นกโมอา (อังกฤษ : moa ) เป็นกลุ่มนกที่บินไม่ได้ สูญพันธุ์แล้วที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์[ 4] ในสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย -สมัยโฮโลซีน มี 9 ชนิด (ใน 6 สกุล) โดย Dinornis robustus และ Dinornis novaezelandiae 2 ชนิดที่ใหญ่ที่สุด มีความสูงถึงประมาณ 3.6 เมตร (12 ฟุต) (ยืดคอแล้ว) และหนักประมาณ 230 กิโลกรัม (510 ปอนด์)[ 5] ส่วนนกโมอาพุ่มไม้ (Anomalopteryx didiformis ) ชนิดที่เล็กที่สุด มีขนาดประมาณเท่ากับไก่งวง [ 6] ประชากรนกโมอาทั้งหมดในช่วงที่ชาวพอลินีเชีย เข้าตั้งถิ่นฐานในนิวซีแลนด์ประมาณ ค.ศ. 1300 มีหลากหลาย ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่าง 58,000[ 7] ถึงประมาณ 2.5 ล้านตัว[ 8]
นกโมอาเดิมจัดอยู่ในกลุ่ม ratite [ 4] อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาทางพันธุกรรมพบว่าญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของนกโมอาคือ tinamou จากทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเคยเป็นกลุ่มพี่น้อง กับ ratites.[ 9] นกโมอา 9 ชนิดบินไม่ได้ โดยเป็นสัตว์บนพื้นดินที่ใหญ่ที่สุดและเป็นสัตว์กินพืช ชั้นสูงสุดในระบบนิเวศ ป่า ไม้พุ่ม และใต้เทือกเขาของนิวซีแลนด์ จนกระทั่งการเข้ามาของชาวมาวรี และพวกมันถูกล่าเฉพาะจากอินทรีฮาสท์ นกโมอาสูญพันธุ์หลังการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในนิวซีแลนด์ภายใน 100 ปี โดยหลักเนื่องจากการล่าสัตว์มากเกินไป[ 7]
รายละเอียด
เปรียบเทียบขนาดระหว่างนหโมอา 4 ชนิดกับมนุษย์
1. Dinornis novaezealandiae
2. Emeus crassus
3. Anomalopteryx didiformis
4. Dinornis robustus
เดิมทีมีการจัดโครงกระดูกโมอาในแบบตั้งตรง เพื่อสร้างความสูงที่น่าประทับใจ แต่การวิเคราะห์ข้อต่อกระดูกสันหลังแสดงให้เห็นว่าพวกมันอาจยกศีรษะไปข้างหน้า[ 10] คล้ายกับนกกีวี กระดูกสันหลังติดอยู่ที่หลังศีรษะมากกว่าฐาน แสดงถึงการจัดตำแหน่งในแนวนอน สิ่งนี้จะทำให้พวกมันกินหญ้าบนพืชเตี้ย แล้วสามารถเงยหน้าขึ้น และเดินดูต้นไม้ได้เมื่อจำเป็น ส่งผลให้มีการพิจารณาความสูงของโมอาที่ใหญ่กว่าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ศิลปะบนหิน ของชาวมาวรีแสดงภาพโมอาหรือนกคล้ายโมอา (น่าจะเป็นห่าน หรือadzebill ) ที่มีคอตั้งตรง แสดงว่าโมอาสามารถยกคอเกินกว่าทั้งสองแบบได้[ 11] [ 12]
การจัดอันดับ
อนุกรมวิธาน
โครงกระดูกของ Anomalopteryx didiformis
ฟอสซิลโครงกระดูกนกโมอาตีนหนัก (Pachyornis elephantopus )
สกุลและชนิดที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน มีดังนี้:[ 5]
อันดับ † Dinornithiformes (Gadow 1893) Ridgway 1901 [Dinornithes Gadow 1893 ; Immanes Newton 1884 ] (นกโมอา)
วงศ์ Dinornithidae Owen 1843 [Palapteryginae Bonaparte 1854; Palapterygidae Haast 1874; Dinornithnideae Stejneger 1884] (นกโมอายักษ์)
วงศ์ Emeidae (Bonaparte 1854) [Emeinae Bonaparte 1854 ; Anomalopterygidae Oliver 1930 ; Anomalapteryginae Archey 1941 ] (นกโมอาน้อย)
วงศ์ Megalapterygidae
มีนกโมอาชนิดที่ไม่ได้รับการตั้งชื่อ 2 ชนิดจาก Saint Bathans Fauna.[ 13]
ลักษณะ
นกโมอาเป็นนกที่มีขนาดใหญ่กว่านกปกติทั่วไป บินไม่ได้และมีรูปร่างคล้ายกับนกกระจอกเทศ ในปัจจุบันแต่ตัวใหญ่กว่า มีส่วนหัวที่ยาวกว่าเอาไว้กินพืชเตี้ย ๆ และตามต้นไม้สูง ๆ
ขนาดและรูปร่างนกโมอานั้นเปลี่ยนไปตามสถานที่ต่าง ๆ เนื่องจากนกโมอาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพมาโดยตลอดซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม
การเปล่งเสียง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการอัดเสียงของนกโมอาไว้ แต่จากการศึกษาดูกระดูกส่วนหัวและลำคอของนกโมอา ได้ทำให้พอจะรู้ว่าเสียงของนกโมอาเป็นยังไง
กล่องเสียงของนกโมอานั้นมีวงแหวนอยู่หลายวง ซึ่งมีชื่อว่า Tracheal rings วงแหวนหนึ่งอันนั้น พอคลี่ออกมาแล้วจะมีความยาวถึงประมาณ 1 เมตร
เพราะวงแหวนตัวนี้ทำให้เสียงของนกโมอานั้นมีความใกล้เคียงกับหงส์, นกกระเรียน และ ไก่ขนดำจุดขาวในวงศ์ Numididae และนกกระทานิวกินี เสียงนกโมอาสามารถไปได้ไกลมาก
อาหาร
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นนกโมอาอย่างแท้จริง แต่โดยการวิเคราะห์จากซากฟอสซิลของนกโมอา ได้ทำให้รู้ว่ามันกินพืชส่วนใหญ่และกิ่งไม้เล็ก ๆ จากต้นไม้ที่ไม่สูงมาก
ตรงปากของนกโมอานั้นแข็งแรงมากและถูกใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวจากสัตว์อื่นได้
การขยายและสืบพันธุ์
จากการศึกษากระดูกของนกโมอา ทำให้รู้ได้ว่านกโมอามีการเจริญเติบโตที่ยาวนานมาก มันใช้เวลาประมาณ 10 ปีเพื่อที่จะพัฒนาจากเป็นเด็กสู่ตัวผู้ใหญ่เต็มตัว
ไข่
ชิ้นส่วนของไข่ ของนกโมอาถูกค้นพบอยู่เป็นประจำในแหล่งต่างๆที่ฟอสซิลถูกค้นพบและตามบริเวณทรายรอบๆชายฝั่งนิวซีแลนด์ในปัจจุบันมีไข่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์
จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ รอบ ๆ นิวซีแลนด์เป็นจำนวน 36 ใบ แต่ละอันมีขนาดที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ 120 – 124 มิลลิเมตร ไปจนถึง 91 – 178 มิลลิเมตร
เปลือกนอกของไข่จะมีเอกลักษณ์อยู่ที่มีรูเล็ก ๆ ไข่ส่วนใหญ่จะมีสีขาว แต่ยกเว้นชนิด Megalapteryx didinus จะมีไข่เป็นสีน้ำเงินรึเขียว
รัง
ไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าโมอาเป็นนกที่อาศัยอยู่กันเป็นฝูง ส่วนใหญ่จะถูกพบเป็นย่อม ๆ ตามถ้ำต่าง ๆ การสำรวจถ้ำต่าง ๆ ในเกาะเหนือ รังของนกโมอานั้นส่วนใหญ่จะถูกกดลงไปในดิน
ส่วนที่แห้งและนิ่มในเขตพื้นที่ตอนกลางโอตาโก ของเกาะใต้ อากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้ใบไม้และวัสดุต่าง ๆ ที่นกโมอาใช้ในการทำรัง ยังคงอยู่ในสภาพใกล้เคียงเดิม
เมล็ดของต้นไม้ต่าง ๆ ที่ถูกพบตามแหล่งเหล่านี้เป็นหลักฐานได้ว่าส่วนใหญ่นกโมอาจะทำรังในช่วงฤดูร้อน
การสูญพันธุ์
ภาพจำลองการล่านกโมอาของชาวมาวรี
ศัตรูหลักของนกโมอาคือนกอินทรีฮาสท์ จนกระทั่งมนุษย์ได้เข้ามาบนเกาะนิวซีแลนด์ ชาวมาวรี ได้เริ่มเข้ามาในช่วง ค.ศ. 1300 และได้เริ่มการล่านกโมอาจนเริ่มสูญพันธุ์ ประมาณ ค.ศ. 1400 นกโมอาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วรวมไปถึงนกอินทรีฮาสท์ซึ่งสูญพันธุ์ไปด้วยเนื่องจากไม่มีนกโมอาให้กิน
การสูญพันธุ์ของนกโมอานั้นเกิดขึ้นภายในไม่ถึง 100 ปี ซึ่งผิดไปจากการสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ในช่วงแรกที่บอกว่านกโมอาใช้เวลาหลายร้อยปีในการค่อย ๆ สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1800 มีการอ้างว่าพบเห็นนกโมอาในหลาย ๆ แถบของประเทศนิวซีแลนด์ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนที่บ่งบอกว่านกโมอายังมีชีวิตอยู่จริง ในยุคปัจจุบันมีรายงานการพบเห็นนกโมอาในแถบฟยอร์ดแลนด์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะใต้ รวมถึงทางตอนเหนือของฟยอร์ดแลนด์ โดยบอกเล่ากันว่านกโมอาเป็นนกขนาดใหญ่ คอยาว มีความสูง 12 ฟุต มีขนสีสดใส ในปากเต็มไปด้วยฟันแหลมคม แต่ไม่มีปีก มีผู้อ้างว่าพบเห็นนกโมอาขณะที่กำลังปีนเขาอยู่ และได้ถ่ายรูปได้ แต่ทว่าเป็นรูปมัว ๆ และได้มีรายการโทรทัศน์ลงพื้นที่ไปตามหา พบรอยเท้าที่มีนิ้วเท้าสามนิ้วขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ใช่รอยเท้าของนกแก้วคาคาโป นกแก้วขนาดใหญ่ที่บินไม่ได้และหากินในเวลากลางคืน เพราะมีขนาดใหญ่กว่า แต่ทว่าก็ไม่น่าจะใช่ของนกโมอา เพราะนิ้วเท้ากลางนั้นใหญ่ยาวกว่านิ้วอื่น[ 14]
อ้างอิง
↑ Brands, S. (2008)
↑ 2.0 2.1 Stephenson, Brent (2009)
↑ Brodkob, Pierce (1963). "Catalogue of fossil birds 1. Archaeopterygiformes through Ardeiformes " . Biological Sciences, Bulletin of the Florida State Museum . 7 (4): 180–293. สืบค้นเมื่อ 30 December 2015 .
↑ 4.0 4.1 OSNZ (2009)
↑ 5.0 5.1 Davies, S.J.J.F. (2003)
↑ "Little bush moa | New Zealand Birds Online" . nzbirdsonline.org.nz . สืบค้นเมื่อ 24 July 2020 .
↑ 7.0 7.1 Perry, George L.W.; Wheeler, Andrew B.; Wood, Jamie R.; Wilmshurst, Janet M. (1 December 2014). "A high-precision chronology for the rapid extinction of New Zealand moa (Aves, Dinornithiformes)" . Quaternary Science Reviews . 105 : 126–135. Bibcode :2014QSRv..105..126P . doi :10.1016/j.quascirev.2014.09.025 . สืบค้นเมื่อ 22 December 2014 .
↑ Latham, A. David M.; Latham, M. Cecilia; Wilmshurst, Janet M.; Forsyth, David M.; Gormley, Andrew M.; Pech, Roger P.; Perry, George L. W.; Wood, Jamie R. (March 2020). "A refined model of body mass and population density in flightless birds reconciles extreme bimodal population estimates for extinct moa" . Ecography (ภาษาอังกฤษ). 43 (3): 353–364. doi :10.1111/ecog.04917 . ISSN 0906-7590 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Phillips
↑ Worthy & Holdaway (2002)
↑ Schoon, Theo. "Cave drawing of a moa" . Te Ara Encyclopedia of New Zealand . Te Ara.
↑ "Te Manunui Rock Art Site" . Heritage New Zealand .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ReferenceA
↑ ChannelHub (2016-05-01). "Destination Truth S03E15 Spirits of Easter Island & The Moa" . Destination Truth . สืบค้นเมื่อ 2016-09-22 .
บรรณานุกรม
Anderson, Atholl (1989). "On evidence for the survival of moa in European Fiordland" (PDF) . New Zealand Journal of Ecology . 12 (Supplement): 39–44.
Baker, Allan J.; Huynen, Leon J.; Haddrath, Oliver; Millar, Craig D.; Lambert, David M. (2005). "Reconstructing the tempo and mode of evolution in an extinct clade of birds with ancient DNA: The giant moas of New Zealand" . PNAS . 102 (23): 8257–8262. Bibcode :2005PNAS..102.8257B . doi :10.1073/pnas.0409435102 . PMC 1149408 . PMID 15928096 .
Brands, Sheila (14 August 2008). "Systema Naturae 2000 / Classification, Order Dinornithiformes" . Project: The Taxonomicon . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 7 March 2009. สืบค้นเมื่อ 4 February 2009 .
Buller, W.L. (1888). A history of the birds of New Zealand . London: Buller.
Bunce, Michael; Worthy, Trevor ; Ford, Tom; Hoppitt, Will; Willerslev, Eske; Drummond, Alexei; Cooper, Alan (2003). "Extreme reversed sexual size dimorphism in the extinct New Zealand moa Dinornis " (PDF) . Nature . 425 (6954): 172–175. Bibcode :2003Natur.425..172B . doi :10.1038/nature01871 . PMID 12968178 . S2CID 1515413 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 28 January 2019.
Burrows, C.; และคณะ (1981). "The diet of moas based on gizzard contents samples from Pyramid Valley, North Canterbury, and Scaifes Lagoon, Lake Wanaka, Otago". Records of the Canterbury Museum . 9 : 309–336.
Davies, S.J.J.F. (2003). "Moas". ใน Hutchins, Michael (บ.ก.). Grzimek's Animal Life Encyclopedia . Vol. 8 Birds I Tinamous and Ratites to Hoatzins (2 ed.). Farmington Hills, MI: Gale Group. pp. 95–98. ISBN 978-0-7876-5784-0 .
Dawkins, Richard (2004). A Pilgrimage to the Dawn of Life, The Ancestor's Tale . Boston: Houghton Mifflin. p. 292. ISBN 978-0-618-00583-3 .
Dieffenbach, E. (1843). Travels in New Zealand . Vol. II. London: John Murray. p. 195. ISBN 978-1-113-50843-0 .
Dutton, Dennis (1994). "Skeptics Meet Moa Spotters" . New Zealand Skeptics Online . New Zealand: New Zealand Committee for the Scientific Investigation of Claims of the Paranormal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 8 March 2016. สืบค้นเมื่อ 14 February 2011 .
Forrest, R.M. (1987). "A partially mummified skeleton of Anomalopteryx didiformis from Southland" . Journal of the Royal Society of New Zealand . 17 (4): 399–408. doi :10.1080/03036758.1987.10426481 .
Fuller, Errol (1987). Bunney, Sarah (บ.ก.). Extinct Birds . London, England: The Rainbird Publishing Group. ISBN 978-0-8160-1833-8 .
Gill, B.J. (2007). "Eggshell characteristics of moa eggs (Aves: Dinornithiformes)" . Journal of the Royal Society of New Zealand . 37 (4): 139–150. doi :10.1080/03014220709510542 . S2CID 85006853 .
Gould, Charles (1886). Mythical Monsters . W.H. Allen & Co.
Hamilton, A. (1894). "On the feathers of a small species of moa (Megalapteryx didinus ) found in a cave at the head of the Waikaia River, with a notice of a moa-hunters camping place on the Old Man Range" . Transactions and Proceedings of the New Zealand Institute . 27 : 232–238.
Hartree, W.H. (1999). "A preliminary report on the nesting habits of moas in the East Coast of the North Island" (PDF) . Notornis . 46 (4): 457–460. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2017-05-19. สืบค้นเมื่อ 2023-03-07 .
Bernard Heuvelmans (1959). On the Track of Unknown Animals (3rd [1995] ed.). London: Kegan Paul International Ltd. Chapter 10. ISBN 978-0710304988 .
Hill, H. (1913). "The Moa – Legendary, Historical and Geographical: Why and When the Moa disappeared" . Transactions and Proceedings of the Royal Society of New Zealand . 46 : 330.
Holdaway, Richard ; Jacomb, C. (2000). "Rapid Extinction of the Moas (Aves: Dinornithiformes): Model, Test, and Implications". Science . 287 (5461): 2250–2254. Bibcode :2000Sci...287.2250H . doi :10.1126/science.287.5461.2250 . PMID 10731144 .
Holdaway, Richard ; Worthy, Trevor (1997). "A reappraisal of the late Quaternary fossil vertebrates of Pyramid Valley Swamp, North Canterbury". New Zealand Journal of Zoology . 24 : 69–121. doi :10.1080/03014223.1997.9518107 .
Horrocks, M.; และคณะ (2004). "Plant remains in coprolites: diet of a subalpine moa (Dinornithiformes) from southern New Zealand". Emu . 104 (2): 149–156. doi :10.1071/MU03019 . S2CID 86345660 .
Hutton, F.W.; Coughtrey, M. (1874). "Notice of the Earnscleugh Cave" . Transactions and Proceedings of the New Zealand Institute . 7 : 138–144.
Huynen, Leon; Gill, Brian J.; Millar, Craig D.; Lambert, David M. (30 August 2010). "Ancient DNA Reveals Extreme Egg Morphology and Nesting Behavior in New Zealand's Extinct Moa" . Proceedings of the National Academy of Sciences . 107 (30): 16201–16206. Bibcode :2010PNAS..10716201H . doi :10.1073/pnas.0914096107 . PMC 2941315 . PMID 20805485 .
Huynen, Leon J.; Millar, Craig D.; Scofield, R.P.; Lambert, David M. (2003). "Nuclear DNA sequences detect species limits in ancient moa" . Nature . 425 (6954): 175–178. Bibcode :2003Natur.425..175H . doi :10.1038/nature01838 . PMID 12968179 . S2CID 4413995 .
Laing, Doug (5 January 2008). "Birdman says moa surviving in the Bay" . Hawkes Bay Today . APN News & Media Ltd. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 24 July 2011. สืบค้นเมื่อ 14 February 2011 .
Millener, P.R. (1982). "And then there were twelve: the taxonomic status of Anomalopteryx oweni (Aves: Dinornithidae)" (PDF) . Notornis . 29 (1): 165–170. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-07-18. สืบค้นเมื่อ 2023-03-07 .
OSNZ (Jan 2009). "New Zealand Recognised Bird Names (NZRBN) database" . Ornithological Society of New Zealand Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 25 April 2015. สืบค้นเมื่อ 14 February 2011 .
Owen, Richard (1879). Memoirs on the Extinct Wingless Birds of New Zealand, with an Appendix of Those of England, Australia, Newfoundland, Mauritius and Rodriguez . London: John van Voorst. hdl :2152/16251 .
Phillips, Matthew J.; Gibb, Gillian C.; Crimp, Elizabeth A.; Penny, David (2010). "Tinamous and Moa Flock Together: Mitochondrial Genome Sequence Analysis Reveals Independent Losses of Flight among Ratites" . Systematic Biology . 59 (1): 90–107. doi :10.1093/sysbio/syp079 . PMID 20525622 .
Polack, J.S. (1838). New Zealand: Being a Narrative of Travels and Adventures During a Residence in that Country Between the Years 1831 and 1837 . Vol. I. London: Richard Bentley. pp. 303 , 307.
Purcell, Rosamond (1999). Swift as a Shadow . Mariner Books. p. 32 . ISBN 978-0-395-89228-2 .
Stephenson, Brent (5 January 2009). "New Zealand Recognised Bird Names (NZRBN) database" . New Zealand: Ornithological Society of New Zealand. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 25 April 2015. สืบค้นเมื่อ 10 May 2010 .
Turvey, Samuel T.; Green, Owen R.; Holdaway, Richard (2005). "Cortical growth marks reveal extended juvenile development in New Zealand moa" . Nature . 435 (7044): 940–943. Bibcode :2005Natur.435..940T . doi :10.1038/nature03635 . PMID 15959513 . S2CID 4308841 .
Vickers-Rich, P; Trusler, P; Rowley, MJ; Cooper, A; Chambers, GK; Bock, WJ; Millener, PR; Worthy, Trevor ; Yaldwyn, JC (1995). "Morphology, myology, collagen and DNA of a mummified moa, Megalapteryx didinus (Aves: Dinornithiformes) from New Zealand" (PDF) . Tuhinga: Records of the Museum of New Zealand Te Papa Tongarewa . 4 : 1–26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 22 May 2010.
Wood, J.R. (2007). "Moa gizzard content analyses: further information on the diet of Dinornis robustus and Emeus crassus , and the first evidence for the diet of Pachyornis elephantopus (Aves: Dinornithiformes)". Records of the Canterbury Museum . 21 : 27–39.
Wood, J.R. (2008). "Moa (Aves: Dinornithiformes) nesting material from rockshelters in the semi-arid interior of South Island, New Zealand". Journal of the Royal Society of New Zealand . 38 (3): 115–129. doi :10.1080/03014220809510550 . S2CID 129645654 .
Wood, J.R.; Worthy, Trevor ; Rawlence, N.J.; Jones, S.M.; Read, S.E. (2008). "A deposition mechanism for Holocene miring bone deposits, South Island, New Zealand". Journal of Taphonomy . 6 : 1–20. hdl :2440/62495 .
Worthy, Trevor (1989). "Mummified moa remains from Mt. Owen, northwest Nelson" (PDF) . Notornis . 36 : 36–38. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2017-12-13. สืบค้นเมื่อ 2023-03-07 .
Worthy, Trevor (1998a). "Quaternary fossil faunas of Otago, South Island, New Zealand". Journal of the Royal Society of New Zealand . 28 (3): 421–521. doi :10.1080/03014223.1998.9517573 .
Worthy, Trevor (1998b). "The Quaternary fossil avifauna of Southland, South Island, New Zealand". Journal of the Royal Society of New Zealand . 28 (4): 537–589. doi :10.1080/03014223.1998.9517575 .
Worthy, Trevor ; Holdaway, Richard (1993). "Quaternary fossil faunas from caves in the Punakaiki area, West Coast, South Island, New Zealand" . Journal of the Royal Society of New Zealand . 23 (3): 147–254. doi :10.1080/03036758.1993.10721222 .
Worthy, Trevor ; Holdaway, Richard (1994). "Quaternary fossil faunas from caves in Takaka Valley and on Takaka Hill, northwest Nelson, South Island, New Zealand". Journal of the Royal Society of New Zealand . 24 (3): 297–391. doi :10.1080/03014223.1994.9517474 .
Worthy, Trevor ; Holdaway, Richard (1995). "Quaternary fossil faunas from caves on Mt. Cookson, North Canterbury, South Island, New Zealand" . Journal of the Royal Society of New Zealand . 25 (3): 333–370. doi :10.1080/03014223.1995.9517494 .
Worthy, Trevor ; Holdaway, Richard (1996). "Quaternary fossil faunas, overlapping taphonomies, and paleofaunal reconstructions in North Canterbury, South Island, New Zealand" . Journal of the Royal Society of New Zealand . 26 (3): 275–361. doi :10.1080/03014223.1996.9517514 .
Worthy, Trevor ; Holdaway, Richard (2002). The Lost World of the Moa . Bloomington: Indiana University Press. ISBN 978-0-253-34034-4 .
Worthy, Trevor (Mar 2009). "A moa sighting?" . Te Ara – the Encyclopedia of New Zealand . สืบค้นเมื่อ 14 February 2011 .
Yong, Ed (Mar 2010). "DNA from the Largest Bird Ever Sequenced from Fossil Eggshells" . Discover Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2011-11-13. สืบค้นเมื่อ 14 February 2011 .
แหล่งข้อมูลอื่น