University of Edinburgh. สืบค้นเมื่อ 27 December 2010.
  41. "Ben Nevis Weather". Ben Nevis Weather. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-27. สืบค้นเมื่อ 26 October 2008.
  42. "Profile: Wales". BBC News. 9 June 2010. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
  43. "Geography of Northern Ireland". University of Ulster. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-18. สืบค้นเมื่อ 22 May 2006.
  44. "UK climate summaries". Met Office. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-27. สืบค้นเมื่อ 1 May 2011.
  45. "Ancient skeleton was 'even older'". BBC News. 30 October 2007. Retrieved 27 April 2011.
  46. Koch, John T. (2006). Celtic culture: A historical encyclopedia. Santa Barbara, CA: ABC-CLIO. p. 973. ISBN 978-1-85109-440-0.
  47. Davies, John; Jenkins, Nigel; Baines, Menna; Lynch, Peredur I., บ.ก. (2008). The Welsh Academy Encyclopaedia of Wales. Cardiff: University of Wales Press. p. 915. ISBN 978-0-7083-1953-6.
  48. "Short Athelstan biography". BBC History. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  49. Mackie, J.D. (1991). A History of Scotland. London: Penguin. pp. 18–19. ISBN 978-0-14-013649-4.
  50. Campbell, Ewan (1999). Saints and Sea-kings: The First Kingdom of the Scots. Edinburgh: Canongate. pp. 8–15. ISBN 0-86241-874-7.
  51. Haigh, Christopher (1990). The Cambridge Historical Encyclopedia of Great Britain and Ireland. Cambridge University Press. p. 30. ISBN 978-0-521-39552-6.
  52. Ganshof, F.L. (1996). Feudalism. University of Toronto. p. 165. ISBN 978-0-8020-7158-3.
  53. Chibnall, Marjorie (1999). The debate on the Norman Conquest. Manchester University Press. pp. 115–122. ISBN 978-0-7190-4913-2.
  54. Keen, Maurice. "The Hundred Years War". BBC History.
  55. The Reformation in England and Scotland and Ireland: The Reformation Period & Ireland under Elizabth I, Encyclopædia Britannica Online.
  56. "British History in Depth – Wales under the Tudors". BBC History. 5 November 2009. สืบค้นเมื่อ 21 September 2010.
  57. Nicholls, Mark (1999). A history of the modern British Isles, 1529–1603: The two kingdoms. Oxford: Blackwell. pp. 171–172. ISBN 978-0-631-19334-0.
  58. Canny, Nicholas P. (2003). Making Ireland British, 1580–1650. Oxford University Press. pp. 189–200. ISBN 978-0-19-925905-2.
  59. Ross, D. (2002). Chronology of Scottish History. Glasgow: Geddes & Grosset. p. 56. ISBN 1-85534-380-0
  60. Hearn, J. (2002). Claiming Scotland: National Identity and Liberal Culture. Edinburgh University Press. p. 104. ISBN 1-902930-16-9
  61. "English Civil Wars". Encyclopaedia Britannica. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  62. "Scotland and the Commonwealth: 1651–1660". Archontology.org. 14 March 2010. สืบค้นเมื่อ 20 April 2010.
  63. Lodge, Richard (2007) [1910]. The History of England – From the Restoration to the Death of William III (1660–1702). Read Books. p. 8. ISBN 978-1-4067-0897-4.
  64. "Tudor Period and the Birth of a Regular Navy". Royal Navy History. Institute of Naval History. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 November 2011. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  65. Canny, Nicholas (1998). The Origins of Empire, The Oxford History of the British Empire Volume I. Oxford University Press. ISBN 0-19-924676-9.
  66. "Articles of Union with Scotland 1707". UK Parliament. สืบค้นเมื่อ 19 October 2008.
  67. "Acts of Union 1707". UK Parliament. สืบค้นเมื่อ 6 January 2011.
  68. "Treaty (act) of Union 1706". Scottish History online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-27. สืบค้นเมื่อ 3 February 2011.
  69. Library of Congress, The Impact of the American Revolution Abroad, p. 73.
  70. Loosemore, Jo (2007). Sailing against slavery. BBC Devon. 2007.
  71. "The Act of Union". Act of Union Virtual Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-27. สืบค้นเมื่อ 15 May 2006.
  72. Tellier, L.-N. (2009). Urban World History: an Economic and Geographical Perspective. Quebec: PUQ. p. 463. ISBN 2-7605-1588-5.
  73. Sondhaus, L. (2004). Navies in Modern World History. London: Reaktion Books. p. 9. ISBN 1-86189-202-0.
  74. Porter, Andrew (1998). The Nineteenth Century, The Oxford History of the British Empire Volume III. Oxford University Press. p. 332. ISBN 0-19-924678-5.
  75. "The Workshop of the World". BBC History. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  76. Porter, Andrew (1998). The Nineteenth Century, The Oxford History of the British Empire Volume III. Oxford University Press. p. 8. ISBN 0-19-924678-5.
  77. Marshall, P.J. (1996). The Cambridge Illustrated History of the British Empire. Cambridge University Press. pp. 156–57. ISBN 0-521-00254-0.
  78. Tompson, Richard S. (2003). Great Britain: a reference guide from the Renaissance to the present. New York: Facts on File. p. 63. ISBN 978-0-8160-4474-0.
  79. Hosch, William L. (2009). World War I: People, Politics, and Power. America at War. New York: Britannica Educational Publishing. p. 21. ISBN 978-1-61530-048-8.
  80. Turner, John (1988). Britain and the First World War. London: Unwin Hyman. pp. 22–35. ISBN 978-0-04-445109-9.
  81. 81.0 81.1 Westwell, I.; Cove, D. (eds) (2002). History of World War I, Volume 3. London: Marshall Cavendish. pp. 698 and 705. ISBN 0-7614-7231-2.
  82. Turner, J. (1988). Britain and the First World War. Abingdon: Routledge. p. 41. ISBN 0-04-445109-1.
  83. SR&O 1921, No. 533 of 3 May 1921.
  84. 84.0 84.1 "The Anglo-Irish Treaty, 6 December 1921". CAIN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-14. สืบค้นเมื่อ 15 May 2006.
  85. Rubinstein, W. D. (2004). Capitalism, Culture, and Decline in Britain, 1750–1990. Abingdon: Routledge. p. 11. ISBN 0-415-03719-0.
  86. "Britain to make its final payment on World War II loan from U.S." The New York Times. 28 December 2006. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
  87. Francis, Martin (1997). Ideas and policies under Labour, 1945–1951: Building a new Britain. Manchester University Press. pp. 225–233. ISBN 978-0-7190-4833-3.
  88. Lee, Stephen J. (1996). Aspects of British political history, 1914–1995. London; New York: Routledge. pp. 173–199. ISBN 978-0-415-13103-2.
  89. Larres, Klaus (2009). A companion to Europe since 1945. Chichester: Wiley-Blackwell. p. 118. ISBN 978-1-4051-0612-2.
  90. "Country List". Commonwealth Secretariat. 19 March 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 May 2013. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  91. Julios, Christina (2008). Contemporary British identity: English language, migrants, and public discourse. Studies in migration and diaspora. Aldershot: Ashgate. p. 84. ISBN 978-0-7546-7158-9.
  92. "1975: UK embraces Europe in referendum". BBC News. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  93. Wheeler, Brian; Hunt, Alex (17 December 2018). "The UK's EU referendum: All you need to know". BBC News.
  94. Aughey, Arthur (2005). The Politics of Northern Ireland: Beyond the Belfast Agreement. London: Routledge. p. 7. ISBN 978-0-415-32788-6.
  95. "The troubles were over, but the killing continued. Some of the heirs to Ireland's violent traditions refused to give up their inheritance." Holland, Jack (1999). Hope against History: The Course of Conflict in Northern Ireland. New York: Henry Holt. p. 221. ISBN 978-0-8050-6087-4.
  96. Elliot, Marianne (2007). The Long Road to Peace in Northern Ireland: Peace Lectures from the Institute of Irish Studies at Liverpool University. University of Liverpool Institute of Irish Studies, Liverpool University Press. p. 2. ISBN 1-84631-065-2.
  97. Dorey, Peter (1995). British politics since 1945. Making contemporary Britain. Oxford: Blackwell. pp. 164–223. ISBN 978-0-631-19075-2.
  98. Griffiths, Alan; Wall, Stuart (2007). Applied Economics (PDF) (11th ed.). Harlow: Financial Times Press. p. 6. ISBN 978-0-273-70822-3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-08-23. สืบค้นเมื่อ 26 December 2010.
  99. Keating, Michael (1 January 1998). "Reforging the Union: Devolution and Constitutional Change in the United Kingdom". Publius: the Journal of Federalism. 28 (1): 217. สืบค้นเมื่อ 4 February 2009.
  100. Jackson, Mike (3 April 2011). "Military action alone will not save Libya". Financial Times. London.
  101. "United Kingdom country profile". BBC. 24 January 2013. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  102. "Scotland to hold independence poll in 2014 – Salmond". BBC News. 10 January 2012. สืบค้นเมื่อ 10 January 2012.
  103. "The Treaty (or Act) of Union, 1707". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-03-09. สืบค้นเมื่อ 2 August 2007. (อังกฤษ)
  104. "The Act of Union". Act of Union Virtual Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-27. สืบค้นเมื่อ 2 August 2007. (อังกฤษ)
  105. The UK's five tests บีบีซี 21 พฤศจิกายน 2545 (อังกฤษ)
  106. Bagehot, Walter (1867). The English Constitution. London: Chapman and Hall. p. 103.
  107. Carter, Sarah. "A Guide To the UK Legal System". University of Kent at Canterbury. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-27. สืบค้นเมื่อ 16 May 2006.
  108. New Zealand, Israel and San Marino are the other countries with uncodified constitutions.
  109. "Parliamentary sovereignty". UK Parliament. n.d. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 April 2010.
  110. "The Government, Prime Minister and Cabinet". Public services all in one place. Directgov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-09-21. สืบค้นเมื่อ 12 February 2010.
  111. "Brown is UK's new prime minister". BBC News. 27 June 2007. สืบค้นเมื่อ 23 January 2008.
  112. "David Cameron is UK's new prime minister". BBC News. 11 May 2010. สืบค้นเมื่อ 11 May 2010.
  113. "Elections and voting". UK Parliament. 14 November 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2010. สืบค้นเมื่อ 19 February 2017.
  114. "The Parliament Acts". UK Parliament. 14 November 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2010. สืบค้นเมื่อ 19 February 2017.
  115. "United Kingdom". European Election Database. Norwegian Social Science Data Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-09. สืบค้นเมื่อ 3 July 2010.
  116. Wainwright, Martin (28 May 2010). "Thirsk and Malton: Conservatives take final seat in parliament". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 3 July 2010.
  117. "Sinn Féin moves into Westminster". BBC News. 21 January 2002. สืบค้นเมื่อ 17 October 2008.
  118. "European Election: United Kingdom Result". BBC News. 8 June 2009.
  119. "Scots MPs attacked over fees vote". BBC News. 27 January 2004. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  120. Taylor, Brian (1 June 1998). "Talking Politics: The West Lothian Question". BBC News. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  121. "England-only laws 'need majority from English MPs'". BBC News. 25 March 2013. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  122. "Scotland's Parliament – powers and structures". BBC News. 8 April 1999. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  123. "Salmond elected as first minister". BBC News. 16 May 2007. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  124. "Scottish election: SNP wins election". BBC News. 6 May 2011.
  125. "Structure and powers of the Assembly". BBC News. 9 April 1999. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  126. "Carwyn Jones clinches leadership in Wales". WalesOnline. Media Wales. 1 December 2009. สืบค้นเมื่อ 1 December 2009.
  127. "Devolved Government – Ministers and their departments". Northern Ireland Executive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2007.
  128. Burrows, N. (1999). "Unfinished Business: The Scotland Act 1998". The Modern Law Review. 62 (2): 241–60 [p. 249]. doi:10.1111/1468-2230.00203. The UK Parliament is sovereign and the Scottish Parliament is subordinate. The White Paper had indicated that this was to be the approach taken in the legislation. The Scottish Parliament is not to be seen as a reflection of the settled will of the people of Scotland or of popular sovereignty but as a reflection of its subordination to a higher legal authority. Following the logic of this argument, the power of the Scottish Parliament to legislate can be withdrawn or overridden...
  129. Elliot, M. (2004). "United Kingdom: Parliamentary sovereignty under pressure". International Journal of Constitutional Law. 2 (3): 545–627 [pp. 553–554]. doi:10.1093/icon/2.3.545. Notwithstanding substantial differences among the schemes, an important common factor is that the U.K. Parliament has not renounced legislative sovereignty in relation to the three nations concerned. For example, the Scottish Parliament is empowered to enact primary legislation on all matters, save those in relation to which competence is explicitly denied ... but this power to legislate on what may be termed "devolved matters" is concurrent with the Westminster Parliament's general power to legislate for Scotland on any matter at all, including devolved matters ... In theory, therefore, Westminster may legislate on Scottish devolved matters whenever it chooses...
  130. Walker, G. (2010). "Scotland, Northern Ireland, and Devolution, 1945–1979". Journal of British Studies. 39 (1): 124 & 133. doi:10.1086/644536.
  131. Gamble, A. "The Constitutional Revolution in the United Kingdom". Publius. 36 (1): 19–35 [p. 29]. doi:10.1093/publius/pjj011. The British parliament has the power to abolish the Scottish parliament and the Welsh assembly by a simple majority vote in both houses, but since both were sanctioned by referenda, it would be politically difficult to abolish them without the sanction of a further vote by the people. In this way several of the constitutional measures introduced by the Blair government appear to be entrenched and not subject to a simple exercise of parliamentary sovereignty at Westminster.
  132. "The Treaty (act) of the Union of Parliament 1706". Scottish History Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-27. สืบค้นเมื่อ 5 October 2008.
  133. "UK Supreme Court judges sworn in". BBC News. 1 October 2009.
  134. "Constitutional reform: A Supreme Court for the United Kingdom" (PDF). Department for Constitutional Affairs. July 2003. สืบค้นเมื่อ 13 May 2013.
  135. "Role of the JCPC". Judicial Committee of the Privy Council. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  136. Bainham, Andrew (1998). The international survey of family law: 1996. The Hague: Martinus Nijhoff. p. 298. ISBN 978-90-411-0573-8.
  137. Adeleye, Gabriel; Acquah-Dadzie, Kofi; Sienkewicz, Thomas; McDonough, James (1999). World dictionary of foreign expressions. Waucojnda, IL: Bolchazy-Carducci. p. 371. ISBN 978-0-86516-423-9.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  138. "The Australian courts and comparative law". Australian Law Postgraduate Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-14. สืบค้นเมื่อ 28 December 2010.
  139. "Court of Session – Introduction". Scottish Courts. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 July 2008. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  140. "High Court of Justiciary – Introduction". Scottish Courts. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2008. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  141. "House of Lords – Practice Directions on Permission to Appeal". UK Parliament. สืบค้นเมื่อ 22 June 2009.
  142. "Introduction". Scottish Courts. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 September 2008. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  143. Samuel Bray (2005). "Not proven: introducing a third verdict". The University of Chicago Law Review. 72 (4): 1299. สืบค้นเมื่อ 30 November 2013.
  144. "Police-recorded crime down by 9%". BBC News. 17 July 2008. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  145. "New record high prison population". BBC News. 8 February 2008. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  146. "Crime falls to 32 year low" (Press release). Scottish Government. 7 September 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-02. สืบค้นเมื่อ 21 April 2011.
  147. "Prisoner Population at Friday 22 August 2008". Scottish Prison Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-07. สืบค้นเมื่อ 28 August 2008.
  148. "Scots jail numbers at record high". BBC News. 29 August 2008. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  149. "Britain is 'surveillance society'". BBC News. 2 November 2006. สืบค้นเมื่อ 6 December 2010.
  150. "Ministry of Defence". Ministry of Defence. สืบค้นเมื่อ 21 February 2012.
  151. "Speaker addresses Her Majesty Queen Elizabeth II". UK Parliament. 30 March 2012. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  152. "Defence Spending". Ministry of Defence. สืบค้นเมื่อ 6 January 2008.
  153. "House of Commons Hansard". UK Parliament. สืบค้นเมื่อ 23 October 2008.
  154. "The Royal Navy: Britain's Trident for a Global Agenda". Henry Jackson Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2012. สืบค้นเมื่อ 17 October 2008.
  155. UK 2005: The Official Yearbook of the United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland. Office for National Statistics. p. 89.
  156. United Nations Economic and Social Council (August 2007). "Ninth UN Conference on the standardization of Geographical Names" (PDF). UN Statistics Division. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-01. สืบค้นเมื่อ 21 October 2008.
  157. Barlow, I.M. (1991). Metropolitan Government. London: Routledge. ISBN 978-0-415-02099-2.
  158. "Welcome to the national site of the Government Office Network". Government Offices. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-15. สืบค้นเมื่อ 3 July 2008.
  159. "A short history of London government". Greater London Authority. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2008. สืบค้นเมื่อ 4 October 2008.
  160. Sherman, Jill; Norfolk, Andrew (5 November 2004). "Prescott's dream in tatters as North East rejects assembly". The Times. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-25. สืบค้นเมื่อ 15 February 2008. The Government is now expected to tear up its twelve-year-old plan to create eight or nine regional assemblies in England to mirror devolution in Scotland and Wales. (ต้องรับบริการ)
  161. "Local Authority Elections". Local Government Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2012. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  162. "STV in Scotland: Local Government Elections 2007" (PDF). Political Studies Association. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-20. สืบค้นเมื่อ 2 August 2008.
  163. Ethical Standards in Public Life framework: "Ethical Standards in Public Life". The Scottish Government. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-11. สืบค้นเมื่อ 3 October 2008.
  164. "Who we are". Convention of Scottish Local Authorities. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-21. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
  165. "Local Authorities". The Welsh Assembly Government. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-30. สืบค้นเมื่อ 31 July 2008.
  166. "Local government elections in Wales". The Electoral Commission. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-23. สืบค้นเมื่อ 8 April 2011.
  167. "Welsh Local Government Association". Welsh Local Government Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-11. สืบค้นเมื่อ 20 March 2008.
  168. Devenport, Mark (18 November 2005). "NI local government set for shake-up". BBC News. สืบค้นเมื่อ 15 November 2008.
  169. "Foster announces the future shape of local government" (Press release). Northern Ireland Executive. 13 March 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2008. สืบค้นเมื่อ 20 October 2008.
  170. "Local Government elections to be aligned with review of public administration" (Press release). Northern Ireland Office. 25 April 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 April 2008. สืบค้นเมื่อ 2 August 2008.
  171. "CIBC PWM Global – Introduction to The Cayman Islands". Cibc.com. 11 July 2012. สืบค้นเมื่อ 17 August 2012.
  172. Rappeport, Laurie. "Cayman Islands Tourism". Washington DC: USA Today Travel Tips. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  173. "Working with Overseas Territories". Foreign & Commonwealth Office. 6 October 2010. สืบค้นเมื่อ 5 November 2010.
  174. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-11-02. สืบค้นเมื่อ 2014-04-20.
  175. "Overseas Territories". Foreign & Commonwealth Office. สืบค้นเมื่อ 6 September 2010.[ลิงก์เสีย]
  176. "The World Factbook". CIA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-25. สืบค้นเมื่อ 26 December 2010.
  177. "Overseas Territories The Ministry of Defence's Contribution". Ministry of Defence. 1 March 2012. p. 1. สืบค้นเมื่อ 5 April 2020.
  178. "Global Britain and the British Overseas Territories: Resetting the relationship" (PDF). House of Commons Foreign Affairs Committee. 13 February 2019. p. 5. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-27. สืบค้นเมื่อ 5 April 2020.
  179. Davison, Phil (18 August 1995). "Bermudians vote to stay British". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 11 September 2012.
  180. The Committee Office, House of Commons. "House of Commons – Crown Dependencies – Justice Committee". Publications.parliament.uk. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
  181. "Profile of Jersey". States of Jersey. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-02. สืบค้นเมื่อ 31 July 2008. The legislature passes primary legislation, which requires approval by The Queen in Council, and enacts subordinate legislation in many areas without any requirement for Royal Sanction and under powers conferred by primary legislation.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  182. "Chief Minister to meet Channel Islands counterparts – Isle of Man Public Services" (Press release). Isle of Man Government. 29 May 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2013. สืบค้นเมื่อ 8 March 2015.
  183. http://www.ons.gov.uk/ons/index.html?vlnk=9333
  184. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-05. สืบค้นเมื่อ 2013-09-17.
  185. 185.0 185.1 "Heathrow 'needs a third runway'". BBC News. 25 June 2008. สืบค้นเมื่อ 17 October 2008.
  186. 186.0 186.1 "Statistics: Top 30 World airports" (PDF) (Press release). Airports Council International. July 2008. สืบค้นเมื่อ 15 October 2008.
  187. "Transport Statistics Great Britain: 2010" (PDF). Department for Transport. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-16. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  188. "Major new rail lines considered". BBC News. 21 June 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-09. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  189. "Crossrail's giant tunnelling machines unveiled". BBC News. 2 January 2012.
  190. Leftly, Mark (29 August 2010). "Crossrail delayed to save £1bn". The Independent on Sunday. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-16. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  191. 191.0 191.1 "Size of Reporting Airports October 2009 – September 2010" (PDF). Civil Aviation Authority. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-05-04. สืบค้นเมื่อ 5 December 2010.
  192. "BMI being taken over by Lufthansa". BBC News. 29 October 2008. สืบค้นเมื่อ 23 December 2009.
  193. Gascoin, J. "A reappraisal of the role of the universities in the Scientific Revolution", in Lindberg, David C. and Westman, Robert S., eds (1990), Reappraisals of the Scientific Revolution. Cambridge University Press. p. 248. ISBN 0-521-34804-8.
  194. "European Countries – United Kingdom". Europa (web portal). สืบค้นเมื่อ 15 December 2010.
  195. Reynolds, E.E.; Brasher, N.H. (1966). Britain in the Twentieth Century, 1900–1964. Cambridge University Press. p. 336. ISBN 978-0521060653. OCLC 474197910.
  196. Burtt, E.A. (2003) [1924].The Metaphysical Foundations of Modern Science. Mineola, NY: Courier Dover. p. 207. ISBN 0-486-42551-7.
  197. Hatt, C. (2006). Scientists and Their Discoveries. London: Evans Brothers. pp. 16, 30 and 46. ISBN 0-237-53195-X.
  198. Jungnickel, C.; McCormmach, R. (1996). Cavendish. American Philosophical Society. ISBN 0-87169-220-1.
  199. "The Nobel Prize in Physiology or Medicine 1945: Sir Alexander Fleming, Ernst B. Chain, Sir Howard Florey". The Nobel Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-21. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  200. Hatt, C. (2006). Scientists and Their Discoveries. London: Evans Brothers. p. 56. ISBN 0-237-53195-X.
  201. James, I. (2010). Remarkable Engineers: From Riquet to Shannon. Cambridge University Press. pp. 33–6. ISBN 0-521-73165-8.
  202. Bova, Ben (2002) [1932]. The Story of Light. Naperville, IL: Sourcebooks. p. 238. ISBN 978-1-4022-0009-0.
  203. "Alexander Graham Bell (1847–1922)". Scottish Science Hall of Fame. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-21. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  204. "John Logie Baird (1888–1946)". BBC History. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-21. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  205. Cole, Jeffrey (2011). Ethnic Groups of Europe: An Encyclopedia. Santa Barbara, CA: ABC-CLIO. p. 121. ISBN 1-59884-302-8.
  206. Castells, M.; Hall, P.; Hall, P.G. (2004). Technopoles of the World: the Making of Twenty-First-Century Industrial Complexes. London: Routledge. pp. 98–100. ISBN 0-415-10015-1.
  207. "Knowledge, networks and nations: scientific collaborations in the twenty-first century" (PDF). Royal Society. 2011. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-22. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  208. McCook, Alison. "Is peer review broken?". Reprinted from the Scientist 20(2) 26, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-21. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
  209. "United Kingdom Energy Profile". U.S. Energy Information Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-02. สืบค้นเมื่อ 4 November 2010.
  210. Mason, Rowena (24 October 2009). "Let the battle begin over black gold". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 26 November 2010.
  211. Heath, Michael (26 November 2010). "RBA Says Currency Containing Prices, Rate Level 'Appropriate' in Near Term". Bloomberg. New York. สืบค้นเมื่อ 26 November 2010.
  212. 212.0 212.1 212.2 "Nuclear Power in the United Kingdom". World Nuclear Association. April 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-14. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  213. "International - U.S. Energy Information Administration (EIA)". www.eia.gov.
  214. "United Kingdom Crude Oil Consumption by Year". IndexMundi.
  215. 215.0 215.1 "United Kingdom – Oil". U.S. Energy Information Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2011. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  216. "Diminishing domestic reserves, escalating imports". EDF Energy. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  217. 217.0 217.1 "United Kingdom – Natural Gas". U.S. Energy Information Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 April 2011. สืบค้นเมื่อ 9 March 2011.
  218. 218.0 218.1 "United Kingdom – Quick Facts Energy Overview". U.S. Energy Information Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2011. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  219. The Coal Authority (10 April 2006). "Coal Reserves in the United Kingdom" (PDF). The Coal Authority. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 4 January 2009. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
  220. "England Expert predicts 'coal revolution'". BBC News. 16 October 2007. สืบค้นเมื่อ 23 September 2008.
  221. Watts, Susan (20 March 2012). "Fracking: Concerns over gas extraction regulations". BBC News. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  222. "Quit fracking aboot". Friends of the Earth Scotland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-24. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  223. "Local Authorities". Department for Children, Schools and Families. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-30. สืบค้นเมื่อ 21 December 2008.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  224. Gordon, J.C.B. (1981). Verbal Deficit: A Critique. London: Croom Helm. p. 44 note 18. ISBN 978-0-85664-990-5.
  225. Section 8 ('Duty of local education authorities to secure provision of primary and secondary schools'), Sections 35–40 ('Compulsory attendance at Primary and Secondary Schools') and Section 61 ('Prohibition of fees in schools maintained by local education authorities ...'), Education Act 1944.
  226. "England's pupils in global top 10". BBC News. 10 December 2008.
  227. "More state pupils in universities". BBC News. 19 July 2007.
  228. MacLeod, Donald (9 November 2007). "Private school pupil numbers in decline". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 31 March 2010.
  229. Frankel, Hannah (3 September 2010). "Is Oxbridge still a preserve of the posh?". TES. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-16. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
  230. "QS World University Rankings Results 2010". Quacquarelli Symonds. สืบค้นเมื่อ 27 April 2011.
  231. Davenport, F.; Beech, C.; Downs, T.; Hannigan, D. (2006). Ireland. Lonely Planet, 7th edn. ISBN 1-74059-968-3. p. 564.
  232. "About SQA". Scottish Qualifications Authority. 10 April 2013. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  233. "About Learning and Teaching Scotland". Learning and Teaching Scotland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-01. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  234. "Brain drain in reverse". Scotland Online Gateway. July 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2007.
  235. "Increase in private school intake". BBC News. 17 April 2007.
  236. "MSPs vote to scrap endowment fee". BBC News. 28 February 2008.
  237. "QS World University Rankings Results 2012". Quacquarelli Symonds. สืบค้นเมื่อ 13 August 2013.
  238. "Education System". Welsh Government. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 March 2015. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  239. "Cymraeg 2050: Welsh language strategy". GOV.WALES (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 8 May 2020.
  240. CCEA. "About Us – What we do". Council for the Curriculum Examinations & Assessment. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-05. สืบค้นเมื่อ 28 April 2013.
  241. Haden, Angela; Campanini, Barbara, บ.ก. (2000). The world health report 2000 – Health systems: improving performance (PDF). Geneva: World Health Organisation. ISBN 92-4-156198-X. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
  242. World Health Organization. "Measuring overall health system performance for 191 countries" (PDF). New York University. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
  243. "'Huge contrasts' in devolved NHS". BBC News. 28 August 2008.
  244. Triggle, Nick (2 January 2008). "NHS now four different systems". BBC News.
  245. Fisher, Peter. "The NHS from Thatcher to Blair". NHS Consultants Association. International Association of Health Policy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-11-20. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18. The Budget ... was even more generous to the NHS than had been expected amounting to an annual rise of 7.4% above the rate of inflation for the next 5 years. This would take us to 9.4% of GDP spent on health ie around EU average.
  246. "OECD Health Data 2012 – How Does the United Kingdom Compare" (PDF). Paris: Organisation for Economic Co-operation and Development. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 24 September 2015. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  247. "2011 Census - Built-up areas". ONS. สืบค้นเมื่อ 1 July 2013.
  248. Mid-2012 Population Estimates for Settlements and Localities in Scotland General Register Office for Scotland
  249. The UK's major urban areas Office for National Statistics (Urban area of Belfast and connected settlements, Table 3.1, page 47)
  250. UK population grows to more than 60m สำนักงานสถิติแห่งชาติ สหราชอาณาจักร. (อังกฤษ)
  251. Rising birth rate, longevity and migrants push population to more than 60 million. เดอะการ์เดียน. (อังกฤษ)
  252. "Census 2001: South East". Office for National Statistics. สืบค้นเมื่อ 3 August 2007. (อังกฤษ)
  253. "All people population: City of London". Office for National Statistics. สืบค้นเมื่อ 3 August 2007. (อังกฤษ)
  254. "United Kingdom". Humana. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-10-03. สืบค้นเมื่อ 3 August 2007. (อังกฤษ)
  255. United Kingdom U.S. English Foundation Official Language Research. (อังกฤษ)
  256. English-Language Dominance, Literature and Welfare เก็บถาวร 2012-05-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ศูนย์วิจัยนโยบายเศรษฐกิจ. (อังกฤษ)
  257. Census shows 72% identify as Christians. สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (อังกฤษ)
  258. We need imams who can speak to young Muslims in their own words เก็บถาวร 2008-01-12 ที่ archive.today. เดอะไทมส์. 5 สิงหาคม 2549. (อังกฤษ)
  259. British papers back Straw. ซีเอ็นเอ็น. 10 กรกฎาคม 2549. (อังกฤษ)
  260. Hindus in Britain Stage Rare Open-Air Cremation. วอชิงตันโพสต์. 15 กรกฎาคม 2549. (อังกฤษ)
  261. Ponsford, Matthew (19 January 2016). "Los Angeles to build world's most expensive stadium complex". CNN. สืบค้นเมื่อ 12 February 2017.
  262. "Opening ceremony of the games of the XXX Olympiad". Olympic.org. Retrieved 30 November 2013.
  263. "Unparalleled Sporting History" เก็บถาวร 2013-12-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Reuters. Retrieved 30 November 2013.
  264. "The cultural superpower: British cultural projection abroad" เก็บถาวร 2018-09-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Journal of the British Politics Society, Norway. Volume 6. No. 1. Winter 2011.
  265. Sheridan, Greg (15 May 2010). "Cameron has chance to make UK great again". The Australian. Sydney. สืบค้นเมื่อ 20 May 2012.
  266. "BBC poll: Germany most popular country in the world". BBC. 23 May 2013. สืบค้นเมื่อ 20 February 2018.
  267. "World Service Global Poll: Negative views of Russia on the rise". BBC.co.uk. 4 June 2014. สืบค้นเมื่อ 20 February 2018.
  268. Goldfarb, Jeffrey (10 May 2006). "Bookish Britain overtakes America as top publisher". RedOrbit. Texas. Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 January 2008.
  269. MSN Encarta Encyclopedia article on Shakespeare. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2006. สืบค้นเมื่อ 26 February 2006.
  270. William Shakespeare. Columbia Electronic Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ 26 February 2006.
  271. "Mystery of Christie's success is solved". The Daily Telegraph. London. 19 December 2005. สืบค้นเมื่อ 14 November 2010.
  272. "Edinburgh, UK appointed first UNESCO City of Literature". Unesco. 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 May 2013. สืบค้นเมื่อ 9 March 2015.
  273. "Early Welsh poetry". BBC Wales. สืบค้นเมื่อ 29 December 2010.
  274. Lang, Andrew (2003) [1913]. History of English Literature from Beowulf to Swinburne. Holicong, PA: Wildside Press. p. 42. ISBN 978-0-8095-3229-2.
  275. "Dafydd ap Gwilym". Academi website. Academi. 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2012. สืบค้นเมื่อ 3 January 2011. Dafydd ap Gwilym is widely regarded as one of the greatest Welsh poets of all time, and amongst the leading European poets of the Middle Ages.
  276. Middleton, Tim (2006). Joseph Conrad. Routledge. p. 159. ISBN 978-0-415-26851-6.
  277. Cooper, John Xiros (2006). The Cambridge Introduction to T. S. Eliot. Cambridge University Press. p. 111. ISBN 978-1-139-45790-3.
  278. Sim, Wai-chew (2009). Kazuo Ishiguro. Routledge. p. 201. ISBN 978-1-135-19867-1.
  279. "Salman Rushdie". Oxford Reference. Oxford University Press. สืบค้นเมื่อ 10 December 2019.
  280. Campbell, James (17 May 2008). "Home from home". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 10 December 2019.
  281. Nadel, Ira (2004). Ezra Pound: A Literary Life. Palgrave Macmillan UK. p. 90. ISBN 978-0-230-37881-0.
  282. Varty, Anne (2014). A Preface to Oscar Wilde. Routledge. pp. 231–232. ISBN 978-1-317-89231-1.
  283. "Oscar Wilde". Encyclopedia.com. Cengage. สืบค้นเมื่อ 10 December 2019.
  284. Moss, Joyce (2001). British and Irish Literature and Its Times: The Victorian Era to the Present (1837-). Gale Group. p. 107. ISBN 978-0-7876-3729-3.
  285. Holroyd, Michael (1989). Bernard Shaw, Volume 2: 1898–1918: The Pursuit of Power. Chatto & Windus. p. 384. ISBN 978-0-7011-3350-4.
  286. "G B Shaw". Discovering Literature: 20th century. British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-09. สืบค้นเมื่อ 10 December 2019.

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล
ข้อมูลทั่วไป
การศึกษา
การท่องเที่ยว
Kembali kehalaman sebelumnya