ทะเลสาบอูร์เมีย ภาพถ่ายจากอวกาศ ค.ศ. 1984
พิกัด 37°42′N 45°22′E / 37.700°N 45.367°E / 37.700; 45.367 ชนิด ทะเลสาบน้ำเค็ม แหล่งน้ำไหลเข้าหลัก แม่น้ำแซร์รีเน , แม่น้ำซีมีเน , แม่น้ำแมฮอบอด , แม่น้ำกอแดร์ , แม่น้ำบอรอนดูซ , แม่น้ำแชแฮร์ , แม่น้ำ Nazlou , แม่น้ำโซลอ , Kaftar Ali Chay , Aji Chay , Boyuk Chay , Rudkhaneh-ye Qal'eh Chay , Qobi Chay , Rudkhaneh-ye Mordaq , แม่น้ำ Leylan แหล่งน้ำไหลออก ไม่มี : น้ำในทะเลสาบทั้งหมดหายไปผ่านการระเหย ประเทศในลุ่มน้ำ ประเทศอิหร่าน ช่วงยาวที่สุด 140 กิโลเมตร (87 ไมล์) ช่วงกว้างที่สุด 55 กิโลเมตร (34 ไมล์) พื้นที่พื้นน้ำ 5,200 ตารางกิโลเมตร (2,000 ตารางไมล์) ความลึกสูงสุด 16 เมตร (52 ฟุต) ความเค็ม น้ำเกลือเข้มข้น 217–235 g L−1 Na–(Mg)–Cl–(SO4 )[ 1] 8–11% ในฤดูใบไม้ผลิ, 26–28% ในฤดูใบไม้ร่วงตอนปลาย[ 2] เกาะ 102 (ดูรายชื่อ ) ชื่อที่ขึ้นทะเบียน ทะเลสาบอูร์เมีย [หรือโอรูมีเย] ขึ้นเมื่อ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1975 เลขอ้างอิง 38[ 3]
การลดลงของพื้นผิวทะเลสาบอูร์เมีย
ทะเลสาบอูร์เมียในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015
ทะเลสาบอูร์เมีย (เปอร์เซีย : دریاچه ارومیه , Daryâche-ye Orumiye ; อาร์มีเนีย : Ուրմիա լիճ ; อาเซอร์ไบจาน : اورمو ﮔﺆﻟﻮ , Urmiya gölü ; เคิร์ด : دەریاچەی ورمێ ) เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ในประเทศอิหร่าน [ 4] [ 5] ทะเลสาบตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออก กับจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันตก ของประเทศอิหร่าน และอยู่ในบริเวณทะเลแคสเปียน ตอนใต้ฝั่งตะวันตก ตอนมีขนาดใหญ่สุด ทะเลสาบนี้เคยเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง และทะเลสาบน้ำเค็ม ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก โดยมีพื้นที่ผิวประมาณ 5,200 ตารางกิโลเมตร (2,000 ตารางไมล์) ยาว 140 กิโลเมตร (87 ไมล์) กว้าง 55 กิโลเมตร (34 ไมล์) และจุดที่ลึกสุดอยู่ที่ 16 เมตร (52 ฟุต)[ 6] ในช่วงปลาย ค.ศ. 2017 ทะเลสาบนี้ลดขนาดลงถึง 10% ของขนาดในอดีต (และมวลน้ำ 1/60 ใน ค.ศ. 1998) เนื่องจากภัยแล้งทั่วไปต่อเนื่องในประเทศ มีการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำที่ไหลไปหามัน และการสูบน้ำบาดาล จากพื้นที่โดยรอบ[ 7] ทะเลสาบนี้เริ่มมีน้ำเข้ามาตั้งแต่ ค.ศ. 2019 และเริ่มฟื้นฟูใน ค.ศ. 2020 เนื่องจากมีอัตราหยาดน้ำฟ้าเฉลี่ยมากกว่าปกติและการจัดโครงการฟื้นฟูทะเลสาบอูร์เมีย[ 8]
อ้างอิง
↑ Stevens, Lora R.; Djamali, Morteza; Andrieu-Ponel, Valérie; de Beaulieu, Jacques-Louis (1 April 2012). "Hydroclimatic variations over the last two glacial/interglacial cycles at Urmia Lake, Iran" . Journal of Paleolimnology . Springer Netherlands. 47 (4): 647. doi :10.1007/s10933-012-9588-3 . S2CID 128970562 .
↑ Urmia Lake. 2012. Encyclopædia Britannica Online. Retrieved 14 August 2015, from http://www.britannica.com/EBchecked/topic/619901/Lake-Urmia
↑ "Lake Urmia [or Orumiyeh]" . Ramsar Sites Information Service. สืบค้นเมื่อ 25 April 2018 .
↑ Henry, Roger (2003) Synchronized chronology: Rethinking Middle East Antiquity: A Simple Correction to Egyptian Chronology Resolves the Major Problems in Biblical and Greek Archaeology Algora Publishing, New York, p. 138 , ISBN 0-87586-191-1
↑ E. J. Brill's first encyclopaedia of Islam, 1913–1936 , vol. 7, page 1037 citing Strabo and Ptolemy .
↑ "Britanica" . Britannica.com. สืบค้นเมื่อ 4 September 2011 .
↑ Stone, Richard (2 September 2015). "Saving Iran's great salt lake" . Science . 349 (6252): 1044–5, 1047. Bibcode :2015Sci...349.1044S . doi :10.1126/science.aad1702 . PMID 26339009 .
↑ Dudley, Dominic. "Iran's Lake Urmia: How A Dying Salt Lake Is Being Brought Back From The Brink" . Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-05-29 .
แหล่งข้อมูลอื่น