จาโกโม มาเยอร์เบียร์
จาโกโม มาเยอร์เบียร์ (อิตาลี: Giacomo Meyerbeer) ชื่อเกิด ยาค็อบ ลีบมัน เบียร์ (เยอรมัน: Jakob Liebmann Beer) เป็นนักประพันธ์เพลงโอเปราชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงมากในศตวรรษที่ 19 ผลงานโอเปร่าของเขาถูกแสดงมากที่สุดในศตวรรษที่ 19 เป็นรองเพียงว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท และริชชาร์ท วากเนอร์[1] ประวัติยาค็อบ ลีบมัน เบียร์ เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1791 ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศปรัสเซีย (ปัจจุบันคือเยอรมนี) เขาเติบโตในครอบครัวชาวยิวที่มีฐานะร่ำรวย เขาจึงได้รับการศึกษาอย่างดีตั้งแต่เด็กและ และด้วยการที่ครอบครัวของเขามีเส้นสายกับราชสำนักปรัสเซีย เขาจึงเข้าได้สังคมและมีความสนใจในศิลปะและการดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย โดยมีการฝึกเรียนเปียโนและศึกษาทฤษฎีดนตรีจากครูผู้มีชื่อเสียงหลายคน รวมถึงคาร์ล ฟรีดริช เซ็ลเทอร์ (Carl Friedrich Zelter) หนึ่งในนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในเบอร์ลินในเวลานั้น การใช้ชื่อภาษาอิตาลีอย่าง "Giacomo" แทนที่ "Jacob" เป็นความพยายามที่เขาต้องการสร้างภาพลักษณ์สากล เนื่องจากในยุคนั้น คีตกวีชาวอิตาลีเป็นที่นิยมและมีอิทธิพลอย่างมากในวงการโอเปรา โดยเฉพาะในยุคที่เขาเริ่มสร้างชื่อเสียงในฝรั่งเศสและอิตาลี เขาจึงเลือกเปลี่ยนชื่อเป็น "Giacomo" เพื่อให้เข้ากับวงการดนตรีที่เขาทำงานอยู่ และเพื่อสะท้อนถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมอิตาลีที่มีต่อผลงานของเขา ส่วนการเปลี่ยนนามสกุลจาก "Beer" เป็น "Meyerbeer" เป็นการประสมระหว่างนามสกุลฝั่งพ่อ และชื่อของคุณตาไมเออร์ผู้ล่วงลับ ในอิตาลียาค็อบ ลีบมัน เบียร์ เริ่มสร้างผลงานโอเปราในช่วงแรกของอาชีพ แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติมากนัก เขาย้ายไปอยู่อิตาลีและเปลี่ยนชื่อเป็น "จาโกโม มาเยอร์เบียร์" เขาสร้างผลงานโอเปราหลายเรื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาฝีมือของเขาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในผลงานสำคัญช่วงนี้คือโอเปราเรื่อง Il crociato in Egitto (1824) ที่เปิดตัวในนครเวนิส ผลงานชิ้นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในอิตาลี และทำให้มาเยอร์เบียร์ได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรกในฐานะคีตกวีโอเปราที่มีชื่อเสียงในระดับสากล โอเปรา Il crociato in Egitto เป็นหนึ่งในโอเปราที่ผสมผสานความเป็นอิตาลี เข้ากับ "มหาอุปรากร" (Grand Opera) ของฝรั่งเศสมีเนื้อหาที่ซับซ้อน ใช้ตัวละครจำนวนมาก และมีการใช้ฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการ โดยใช้ท่วงทำนองที่ไพเราะและการจัดการฉากที่อลังการ นอกจากนี้เขายังได้ร่วมงานกับนักร้องชื่อดังชาวอิตาลีในยุคนั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความสำเร็จของผลงาน ในฝรั่งเศสหลังจากประสบความสำเร็จในอิตาลี มาเยอร์เบียร์ได้รับการติดต่อจากโรงละครโอเปราในฝรั่งเศส เพื่อสร้างสรรค์ผลงานใหม่สำหรับผู้ชมชาวฝรั่งเศส ในปี 1826 เขาตัดสินใจย้ายไปยังฝรั่งเศส และในไม่ช้าก็กลายเป็นหนึ่งในคีตกวีที่มีอิทธิพลมากที่สุดของวงการโอเปราในปารีส หนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาคือโอเปรา Robert le diable ที่เปิดตัวในปี 1831 ที่หออุปรากรปารีส โอเปรานี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และได้รับความนิยมไปทั่วทวีปยุโรป ซึ่งช่วยให้มาเยอร์เบียร์กลายเป็นนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการโอเปราระดับโลก ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นต้นแบบสำคัญของมหาอุปรากรในยุคนั้น เนื้อหาของ Robert le diable เต็มไปด้วยความลึกลับและมีฉากที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะฉากเต้นรำของวิญญาณที่เรียกว่าฉาก Ballet of the Nuns ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมในยุคนั้น อีกหนึ่งโอเปราที่สำคัญของเขาคือ Les Huguenots ซึ่งเปิดตัวในปี 1836 โอเปรานี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศส โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เรียกว่าการสังหารหมู่วันเซนต์บาโทโลมิว มาเยอร์เบียร์ใช้โอเปรานี้เพื่อสะท้อนความขัดแย้งทางศาสนาและสังคมในสมัยของเขา Les Huguenots เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา มาเยอร์เบียร์ยังได้สร้างสรรค์ผลงานโอเปราอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย เช่น Le prophète (1849) และ L’Africaine (1865) โดยผลงานเหล่านี้ยังคงได้รับการแสดงและยกย่องในวงการโอเปราจนถึงปัจจุบัน ความสำเร็จของเขาเกิดจากความสามารถในการผสมผสานดนตรีกับเนื้อหาที่ทรงพลัง พร้อมกับการสร้างฉากที่สวยงามและมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง ส่งผลให้เขาเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและพัฒนาศิลปะแกรนด์โอเปราให้เป็นที่นิยมในยุโรป ในปรัสเซียแม้ว่ามาเยอร์เบียร์จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในฝรั่งเศสและอิตาลี แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งกรุงเบอร์ลิน ในช่วงปลายชีวิต เขาได้กลับมายังกรุงเบอร์ลินและได้รับตำแหน่งสำคัญในวงการดนตรีของเยอรมนี โดยเฉพาะในฐานะผู้อำนวยการเพลงในราชสำนักปรัสเซีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาดนตรีคลาสสิกในปรัสเซีย นอกจากนี้ เขายังมีส่วนร่วมในการส่งเสริมดนตรีโอเปราและการแสดงดนตรีในกรุงเบอร์ลิน ผลงานหลายชิ้นของเขาได้มีการแสดงที่เบอร์ลินและได้รับความนิยมอย่างสูง เขายังเป็นที่ปรึกษาให้กับนักดนตรีรุ่นใหม่ในเมือง ซึ่งช่วยสร้างอิทธิพลในวงการดนตรีของเยอรมนีจนถึงปัจจุบัน เสียชีวิตมาเยอร์เบียร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1864 ที่ปารีส สิริอายุ 72 ปี ก่อนที่ผลงานโอเปรา L’Africaine ซึ่งเป็นผลงานสุดท้ายของเขาจะเปิดตัวไม่นาน หลังจากเขาเสียชีวิต มาเยอร์เบียร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในคีตกวีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์โอเปรา อ้างอิง
|