ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ถือเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม โดยเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทิเบตแล้วไหลมาทางทิศใต้ผ่าน 6 ประเทศ ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ที่บริเวณนี้ โดยบริเวณที่เกิดการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นพบว่าแม่น้ำโขงมีการแตกออกเป็นสาขาย่อย ๆ หลายสาขา ปัจจุบันพบว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีความกว้างของดินดอนสามเหลี่ยมใหญ่ที่สุดที่หนึ่งของโลกและกินพื้นที่ 39,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นสัดส่วนโดยมากของพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม พื้นที่ของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำนั้นขึ้นกับแต่ละฤดู เพราะปริมาณน้ำไม่เท่ากัน จากการศึกษาพบว่าบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้นมีการพัดพาของน้ำมาประมาณ 470 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี ซึ่งน้ำที่ไหลมาในบริเวณนี้ได้พัดพาตะกอนมาตกสะสมประมาณ 790,000–810,000 ตารางกิโลเมตรต่อปี นอกจากนี้พบว่าเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา มีการพอกของตะกอนในบริเวณนี้ในลักษณะการพอกคืบเข้าไปในทะเลคิดเป็น 200 กิโลเมตร รอบชายแดนของประเทศกัมพูชาและชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยในปัจจุบันพบว่าลักษณะปรากฏของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้น มีรูปร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมที่กินเนื้อที่เป็นบริเวณกว้าง ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้มีการศึกษาเรื่องการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตบริเวณนี้ โดยพบว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่กว่า 10,000 สายพันธุ์ ซึ่งทำให้บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนี้นอกจากจะมีความน่าสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยาแล้วยังมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากในการศึกษาเกี่ยวกับระบบชีววิทยาของพื้นที่ จากการสะสมตัวของตะกอนพบว่าตะกอนที่สะสมตัวในหุบเขาซึ่งทับอยู่บนชั้นตะกอนที่มีอายุสมัยไพลสโตซีน นั้นเกิดการสะสมตัวในช่วงที่มีเกิดเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลอย่างรวดเร็วครั้งล่าสุด ซึ่งพบว่าแม่น้ำโขงในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดหรือเมื่อประมาณ 18,000 ปีมาแล้วนั้น ตำแหน่งของทางน้ำอยู่ทางตะวันออกของบริเวณที่เป็นหุบเขาทำให้บริเวณหุบเขามีลักษณะเป็นปากแม่น้ำ ขณะที่น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นจึงเกิดการสะสมตัวของตะกอนที่เป็นตะกอนปากแม่น้ำ เมื่อน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นปากแม่น้ำจึงย้ายเข้าไปในแผ่นดินมากขึ้นทำให้บริเวณนี้ได้รับอิทธิพลจากกระบวนการทางทะเลมากขึ้น จึงเกิดการสะสมตัวของที่ราบที่ได้รับผลจากน้ำขึ้น-น้ำลง หลังจากนั้นพบว่าเกิดการสะสมตัวของตะกอนดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดและกำลังเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ทำให้พบลักษณะการเพิ่มขึ้นของขนาดเม็ดตะกอนเมื่อใกล้พื้นผิวมากขึ้น โดยเราสามารถแบ่งดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงออกเป็น 2 บริเวณตามอิทธิพลหลักที่มีผลต่อการสะสมตัวของตะกอนในแต่ละบริเวณ คือ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของนครโฮจิมินห์ โดยมีการสะสมตัวของตะกอนเกิดเป็นรูปร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมซึ่งกินพื่นที่เป็นบริเวณกว้าง กล่าวคือพื้นที่บางส่วนของจังหวัดเตี่ยนยางทางทิศตะวันออกถึงจังหวัดอันยางและจังหวัดเกียนยางทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยถ้ามองสัดส่วนที่กว้างขึ้นเราจะพบว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้นตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีภูมิประเทศที่หลากหลายมาก โดยบริเวณนี้พบทั้งภูเขาและพื้นที่สูงทางทิศเหนือและทิศตะวันตก และพบลักษณะของที่ราบน้ำท่วมถึงบริเวณทิศใต้ นอกจากนี้ยังพบว่าลักษณะภูมิประเทศบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีผลของการเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการเคลื่อนที่ชนกันของแผ่นอินเดียและแผ่นยูเรเซียเมื่อประมาณ 50 ล้านปีมาแล้ว ลักษณะของตะกอนทรายที่พบบริเวณตอนล่างของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีการพัดพามาโดยแม่น้ำโขงเป็นหลัก ซึ่งการสะสมตัวของตะกอนในบริเวณนี้เริ่มเกิดขึ้นมามากกว่าล้านปีแล้ว สภาพภูมิอากาศเนื่องมาจากบริเวณนี้เป็นบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีความชันไม่มาก จึงทำให้ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีการท่วมของน้ำอันเนื่องมาจากการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน โดยจากการศึกษาของสถาบันวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอของประเทศเวียดนามพบว่าจากการศึกษาสามารถคาดคะเนได้ว่าหลายจังหวัดในประเทศเวียดนามจะจมอยู่ใต้น้ำในปี 2030 โดยพื้นที่เสี่ยงที่สุดคือจังหวัดเบ๊นแตรและจังหวัดลองอัน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าถ้ามีการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลประมาณ 1 เมตร ทั้งสองจังหวัดนี้มีความเสี่ยงต่อการท่วมของน้ำสูงถึง 51% และ 49% ตามลำดับ ลักษณะทางธรณีวิทยาจากการศึกษาถึงลักษณะทางธรณีวิทยาของพื้นที่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงพบว่าบริเวณนี้มีการแบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือพื้นที่ที่อยู่เหนือน้ำและพื้นที่ที่อยู่ใตน้ำ
หน้าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงถือเป็นดินดอนสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม โดยเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทิเบตแล้วไหลมาทางทิศใต้ผ่าน 6 ประเทศ ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ที่บริเวณนี้ โดยบริเวณที่เกิดการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นพบว่าแม่น้ำโขงมีการแตกออกเป็นสาขาย่อย ๆ หลายสาขา ปัจจุบันพบว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีความกว้างของดินดอนสามเหลี่ยมใหญ่ที่สุดที่หนึ่งของโลกและกินพื้นที่ 39,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นสัดส่วนโดยมากของพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม พื้นที่ของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำนั้นขึ้นกับแต่ละฤดู เพราะปริมาณน้ำไม่เท่ากัน จากการศึกษาพบว่าบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้นมีการพัดพาของน้ำมาประมาณ 470 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี ซึ่งน้ำที่ไหลมาในบริเวณนี้ได้พัดพาตะกอนมาตกสะสมประมาณ 790,000–810,000 ตารางกิโลเมตรต่อปี นอกจากนี้พบว่าเมื่อประมาณ 6000 ปีที่ผ่านมา มีการพอกของตะกอนในบริเวณนี้ในลักษณะการพอกคืบเข้าไปในทะเลคิดเป็น 200 กิโลเมตร รอบชายแดนของประเทศกัมพูชาและชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยในปัจจุบันพบว่าลักษณะปรากฏของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้น มีรูปร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมที่กินเนื้อที่เป็นบริเวณกว้าง ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้มีการศึกษาเรื่องการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตบริเวณนี้ โดยพบว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่กว่า 10,000 สายพันธุ์ ซึ่งทำให้บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนี้นอกจากจะมีความน่าสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยาแล้วยังมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากในการศึกษาเกี่ยวกับระบบชีววิทยาของพื้นที่ การลำดับชั้นตะกอนในบริเวณนี้พบว่าจากการเจาะศึกษาตะกอน สามารถแบ่งตะกอนได้ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ
ประวัติศาสตร์และความสำคัญตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในสมัยโบราณเคยเป็นอาณาเขตของอาณาจักรขอม โดยมีหลักฐานเป็นวัตถุโบราณต่าง ๆ มีภูมิประเทศเป็นหนองบึง และป่าไม้ ก่อนที่ชาวอาณานิคมพวกแรกที่เข้ามาทางทะเลจะมาถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในยุคที่อยู่ใต้การปกครองของตระกูลเหวียน ได้มีการปรับปรุงสภาพหนองบึงผืนใหญ่ และสร้างเครือข่ายลำคลองเล็ก ๆ มากมาย จนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้มีการขุดคลองใหญ่ขึ้น 2 สาย คือ คลองไทฮวา ซึ่งเชื่อมเมืองร้ากยากับเมืองลองเสวียน และคลองวิงห์เตซึ่งเชื่อมเมืองเจาด๊ก[1] ปัจจุบันดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนับได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่กระแสน้ำพัดมามาทับถมไว้ ซึ่งที่นี่สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม ซึ่งดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีชื่อเรียกในภาษาเวียดนามว่า "đồng bằng sông Cửu Long" (หวงเต่าซองกิ๋วล่อง หมายถึง "ดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำ 9 มังกร")[2] อ้างอิง
ดูเพิ่มแหล่งข้อมูลอื่น
|