Share to:

 

ประชาธิปไตยแนวเจฟเฟอร์สัน

ภาพเหมือนของทอมัส เจฟเฟอร์สัน
โดยแรมบรันด์ท พีล ค.ศ. 1800

ประชาธิปไตยแนวเจฟเฟอร์สัน (อังกฤษ: Jeffersonian democracy) เป็นประเด็นของจุดประสงค์ทางการเมืองต่างๆ ที่ตั้งตามชื่อประธานาธิบดีทอมัส เจฟเฟอร์สัน ประชาธิปไตยแนวเจฟเฟอร์สันมีอิทธิพลเป็นอันมากต่อการเมืองอเมริกันระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1800 จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1820 และเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยแนวแจ็คสันที่มามีอิทธิพลต่อจากแนวเจฟเฟอร์สัน บุคคลสำคัญๆ ที่สนับสนุนรายละเอียดของประชาธิปไตยแนวนี้คือตัวเจฟเฟอร์สันเอง, แอลเบิร์ต กาลลาติน, จอห์น แรนดอล์ฟ โรอันโนค และ แนธาเนีย เมคอน

หัวใจของประชาธิปไตยแนวเจฟเฟอร์สันมีลักษณะที่ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ข้างล่างที่กลุ่มเจฟเฟอร์สันได้ทำการเสนอในรูปของสุนทรพจน์และกฎหมายต่างๆ:

  • คุณค่าทางการเมืองหลักของอเมริกาคือระบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน; พลเมืองมีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือรัฐและต่อต้านการฉ้อโกงโดยเฉพาะจากระบบกษัตริย์นิยม และ อภิชนาธิปไตย[1]
  • มนุษย์มีความสำนึกในสิทธิของเขาที่จะมีรัฐบาลของตนเอง เจฟเฟอร์สัน มีความเชื่อมั่นในความสามารถของประชาชนในการกำหนดและตัดสินท่าทีของรัฐบาลด้วยตนเอง[2]
  • เกษตรกรเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดีที่เป็นอิสระจากอิทธิพลของการฉ้อโกงจากรัฐบาลเมือง นโยบายของรัฐบาลก็ควรจะเป็นนโยบายที่มีประโยชน์ต่อเกษตรกร นักลงทุน, นายธนาคาร และอุตสาหกรรมทำให้เมืองเป็นสลัมแห่งการฉ้อโกง และเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง[3]
  • พลเมืองอเมริกันมีหน้าที่เผยแพร่สิ่งที่เจฟเฟอร์สันเรียกว่า “จักรวรรดิแห่งเสรีภาพ” ให้โลกรู้ แต่ขณะเดียวกันก็ควรจะหลีกเลี่ยง “การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรกับต่างประเทศ” (Non-interventionism)[4]
  • รัฐบาลแห่งชาติเป็นสถาบันที่จำเป็นจะต้องมีเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นองค์กรในการรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน, พิทักษ์ และ รักษาความปลอดภัยให้แก่พลเมือง, ชาติ และ ประชาคม แต่ในขณะเดียวกันก็จะต้องมีการเฝ้าดูและควบคุม และ จำกัดสิทธิรัฐบาลแห่งชาติอย่างใกล้ชิด ประเด็นดังกล่าวทำให้ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบสหพันธรัฐ (Anti-Federalism) ระหว่าง ค.ศ. 1787 ถึง ค.ศ. 1788 ต่างก็หันมาถือปรัชญาเจฟเฟอร์สัน[5]
  • กำแพงแห่งการแยกฝ่ายอาณาจักรออกจากฝ่ายศาสนจักรเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแยกสถาบันศาสนาจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองโดยสหพันธรัฐ, รัฐบาลเองก็เป็นอิสระจากความขัดแย้งของสถาบันศาสนา และ สถาบันศาสนาเองก็เป็นอิสระจากการฉ้อโกงหรือการเข้ายุ่งเกี่ยวจากสถาบันทางการปกครอง[6]
  • รัฐบาลของสหพันธรัฐต้องไม่ละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลซึ่ง รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) เป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาดังกล่าว[7]
  • รัฐบาลของสหพันธรัฐต้องไม่ละเมิดสิทธิของรัฐในเครือสหพันธรัฐ เจฟเฟอร์สันวางรากฐานปรัชญาดังกล่าวในการเขียน “ปณิธานเคนทักกีและเวอร์จิเนีย” (Kentucky and Virginia Resolutions) อย่างลับๆ ในปี ค.ศ. 1798[8]
  • เสรีภาพในการแสดงออก และ เสรีภาพของสื่อเป็นมาตรการอันที่ดีที่สุดในการป้องกันการกดขี่ข่มเหงพลเมืองโดยรัฐบาลของตนเอง การละเมิดปรัชญานี้ของนักสมาพันธ์นิยมโดยการบังคับใช้ “รัฐบัญญัติต่างด้าวและปลุกระดม” ที่ประกอบด้วยรัฐบัญญัติสี่ฉบับที่ได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภาสมัยที่ห้าในปี ค.ศ. 1798 กลายเป็นตัวปัญหาสำคัญ[9] รัฐบัญญัติสี่ฉบับตามความเห็นของผู้ต่อต้านเห็นว่าเป็นการก่อให้เกิดความอยุติธรรมโดยรัฐบาลต่อพลเมืองที่เป็นต่างด้าวและลิดรอนสิทธิพลเมืองที่ทำการตีพิมพ์เอกสารที่รัฐบาลถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อนโยบายของรัฐบาล
  • กองทหารประจำและรัฐนาวีเป็นอันตรายต่อเสรีภาพและเป็นสิ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยง การแก้ปัญญหาโดยการใช้การบีบบังคับทางเศรษฐกิจ (economic coercion) เช่นการห้ามสินค้าเข้าออก[10] (Embargo)[11] อาจจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
  • วัตถุประสงค์ของการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาขึ้นก็เพื่อรับรองเสรีภาพของพลเมือง การเขียนเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเป็นไปตามหลักและกฎเกณฑ์ แต่ขณะเดียวกันก็ “ไม่มีสังคมใดที่สามารถเขียนรัฐธรรมนูญที่คงอยู่อย่างถาวรหรือแม้แต่กฎหมายที่คงอยู่อย่างถาวรได้ โลกนี้จะเป็นของชนรุ่นต่อไปที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ”[12]

อ้างอิง

  1. Banning (1978) pp 79-90
  2. ผศ.สมพิศา ณ นคร (2000) "ปรัชญาอเมริกัน" หน้า 33 คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ISBN 974-593-152-7 สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
  3. Elkins and McKitrick. (1995) ch 5; Wallace Hettle, The Peculiar Democracy: Southern Democrats in Peace and Civil War (2001) p. 15
  4. Hendrickson and Tucker. (1990)
  5. Banning (1978) pp 105-15
  6. Philip Hamburger, Separation of church and state Harvard University Press, 2002. ISBN 0674007344 OCLC: 48958015
  7. Robert Allen Rutland; The Birth of the Bill of Rights, 1776-1791 University of North Carolina Press, (1955)
  8. Banning (1978) pp 264-66
  9. Banning (1978) pp 255-66-3
  10. "ขยายความจากนิยามของศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-15. สืบค้นเมื่อ 2010-01-25.
  11. Banning (1978) pp 292-3
  12. Letter to James Madison, September 6, 1789 | http://odur.let.rug.nl/~usa/P/tj3/writings/brf/jefl81.htm เก็บถาวร 2010-03-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

บรรณานุกรม

  • Banning, Lance. The Jeffersonian Persuasion: Evolution of a Party Ideology(1978)
  • Brown; Stuart Gerry. The First Republicans: Political Philosophy and Public Policy in the Party of Jefferson and Madison (1954) online เก็บถาวร 2011-11-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  • Stanley M. Elkins and Eric L. McKitrick. The Age of Federalism: The Early American Republic, 1788-1800 (1995)
  • David C. Hendrickson and Robert W. Tucker. Empire of Liberty: the statecraft of Thomas Jefferson (1990)
  • Vernon Parrington, Main Currents in American Thought (1927) v 2 online เก็บถาวร 2012-02-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  • Onuf, Peter S., ed. Jeffersonian Legacies. (1993).
  • Merrill D. Peterson. The Jefferson Image in the American Mind (1960)
  • Taylor, Jeff. Where Did the Party Go?: William Jennings Bryan, Hubert Humphrey, and the Jeffersonian Legacy (2006)
  • Wilentz, Sean. The Rise of American Democracy: Jefferson to Lincoln (2005)
  • Wiltse, Charles Maurice. The Jeffersonian Tradition in American Democracy (1935)
  • Letter to James Madison, September 6, 1789

ดูเพิ่ม

Kembali kehalaman sebelumnya