ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์แห่งบัลแกเรีย
ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ (บัลแกเรีย: Иван Александър, ถ่ายตัวอักษรได้ว่า Ivan Aleksandǎr, สะกดอย่างดั้งเดิม: ІѠАНЪ АЛЄѮАНдРЪ)[1] หรือในบางครั้งแผลงเป็นอังกฤษได้ว่า จอห์น อเล็กซานเดอร์[2] เป็นจักรพรรดิ (ซาร์) แห่งจักรวรรดิบัลแกเรียตั้งแต่ ค.ศ. 1331–1371[3] วันเสด็จพระราชสมภพของพระองค์ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยทราบเพียงวันสวรรคตซึ่งตรงกับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1371 ช่วงระยะเวลาการครองราชสมบัติที่ยาวนานของพระองค์เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของประวัติศาสตร์บัลแกเรียในยุคกลาง ซึ่งพระองค์ทรงต้องจัดการกับปัญหาภายในและภัยคุกคามจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิเซอร์เบีย ซึ่งเป็นดินแดนเพื่อนบ้านของบัลแกเรีย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ศิลปะและการศาสนาของบัลแกเรียอีกด้วย[4] อย่างไรก็ตามในช่วงหลัง ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ทรงไม่สามารถรับมือกับปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยจากกาฬมรณะ การรุกรานของจักรวรรดิออตโตมันและการรุกรานบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโดยราชอาณาจักรฮังการี[3] การเผชิญหน้าอย่างไร้ผลกับปัญหาเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงแบ่งดินแดนให้พระราชโอรส 2 พระองค์[5][6] ซึ่งนำไปสู่ความอ่อนแอและการแบ่งแยกของจักรวรรดิบัลแกเรีย พร้อมกับการเผชิญหน้ากับขยายอำนาจของจักรวรรดิออตโตมัน[3][6] ระยะแรกของการครองราชย์ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ ทรงเป็นพระราชโอรสของสรัตซีมีร์ เดสเปิต (Despot) แห่งเกริน ซึ่งมีบรรพบุรษสืบเชื้อสายจากราชวงศ์อาแซน[7] และเจ้าหญิงแกรัตซา แปตริตซา พระขนิษฐาของซาร์มีคาอิล ชิชมันแห่งบัลแกเรีย[8] ดังนั้นซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์จึงมีความสัมพันธ์เป็นพระภาคิไนยขอซาร์มีคาอิล ชิชมันด้วย[4][5] ใน ค.ศ. 1330 พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเดสเปิตแห่งเมืองโลเวช ในขณะที่พระองค์ดำรงตำแหน่งเดสเปิต พระองค์ได้ร่วมรบในยุทธการที่แวลเบิชด์ ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณเมืองกยูสแตนดิล เพื่อต่อต้านเซอร์เบียใน ค.ศ. 1330 ร่วมกับพระราชบิดาและบาซารับที่ 1 แห่งวอเลเคีย พระสัสสุระของพระองค์ ซึ่งในยุทธการครั้งนี้ฝ่ายเซอร์เบียได้รับชัยชนะ และการพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ของบัลแกเรีย พร้อมกับปัญหาภายในที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการรุกรานของจักรวรรดิไบแซนไทน์จากความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่างกัน นำไปสู่การก่อการรัฐประหารขับไล่ซาร์อีวัน สแตฟันออกจากเมืองหลวงแวลีโกเตอร์โนโวใน ค.ศ. 1331 และกลุ่มผู้ก่อการได้ทูลเชิญให้อีวัน อาแลกซันเดอร์ขึ้นครองราชบัลลังก์[9] ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์มีพระราชดำริในการยึดดินแดนที่สูญเสียให้กับจักรวรรดิไบแซนไทน์กลับคืนมาเพื่อสร้างความมั่นคงในตำแหน่งของพระองค์ ดังนั้นใน ค.ศ. 1331 ซาร์อีวันจึงทำการศึกในบริเวณเอดีร์แนและสามารถยึดดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของเธรซกลับคืนมาได้[4][5] ในขณะเดียวกันพระเจ้าสแตฟัน อูรอสที่ 4 แห่งเซอร์เบียได้ปลดพระราชบิดาของพระองค์ (พระเจ้าสแตฟัน อูรอสที่ 3) ออกจากราชบัลลังก์และสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเซอร์เบีย ส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายของบัลแกเรียและเซอร์เบียกลับมาดีขึ้น พระมหากษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์สัญญาเป็นพันธมิตรต่อกัน โดยกำหนดให้มีการอภิเษกสมรสระหว่างพระมหากษัตริย์แห่งเซอร์เบียและแอแลนาแห่งบัลแกเรีย ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ในวันอีสเตอร์ ของ ค.ศ. 1332[4][5][10] ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันแบลาอูร์ ซึ่งเป็นพระอนุชาของซาร์มีคาอิล ชิชมันได้ก่อการกบฎขึ้นที่วีดีน โดยการก่อกบฎครั้งนี้อาจเป็นไปเพื่อช่วยให้ซาร์อีวัน สแตฟัน พระภาคิไนยของพระองค์กลับสู่ราชบัลลังก์อีกครั้ง การปราบปรามกลุ่มกบฎต้องเลื่อนออกไป เมื่อในช่วงฤดูร้อนของ ค.ศ. 1332 จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอสแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์รุกรานบัลแกเรีย กองทัพของไบแซนไทน์ได้รุกคืบเข้าสู่พื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของเธรซ โดยซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ทรงรีบนำกองกำลังขนาดเล็กมุ่งลงใต้ไปทันกองทัพของจักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 ที่รูซอกัสตรอ[10]
หลังจากที่พระองค์แสดงทรงแสดงท่าทีลวงว่าจะเจรจา ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์พร้อมด้วยกองกำลังเสริมจากกองทัพม้าของชาวมองโกล ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์จึงโจมตีกองทัพไบแซนไทน์ ส่งผลให้กองกำลังของไบแซนไทน์ที่ถึงแม้ว่าจะมีการจัดกระบวนทัพที่ดีกว่า แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าประสบกับความพ่ายแพ้[5] บรรดาเมืองโดยรอบหลายเมืองได้ยอมแพ้ต่อซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ ในขณะที่จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 ต้องหลบหนีเข้าไปอยู่ในกำแพงเมืองรูซอกัสตรอ สงครามครั้งนี้จบลงเมื่อทั้งสองฝ่ายเจรจาสงบศึก โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับสภาวะเดิม (status quo) และเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างกันซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้ขอให้มีการหมั้นหมายระหว่างมาเรีย พระธิดาของจักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 กับมีคาอิล อาแซน พระโอรสของพระองค์ และนำไปสู่การอภิเษกสมรสของทั้งสองพระองค์ใน ค.ศ. 1339[5][13] เมื่อจบสงครามกับไบแซนไทน์ พระองค์จึงเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดการกับแบลาอูร์ และสามารถปราบฐานที่มั่นสุดท้ายของกบฎทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้สำเร็จในประมาณ ค.ศ. 1336 หรือ 1337[14] ใน ค.ศ. 1332 ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้สถาปนาพระโอรสองค์โตมีคาอิล อาแซนที่ 4 ขึ้นเป็นจักรพรรดิร่วม (Co–Emperor) และพระองค์ได้ดำเนินแนวทางเช่นนี้ในเวลาต่อมาด้วยการสถาปนาพระโอรสองค์รองอย่างอีวัน สรัตซีมีร์และอีวัน อาแซนที่ 5 ขึ้นเป็นจักรพรรดิร่วมเช่นกันใน ค.ศ. 1337 ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นไปเพื่อรักษาราชบัลลังก์ไว้ในราชตระกูลของพระองค์ นอกจากนี้ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์อาจมีความตั้งพระทัยที่จะควบคุมเมืองสำคัญภายในดินแดนผ่านการตั้งตำแหน่งจักรพรรดิร่วม ซึ่งพบว่าอีวัน สรัตซีมีร์ได้รับมอบหมายให้ปกครองวีดีน ในขณะที่อีวัน อาแซนที่ 4 อาจได้รับมอบหมายให้ปกครองแปรสลัฟ อย่างไรก็ตามการกระทำเช่นนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของธรรมเนียมบัลแกเรียกับไบแซนไทน์ในการแต่งตั้งตำแหน่ง despotēs เนื่องจากตามธรรมเนียมของไบแซนไทน์ พระโอรสองค์รองจะได้รับการแต่งตั้งเป็น despotēs ไม่ว่าจะมีดินแดนภายใต้การปกครองหรือไม่ก็ตาม[15] ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิไบแซนไทน์ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1340 ความสัมพันธ์กับไบแซนไทน์เลวร้ายลงชั่วคราว เมื่อซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้เรียกร้องให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ส่งตัวเจ้าชายชิชมัน หนึ่งในพระโอรสของซาร์มีคาอิลที่ 3 ชิชมันกลับสู่บัลแกเรีย พร้อมทั้งขู่ประกาศสงครามหากนิ่งเฉย การขู่ใช้กำลังครั้งนี้ของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ในครั้งนี้ได้ผลตรงกันข้าม เนื่องจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ทราบเจตนาที่แท้จริงของพระองค์ จึงได้นำกองทัพเรือพันธมิตรชาวตุรกีจากอูมูร์ เบย์ เอมีร์แห่งสเมอร์นา ซึ่งได้ขึ้นฝั่งที่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำดานูบและปล้นสะดมพื้นที่ชนบท พร้อมทั้งเข้าโจมตีนครของบัลแกเรียที่อยู่ใกล้เคียง ด้วยการถูกบังคับให้ระงับข้อเรียกร้อง ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์จึงรุกรานจักรวรรดิไบแซนไทน์อีกครั้งใน ค.ศ. 1341 โดยอ้างว่าชาวเอเดรียโนเปิลเรียกหาพระองค์[17] อย่างไรก็ตามกองกำลังพันธมิตรของไบแซนไทน์สามารถเอาชนะกองทัพของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ในการรบใกล้กับนครเอเดรียโนเปิลได้ถึง 2 ครั้ง[18] ใน ค.ศ. 1341–1347 จักรวรรดิไบแซนไทน์ต้องเผชิญกับปัญหาสงครามกลางเมืองที่กินระยะเวลายาวนาน เพื่อแย่งชิงสิทธิ์การเป็นผู้ปกครองของจักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอส ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ระหว่างกลุ่มของผู้สำเร็จราชการภายใต้การนำของแอนนาแห่งซาวอยและกลุ่มของจอห์นที่ 6 คันตาคูเซนอส ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่หมายมั่นไว้ ประเทศเพื่อนบ้านของไบแซนไทน์ต่างฉวยโอกาสจากสงครามกลางเมืองครั้งนี้ โดยพระเจ้าสแตฟัน อูรอสที่ 4 แห่งเซอร์เบียทรงสนับสนุนจอห์นที่ 6 คันตาคูเซนอส ในขณะที่ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ทรงสนับสนุนจักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอสและคณะผู้สำเร็จราชการ[5] แม้ว่าทั้งสองประเทศจะให้การสนับสนุนขั้วอำนาจที่แตกต่างกันในสงครามกลางเมือง ทั้งสองฝ่ายยังคงสถานะเป็นพันธมิตรต่อกัน ซึ่งใน ค.ศ. 1344 ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้ดินแดนนครฟิลิปโปโปลิส (ปลอฟดิฟ) รวมไปถึงป้อมปราการสำคัญ 9 แห่งบริเวณเทือกเขารอดอปปีจากการที่พระองค์สนับสนุนกลุ่มของผู้สำเร็จราชการ[3][19] จากการพลิกกลับอย่างสันตินี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของการดำเนินนโยบายการต่างประเทศในรัชสมัยซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ ความรุ่งเรืองของเซอร์เบียและภัยจากออตโตมันการเข้าไปมีส่วนร่วมของเซอร์เบียในสงครามกลางเมืองไบแซนไทน์ ส่งผลให้เซอร์เบียได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการได้ดินแดนมาซิโดเนีย พื้นที่เกือบทั้งหมดของแอลเบเนียและตอนเหนือของกรีซ ใน ค.ศ. 1345 พระมหากษัตริย์แห่งเซอร์เบียเริ่มเรียกพระองค์เองเป็น "จักรพรรดิของชาวเซิร์บและกรีก" พร้อมทั้งราชาภิเษกพระองค์เองขึ้นเป็นจักรพรรดิโดยได้รับการสวมมงกุฎจากอัครบิดรแห่งเซอร์เบีย ซึ่งเป็นตำแหน่งตั้งใหม่ใน ค.ศ. 1346[5] การกระทำเช่นนี้แม้เป็นการสร้างความไม่ขุ่นเคืองให้กับไบแซนไทน์ แต่พบว่าบัลแกเรียเป็นผู้สนับสนุนการกระทำเช่นนั้น โดยอัครบิดรซีแมออนแห่งบัลแกเรียมีส่วนร่วมในการสถาปนาเขตอัครบิดรแปชี (Serbian Patriarchate of Peć) และร่วมงานบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิของพระเจ้าสแตฟัน อูรอสที่ 4[20] ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษ 1340 ความสำเร็จระยะแรกของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์เริ่มเหลือน้อยเต็มที บัลแกเรียซึ่งเผชิญกับความเสียหายจากกาฬมรณะ ยิ่งอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการปล้นสะดมในพื้นที่เธรซช่วง ค.ศ. 1346, 1347, 1349, 1352 และ 1354 โดยกองกำลังพันธมิตรชาวตุรกีของจอห์นที่ 6 คันตาคูเซนอส[21] บัลแกเรียพยายามที่จะขับไล่ผู้รุกรานออกไป แต่ประสบกับความล้มเหลว พร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของพระโอรสพระองค์ที่ 3 อีวัน อาแซนที่ 4 ใน ค.ศ. 1349 และพระโอรสองค์โต มีคาอิล อาแซนที่ 4 ใน ค.ศ. 1355 หรือก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย[22] สงครามกลางเมืองไบแซนไทน์ได้จบสิ้นลงใน ค.ศ. 1351 และจอห์นที่ 6 คันตาคูเซนอสได้ตระหนักถึงภัยอันตรายจากออตโตมันต่อดินแดนในคาบสมุทรบอลข่าน ดังนั้นพระองค์จึงหันไปสร้างพันธมิตรกับเซอร์เบียและบัลแกเรีย เพื่อร่วมมือกันต่อต้านกองกำลังชาวตุรกี ในการนี้ไบแซนไทน์ได้ร้องขอเงินจากซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์เพื่อนำไปต่อเรือรบ[5][23] อย่างไรก็ตามการสร้างพันธมิตรระหว่างกันดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ไว้วางใจในเจตนาของไบแซนไทน์[24] ความพยายามครั้งใหม่ที่จะแสวงหาความร่วมมือระหว่างบัลแกเรียและไบแซนไทน์เกิดขึ้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1355 [25]เมื่อจักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอสทรงบังคับให้จักรพรรดิจอห์นที่ 6 คันตาคูเซนอสสละราชสมบัติ ส่งผลให้จักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอสทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของจักรวรรดิแต่เพียงผู้เดียว พระองค์ได้สร้างพันธมิตรกับบัลแกเรีย เพื่อให้สัญญาการเป็นพันธมิตรมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการกำหนดให้พระราชโอรสของพระองค์ อันโดรนิคอสที่ 4 พาลาโอโลกอสอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแกรัตซา พระธิดาของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ [26][3] แต่การสร้างพันธมิตรระหว่างกันในครั้งนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สำคัญแต่ประการใด[27] ปัญหาความมั่นคงภายในและความขัดแย้งจากภายนอกประมาณ ค.ศ. 1349 ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ทรงหย่ากับซารีนาแตออดอราแห่งวอเลเคียพระชายาพระองค์แรกด้วยเหตุผลการรักษาความมั่นคงภายใน และอภิเษกสมรสใหม่กับซารีนาซารา–แตออดอรา ซึ่งเคยนับถือศาสนายูดาย และเปลี่ยนมานับถืออีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ในภายหลัง[5] การอภิเษกสมรสใหม่ครั้งนี้ ส่งผลให้ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ทรงมีพระราชบุตรเพิ่มขึ้น และได้แต่งตั้งพระราชบุตรเหล่านี้ให้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิร่วม ประกอบด้วย อีวัน ชิชมัน ใน ค.ศ. 1365 และอีวัน อาแซนที่ 5 ใน ค.ศ. 1359 อย่างไรก็ตามพระโอรสที่ประสูติแต่ซารีนาแตออดอราแห่งวอเลเคีย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิร่วมในวีดินคือ อีวัน สรัตซีมีร์ เปลี่ยนเป็นผู้ปกครองดินแดนอย่างอิสระใน ค.ศ. 1356[5] ส่วนซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์เป็นผู้ควบคุมผู้ปกครองใต้อาณัติที่เข้มแข็ง อย่างวอเลเคียและโดบรูยา ซึ่งผู้ปกครองเหล่านี้ได้พยายามที่จะดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยตนเองมากขึ้น[28] ตั้งแต่ช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นไป บัลแกเรียประสบปัญหากับการขยายอำนาจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งฮังการีแห่งราชวงศ์กาเปเตียง อองจู ซึ่งได้ควบรวมดินแดนมอลเดเวียไว้ในอำนาจใน ค.ศ. 1352 และสถาปนาพื้นที่แห่งนั้นขึ้นเป็นราชรัฐภายใต้อาณัติของพระองค์ นอกจากนี้พระองค์ยังนำกองกำลังฮังการีเข้ายึดครองเมืองวีดินใน ค.ศ. 1365[5][23] และจับตัวซาร์อีวัน สรัตซีมีร์และพระบรมวงศานุวงศ์เป็นเชลย[5][28] ใน ค.ศ. 1364 บัลแกเรียและไบแซนไทน์เริ่มมีปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างกันอีกครั้ง และใน ค.ศ. 1366 ความขัดแย้งนี้เริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อจักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอสกำลังเสด็จกลับจากการเสด็จประพาสพื้นที่ทางภาคตะวันตก แต่บัลแกเรียปฏิเสธไม่ให้ไบแซนไทน์เดินทางผ่านดินแดนของบัลแกเรีย การกระทำเช่นนี้ของบัลแกเรียก่อให้เกิดผลย้อนกลับ เมื่ออมาเดอุสที่ 6 แห่งซาวอยซึ่งเป็นพันธมิตรกับไบแซนไทน์ ได้นำกองกำลังครูเสด ยึดเมืองชายทะเลหลายแห่งของบัลแกเรีย เช่น อันคีอาลอส (ปอมอรีแอ) และเมเซมเบรีย (แนแซเบอร์) เป็นการตอบโต้ รวมไปถึงได้พยายามยึดเมืองวาร์นา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุดซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์จำยอมต้องเจรจาสันติภาพ[29] ผลของการตกลงสันติภาพในครั้งนี้ จักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอส ตกลงจ่ายเงินให้บัลแกเรียเป็นจำนวน 180,000 ฟลอริน ในขณะที่เมืองที่กองกำลังครูเสดยึดได้ตกเป็นของไบแซนไทน์[5] ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์นำเงินที่ได้และการยอมตกลงมอบดินแดนบางส่วนให้เพื่อจูงใจให้ผู้ปกครองดินแดนภายใต้อาณัติโดยนิตินัยอย่างดอบรอติดซาแห่งโดบรูยา[30] และวลัดดีสลัฟที่ 1 แห่งวอเลเคีย[31][32] ช่วยเหลือในการช่วงชิงวีดินกลับคืนมาจากฮังการี[33] สงครามครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และใน ค.ศ. 1369 ซาร์อีวัน สรัตซีมีร์ได้กลับมาปกครองวีดินอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าพระมหากษัตริย์แห่งฮังการีจะบังคับให้ซาร์อีวัน สรัตซีมีร์ยอมรับว่าอยู่ภายใต้อำนาจของฮังการีก็ตาม[34] แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ความสำเร็จนี้ไม่สามารถช่วยให้ดินแดนที่สูญเสียไปทางภาคตะวันออกเฉียงใต้กลับคืนมาได้ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้นเมื่อสุลต่านมูรัดที่ 1 แห่งออตโตมันทำสงครามรุกรานพื้นที่บริเวณเธรซใน ค.ศ. 1361 และสามารถยึดอเดรียโนเปิลได้สำเร็จใน ค.ศ. 1369 และสถาปนาเมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเพื่อใช้ในการขยายอำนาจต่อไป นอกจากนี้ออตโตมันยังเข้ายึดเมืองฟิลิปโปโปลิสและแบรอแอ (สตาราซากอรา) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของบัลแกเรีย[35] ระหว่างที่เหล่าเจ้าชายในบัลแกเรียและเซอร์เบียในมาซีโดเนียกำลังร่วมมือกันเพื่อต่อต้านออตโตมัน ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์เสด็จสวรรคตในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1371[36] พระโอรสของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ทั้งสองพระองค์เป็นผู้สืบพระอิสริยยศ ซาร์แห่งบัลแกเรีย โดยอีวัน สรัตซีมีร์ขึ้นครองราชย์ในวีดิน[23] ส่วนอีวัน ชิชมันขึ้นครองราชย์ในเตอร์นอวอ[23] ขณะที่ผู้ปกครองของโดบรูยาและวอเลเคียมีอิสระในการปกครองมากยิ่งขึ้น วัฒนธรรมและศาสนาในรัชสมัยของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ จักรวรรดิบัลแกเรียที่ 2 เข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฟื้นฟูวัฒนธรรม หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคทองของวัฒนธรรมบัลแกเรียครั้งที่ 2[37][38] โดยยุคทองครั้งแรกเกิดขึ้นในรัชสมัยของซาร์ซีแมออนที่ 1 แห่งบัลแกเรีย[39] ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้มีพระบรมราชโองการให้สร้างและซ่อมแซมอารามและโบสถ์หลายแห่ง[3][40] โดยพบภาพเหมือนผู้อุทิศของพระองค์ปรากฏอยู่ในออสชัวรีของอารามบัคกอฟสกีและในโบสถ์หินสกัดแห่งอีวันนอวอ[41] นอกจากนี้เอกสารการบริจาคของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอและหลักฐานอื่นช่วยพิสูจน์ให้ทราบว่ามีศาสนสถานหลายแห่งได้รับการบูรณะหรือสร้างใหม่ในรัชสมัยของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ เช่น มหาวิหารพระมารดาแห่งพระเจ้าเอเลอูซาและโบสถ์เซนต์นิโคลัสที่เมืองแนแซเบอร์[5][41] และอารามแปแชสกี ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองแปรนิกเป็นต้น [41][42] นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้ริเริ่มการก่อสร้างอารามดรากาเลฟสกีและอารามในเมืองกีลีฟาแรวออีกด้วย[5] นอกจากการสร้างและบูรณะศาสนสถานหลายแห่งแล้ว ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์มีพระบรมราโชบายในการเสริมสร้างสถานะของคริสตจักรบัลแกเรียออร์ทอดอกซ์ให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ด้วยการไล่ล่าและจับกุมกลุ่มนอกรีตและยิว[43] นอกจากนี้พระองค์ยังจัดการประชุมทางศาสนา ซึ่งมีการตำหนิกลุ่มนิกายนอกรีต เช่น ลัทธิบอกอมิล แอดาไมต์และยูไดห์เซอร์[5][44] เป็นจำนวน 2 ครั้ง ใน ค.ศ. 1350 และ ค.ศ. 1359–1360[45] ในรัชสมัยของพระองค์ แตออดอซีย์แห่งเตอร์นอวอเป็นผู้แทนชาวบัลแกเรียคนสำคัญในขบวนการฝึกจิตวิญญาณที่เรียกว่าเฮซิแคซึม ซึ่งเป็นวิธีการสวดภาวนารูปแบบหนึ่งที่เน้นการภาวนาในความเงียบสงบและจิตจดจ่ออยู่กับการภาวนา เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมทั่วไปในดินแดนที่นับถืออีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ในช่วงคริสต์ศวรรษที่ 14[46] นอกจากกิจกรรมทางด้านศาสนาแล้ว กิจกรรมทางด้านวรรณกรรมก็เฟื่องฟูเช่นกัน โดยพบงานวรรณกรรมสำคัญหลายชิ้นที่เขียนขึ้นในสมัยนี้ เช่น การแปลบันทึกเหตุการณ์ของมานาสสิส (ค.ศ. 1344–1345) เป็นภาษาบัลแกเรีย ปัจจุบันงานแปลชิ้นนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุนครรัฐวาติกัน[5][47] พระวรสารซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดบริติช[48] หนังสือเพลงสวดสดุดีตอมีชอฟ (ค.ศ. 1360) ปัจจุบันเก็บรักษาที่มอสโคว [5] และหนังสือเพลงสวดสดุดีโซเฟีย (ค.ศ. 1337)[49] เป็นต้น ด้านกิจกรรมทางการค้า จักรวรรดิบัลแกเรียมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับมหาอำนาจทางการค้าในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่สาธารณรัฐเวนิส สาธารณรัฐเจนัวและสาธารณรัฐรากูซา[50] โดยใน ค.ศ. 1353 ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้ออกกฎบัตรอนุญาตให้พ่อค้าชาวเวนิสสามารถซื้อหรือขายสินค้าในดินแดนบัลแกเรียได้ หลังจากที่ดอเจอันเดรอา ดานโดโลยืนยันจะเคารพสนธิสัญญาที่ทั้ง 2 ประเทศได้ทำร่วมกันไว้[51] อีวัน วาซอฟ ซึ่งเป็นกวีและนักประพันธ์ของบัลแกเรียในยุคสมัยใหม่ ได้แรงบันดาลใจจากยุคสมัยของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ โดยแต่งนิยายสั้นเรื่อง Ivan–Aleksandǎr[52] และบทนาฏกรรม Kǎm propast (สู่ห้วงลึก) ซึ่งงานทั้งสองชิ้นนี้มีซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์เป็นตัวละครหลัก[52] ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 มีการค้นพบชิ้นส่วนของเสื้อผ้า ซึ่งลงพระนามโดยซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์และถูกร้อยเข้าด้วยทองคำในสุสานของชนชั้นสูงใกล้กับเมืองพีรอต ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเซอร์เบียในเบลเกรด โดยการค้นพบในครั้งนี้ช่วยยืนยันธรรมเนียมที่เกิดขึ้นในยุคกลางของผู้ปกครองออร์ทอดอกซ์ที่จะพระราชทานเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ให้กับบุคคลสำคัญ[53] ชื่อสถานที่ในปัจจุบัน ซึ่งตั้งตามพระนามของซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์ได้แก่ แหลมอีวัน อาแลกซันเดอร์บนเกาะเนลสันในหมู่เกาะเชตแลนด์ใต้ของทวีปแอนตาร์กติกา[54] พระราชบุตรซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์อภิเษกสมรสครั้งแรกกับซารีนาแตออดอราแห่งวอเลเคีย พระธิดาของบาซารับที่ 1 แห่งวอเลเคีย มีพระโอรสธิดาหลายพระองค์ ซึ่งรวมถึงซาร์อีวัน สรัตซีมีร์ ซึ่งเป็นซาร์แห่งบัลแกเรียในวีดินระหว่าง ค.ศ. 1356–1397 เจ้าชายมีคาอิล อาแซนที่ 4 และเจ้าชายอีวัน อาแซนที่ 4 ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์อภิเษกสมรสครั้งที่ 2 กับซารีนาซารา–แตออดอรา มีพระโอรสธิดาหลายพระองค์ ซึ่งรวมถึงจักรพรรดินีแกรัตซา ซึ่งอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิอันโดนิคอสที่ 4 พาลาโอโลกอส จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ ซาร์อีวัน ชิชมันซึ่งสืบราชสมบัติในฐานะซาร์แห่งบัลแกเรียในเตอร์นอวอ เจ้าชายอีวัน อาแซนที่ 5 เจ้าหญิงแกรา ตามาราซึ่งครั้งแรกอภิเษกสมรสครั้งแรกกับเดิสเปิตกอนสตันตินและครั้งที่ 2 กับสุลต่านมูรัดที่ 1[55] แห่งจักรวรรดิออตโตมัน[8] รวมไปถึงพระธิดา 2 พระองค์ คือ เจ้าหญิงแดซิสลาวาและเจ้าหญิงวาซีลีซา[8]
อ้างอิงเชิงอรรถ
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ซาร์อีวัน อาแลกซันเดอร์แห่งบัลแกเรีย
|