ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ บุหรี่ไฟฟ้า (อังกฤษ: electronic cigarette) หรือ บุหรี่ไอน้ำ (อังกฤษ: vapor cigarette) เป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบจำพวกบุหรี่ บุหรี่ซิการ์ และบุหรี่แบบกล้องสูบ ซึ่งทำขึ้นจากอุปกรณ์ประจุแบตเตอรีที่จะส่งผ่านนิโคตินไปยังผู้สูบ โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับยาสูบจริง โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 แบบคือ แบบที่คล้ายกับบุหรี่จริง กับแบบที่เรียกว่าแบบปากกา (Pen style) มีลักษณะเหมือนบุหรี่ที่มีปลายด้านก้นกรองเสียบอยู่กับตัวต่อก้นกรองอีกชั้นหนึ่ง แต่ในปัจจุบันเริ่มมีลักษณะที่ถูกผลิตให้ไม่มีลักษณะคล้ายบุหรี่ แต่มีลักษณะคล้ายรีโมตรถยนต์ และยังมีรูปแบบที่ผู้ใช้ปรับปรุง (modify) เองด้วย ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์คิดค้นขึ้นในประเทศจีน[1] การใช้งานความนิยมตั้งแต่เข้าสู่ตลาดประมาณในปี พ.ศ.2546 การบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[2][3][4] ในปีพ.ศ. 2554 มีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าผู้ใหญ่ประมาณ 7 ล้านคนทั่วโลกซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 68 ล้านคนในปี พ.ศ.2563 เมื่อเทียบกับ 1.1 พันล้านคนที่สูบบุหรี่[5] ในปี พ.ศ.2564 จำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 82 ล้านคน[6][7] การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการตลาดที่มุ่งมั่น ค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าบุหรี่ธรรมดา และประวัติภูมิความปลอดภัยของบุหรี่ไฟฟ้าที่ดีกว่ายาสูบ การใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในประเทศจีน สหรัฐฯ และยุโรปโดยที่จีนมีผู้ใช้มากที่สุด[8][9][10] คำแนะนำมีเหตุผลที่แตกต่างกันในการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ผู้ใช้ส่วนใหญ่พยายามเลิกสูบ[11] แต่ส่วนใหญ่ของการใช้งานมีลักษณะเป็นสันทนาการหรือเป็นความพยายามที่จะอ้อมกฎหมายการห้ามสูบ[12] ผู้คนจำนวนมากสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพราะคิดว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสิ่งที่ปลอดภัยกว่า[13] การเลือกที่หลากหลายและราคาที่ต่ำกว่าบุหรี่ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญ หรือมีแรงจูงใจอื่น ๆ ในการลดกลิ่นและจำนวนคราบ บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นที่ชื่นชอบของเทคโนฟีลที่ชื่นชอบการปรับแต่งอุปกรณ์ของตนเอง
ส่วนประกอบของเครื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไป สามารถถอดแยกชิ้นส่วนได้เป็น 3 ส่วนคือ
นอกจากส่วนประกอบในตัวเครื่องแล้ว ส่วนประกอบสำคัญของยาสูบอิเล็กทรอนิกส์คือน้ำยา (e-liquid) ซึ่งผลิตจากสารโพรพลีลีนกลีเซอรอล (Propylene Glycerol) หรือสารโพรพลีลีน กลีคอล (Propylene Glycol) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าสารพีจี (PG) ซึ่งเป็นตัวทำละลายระดับที่บริโภคได้ (Food-Grade) สารพีจีอยู่ในเครื่องสำอางแทบทุกชนิด รวมทั้งแชมพู สบู่ โฟมล้างหน้า หรือแม้กระทั่งลูกอม สารพีจีนี้อาจมีการสะสมหรือระคายเคืองหากได้รับเป็นเวลานาน สารพีจีจะใช้เป็นตัวละลายกลิ่นหรือรสชาติกับนิโคติน โดยทั่วไปจะกำหนดระดับของสารนิโคตินในน้ำยาไว้ดังนี้
ชนิดของสารประกอบบุหรี่ไฟฟ้าโดยทั่วไปแล้วบุหรี่ไฟฟ้าจะใช้น้ำยานิโคตินเป็นส่วนประกอบหลักในการนำส่งนิโคตินเข้าสู่ร่างกายผู้บริโภค สามารถแยกได้ทั่วไปเป็น 2 ชนิดหลักคือ
นิโคตินที่ไร้ความเป็นด่างคือการนำค่าความด่างออกจากสารนิโคตินตั้งตนที่ได้มาจากใบยาสูบตามธรรมชาติ ที่ส่งผลให้ได้รับนิโคตินเข้มช้นกว่าในปริมาณที่ใกล้เคียงกันกับชนิดยาสูบ ซึ่งแม้จะลดความรู้สึกระคายเคืองลำคอ แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้รับสารนิโคตินได้มาก เกลือนิโคตินนั้นคือการนำนิโคตินที่ไร้ความเป็นด่าง มาเติม "กรด" บางชนิดเข้าไป เพื่อทำให้การนำนิโคตินเข้าสู่ร่างกายเป็นไปได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น เป็นการพัฒนาทางอุตสาหกรรมการผลิตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ส่งผลให้ได้รับนิโคตินเข้มข้นมากขึ้นจากปริมาณยาสูบตั้งต้นที่ใกล้เคียงกัน การทำงานของยาสูบอิเล็กทรอนิกส์การทำงานของยาสูบอิเล็กทรอนิกส์คือ การลวงประสาทสัมผัสของผู้เสพว่าได้รับการสนองตอบต่อความต้องการนิโคตินจาก "บุหรี่" จริงแล้ว ด้วยปริมาณนิโคตินที่ได้รับจากยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ในจำนวนที่จำกัดตามความเหมาะสม และด้วยรูปลักษณ์ แสงไฟแอลอีดีที่ปลายอุปกรณ์ และรูปร่างของไอน้ำสีขาวที่มีลักษณะคล้ายควัน สร้างความรู้สึก "เสพ" ไปแล้ว ควันที่เกิดจากยาสูบอิเล็กทรอนิกส์คือไอน้ำที่เกิดจากปฏิกิริยาของสารพีจีที่ถูกคลื่นความร้อนไมโครเวฟจากตัวสร้างควันทำให้แตกตัวและดูดน้ำในอากาศกลายเป็นสายหมอกไอน้ำสีขาวที่มีคล้ายคลึงกับไอนำจากกาต้มน้ำ แต่มีความหนาแน่นและรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า ซึ่งจะแตกต่างจากควันบุหรี่จริงที่มีสีออกเทา [14][15] แม้ว่ายาสูบอิเล็กทรอนิกส์จะปราศจากส่วนผสมของใบยาสูบ และการสันดาปอันก่อให้เกิดสารพิษกว่า 4,000 ชนิดในบุหรี่จริงก็ตาม แต่ผู้สูบยังคงได้รับนิโคตินอยู่ โดยระดับนิโคตินจะมีปริมาณต่าง ๆ กันแล้วแต่ผู้ใช้จะเลือกใช้นำยานิโคตินระดับใด ซึ่งการรับนิโคตินที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคือง คลื่นไส้ และมีผลต่อหัวใจได้ จึงไม่อาจกล่าวว่า ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ปลอดภัยได้ แต่ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้ต้องการลดปริมาณพิษสะสมอันเกิดจากบุหรี่จริง และการสูบยาสูบอิเล็กทรอนิกส์อาจประยุกต์ใช้กับการเลิกบุหรี่แบบถาวรได้ ความปลอดภัย และข้อวิจารณ์ต่อยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์มีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป โดยเหตุผลสำคัญคือยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ปล่อยควันยาสูบที่เป็นอันตราย แต่อาจมีสารตกค้าง และความเสี่ยงในการรับนิโคตินมากเกินไป ในด้านผลกระทบของการที่นิโคตินได้รับความร้อนก่อนที่จะถูกสูดเข้าไป ไม่มีผลต่อความแตกต่างของนิโคตินที่มีในบุหรี่จริง เพียงแต่จากนิโคตินที่ได้รับจากยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีสารเคมีหลายพันชนิดรวมอยู่ในนั้น ซึ่งสารเคมีหลายชนิดในบุหรี่จริงนั้นเป็นผลจากการเผาไหม้ยาสูบ ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจากบริษัทบุหรี่ อาทิ ฟิลิป มอร์ริส (Philip Morris) ว่าอาจไม่มีความปลอดภัยในการใช้ นอกจากนี้บริษัทยาขนาดใหญ่ที่สนใจเกี่ยวกับกับยาเพื่อการเลิกสูบบุหรี่ (อาทิแผ่นแปะนิโคติน หรือเม็ดอมนิโคติน) ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นรูปธรรมต่อกลุ่มสาธารณสุขเพื่อเรียกร้องให้มีการห้าม (ban) ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากยาสูบอิเล็กทรอนิกส์มีผลต่อความอยากบุหรี่ และสามารถทำให้เลิกบุหรี่ได้[16] ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ และได้รับการยอมรับในหลายประเทศ แต่ก็เป็นสินค้าผิดกฎหมายในอีกหลายประเทศเช่นกัน ในประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศโดยใช้กฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่
กระทรวงสาธารณสุขอ้างว่าพบปริมาณนิโคตินสูงกว่าบุหรี่ทั่วไปหลายเท่า และมีผลเสียต่อผู้ที่สูบ หากสูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ 1 มวน จะเท่ากับสูบบุหรี่ทั่วไปถึง 15 มวน หากนำไปใช้โดยปราศจากการดูแลของแพทย์จะเป็น อันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือดได้ และยังอ้างอีกว่ายาสูบอิเล็กทรอนิกส์มีฤทธิ์เทียบเท่าเฮโรอีน ขณะเดียวกันผู้ใช้ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ก็มีการโต้แย้งว่าบุหรี่จริง มีนิโคตินที่ได้รับจากการเผาไหม้ใบยาสูบ ซึ่งนอกจากนิโคตินแล้ว ยังมีสารก่อมะเร็งและสารพิษมากมาย และควันของบุหรี่นี้เองที่เป็นอันตราย ส่วนยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ มีนิโคตินที่ถูกผสมในสารพีจีโดย 1 มิลลิลิตรใช้เวลาสูบมากกว่า 100-150 ครั้ง ในขณะที่บุหรี่ 1 มวน ใช้เวลาสูบหมดประมาณ 10-15 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่สูบยาสูบอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับนิโคตินใกล้เคียงกับบุหรี่จริง และในปริมาณที่ไม่เป็นอันตราย ปัจจุบันในสังคมไทยยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นสิ่งของต้องห้ามให้นำเข้า จากประกาศของกระทรวงพาณิชย์ แต่ก็มีผู้ใช้หลายคนยังคงยืนยันจะใช้ต่อ ประเภทของบุหรี่ไฟฟ้าบุหรี่ไฟฟ้าโดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ บุหรี่ไฟฟ้าแบบเติมน้ำยา และ บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง
โดยในบุหรี่ไฟฟ้าประเภทแทงก์นี้จะสามารถแบ่งออกได้เป็นสองรุ่นย่อยคือ บุหรี่ไฟฟ้าแทงก์แบบทั่วไป Regular Mod บุหรี่ไฟฟ้าแทงก์แบบยิงสด Unregular Mod (Irregular) โดยแบบแทงค์ทั่วไปนั้นจะมีแผงวงจรที่ใช้ควบคุมการจ่ายไฟจากแบตเตอร์รี่หรือถ่าน ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานของเครื่องได้ผ่านแผงหน้าจอที่แสงดข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับอุปกรณ์เอาไว้ด้วย ส่วนแบบแทงค์ยิงสดนั้น “ไม่มี” แผงวงจรควบคุมการทำงานและการจ่ายกระแสไฟจะส่งจากถ่านไปยังขดลวดที่เป็นตัวให้ความร้อนแก่น้ำยาโดยตรง เพราะฉะนั้นความแรงของกระแสไฟจะขึ้นอยู่กับแหล่งให้พลังงานโดยตรง ซึ่งทั้งสองแบบนั้น ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของอุปกรณ์ และความรู้เกี่ยวกับสารประกอบของน้ำยา ปริมาณที่ต้องใช้ การคำนวณค่ากำลังการจ่ายไฟ ข้อดีของบุหรี่ไฟฟ้าประเภทนี้คือ ให้สารนิโคตินประมาณน้อยมากถึงไม่มี และมีกลิ่นและรสชาติที่ดีกว่า แต่เนื่องจากต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์และความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นจึงอาจส่งผลให้มีอันตรายต่อผู้ใช้ได้มากกว่าหากว่าไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมากพอ
- ระบบเปิด ที่สามารถเติมน้ำยาลงไปใหม่ได้ - ระบบปิด ที่ต้องถอดเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เมื่อน้ำยาหมด
บุหรี่ไฟฟ้า IQOS คือ เทคโนโลยี heat not burn technology เป็นการใช้ความร้อนแต่ไม่เผาไหม้ ต้องใช้กับบุหรี่แบบมวนเฉพาะรุ่น หรือที่เรียกว่า Heatstick เท่านั้น ออกแบบมาเพื่อลดอัตราการเกิดมะเร็ง ควบคุมปริมาณสารอันตรายอย่าง นิโคติน ในบุหรี่ทั่วไป โดยสามารถใช้ได้กับบุหรี่มวนแบบพิเศษที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ชนิดนี้โดยเฉพาะ กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยการจำหน่ายการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าถือว่ามีความผิด โดยที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีคำสั่งที่ 9/2558 มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ[17] การนำเข้าการนำเข้ามีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใด ๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย และยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ[17] การครอบครองการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร มีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ[17] โดยในปัจจุบันมียังมีกลุ่มผู้นิยมบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก พยายามผลักดันการแก้ไขกฎหมายให้รองรับบุหรี่ไฟฟ้า และจากงานวิจัยจากต่างประเทศทั่วโลก สามารถยืนยันได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้สร้างโทษมากไปกว่า บุหรี่แบบเผาไหม้ปกติ ผลกระทบต่อสุขภาพความเสี่ยงต่อสุขภาพของบุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ความเสี่ยงของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงถือว่าต่ำ[18][19] และบุหรี่ไฟฟ้าน่าจะปลอดภัยกว่าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่เผาไหม้[20] [21] อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นอันตราย การใช้บุหรี่ไฟฟ้าสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหอบหืด[22] หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และ ถุงลมโป่งพอง ผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทุกวันมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ใช้เป็นครั้งคราว [23] จากข้อมูลของ สถาบันวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการแพทย์แห่งชาติ "การทดสอบในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับส่วนผสมของบุหรี่ไฟฟ้า การทดสอบพิษวิทยาในหลอดทดลอง และการศึกษาในมนุษย์ในระยะสั้น ชี้ให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ยาสูบที่ติดไฟได้มาก"[24] การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมให้หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นสูงว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีนิโคตินมีประสิทธิผลมากกว่าการบำบัดทดแทนนิโคตินในการเลิกสูบบุหรี่ และมีหลักฐานความเชื่อมั่นปานกลางว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีนิโคตินมีประสิทธิผลมากกว่า [25] ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดแต่ไม่ร้ายแรงได้แก่ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว[26] การระคายเคืองในลำคอและปาก อาเจียน คลื่นไส้ และไอ[27] นิโคตินเป็นสิ่งเสพติดและเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เด็ก และคนหนุ่มสาว[28] ในปี 2019 และ 2020 การระบาดของโรคปอดบวมอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกา มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับวิตามินอีอะซิเตตโดยศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐในขณะที่ยังคงถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าส่วนประกอบใดของน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย โดยเฉพาะวิตามินอีอะซิเตตได้รับการระบุว่าเป็นสาเหตุในการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า[29] น่าจะมีสาเหตุของการระบาดมากกว่าหนึ่งสาเหตุ[30][31] บุหรี่ไฟฟ้าผลิตอนุภาคในระดับใกล้เคียงกับบุหรี่ยาสูบ[32] มี "หลักฐานที่จำกัดเท่านั้นที่แสดงถึงผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบทางเดินหายใจและหลอดเลือดหัวใจในมนุษย์" โดยผู้เขียนการทบทวนในปี 2020 เรียกร้องให้มีการศึกษาระยะยาวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้[32] บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืด 40% และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 50% เมื่อเทียบกับการไม่ใช้นิโคตินเลย[33] อ้างอิง
|