วรยศ บุญทองนุ่ม
ภฤศ บุญทองนุ่ม (ชื่อเดิม วรยศ บุญทองนุ่ม )(เกิด 2 มิถุนายน พ.ศ. 2523) ชื่อเล่น แพท เป็นนักร้องและนักแสดงชาวไทย เป็นบุตรชายของ นิวัฒน์ บุญทองนุ่ม (บิดา) เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากการเป็นสมาชิกมือกีตาร์วง 11 RD ในปี พ.ศ. 2539 แต่ก็ยุบวงในเวลาต่อมา เขาจึงผันเปลี่ยนมาเป็นนักร้องนำของวง พาวเวอร์แพท (POWER PAT) ที่โด่งดังในช่วงปี พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2547 สังกัดเบเกอรี่มิวสิค และสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ แพทเคยถูกศาลตัดสินจำคุกด้วยคดียาเสพติดในปี พ.ศ. 2547 ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2564 และกลับมาร่วมวงพาวเวอร์แพทอีกครั้งในสังกัดข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ในปี พ.ศ. 2565 แต่หลังจากค่ายข้าวสารยุติการดำเนินงาน เขาจึงได้ก่อตั้งค่ายเพลงเองในชื่อ บริษัท มาดูมาฟัง จำกัด ประวัติวงพาวเวอร์แพท (POWER PAT) ก่อตั้งวงเมื่อปี พ.ศ. 2541 ในค่ายเพลงสังกัด เบเกอรี่มิวสิค ก่อนเปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2543[1] โดยมีเขาเป็นนักร้องนำ กับอัลบั้มชุดแรกในชื่อ "POWER Pat" กับค่ายครันช์เรคคอร์ดส[2] สังกัดเบเกอรี่มิวสิค โดยเปิดตัวด้วยเพลง "โรงภาพยนตร์" และเพลง "อย่าเขย่า"[3] สมาชิกในวง ประกอบไปด้วย แพท-วรยศ บุญทองนุ่ม (ร้องนำ) , ฟ้า-ปัณณวิช สุวัฒนานันท์ (กีตาร์), เปรม-วริทธิ์ธร ธนาวัฒน์ศิริ (เบส) และ เจี๊ยบ-กมลชัย เข็มทอง (กลอง) โดยมีผู้จัดการวง คือ ณัฐฎ์ณัฐ หิรัญสมบูรณ์ (เท็ดดี้) ในปี พ.ศ. 2544 วงพาวเวอร์แพทได้ออกอัลบั้มชุดที่สองติดต่อกันมา คืออัลบั้ม "POWER POP" กับสังกัดอัพจี ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เปิดตัวด้วยเพลง "หลุดปากใช่ไหม" ที่เป็นที่โด่งดังในเวลาต่อมา ก่อนจะแยกตัวออกจากวงในเวลาต่อมา ต่อมา แพทได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก หลังจากแยกตัวออกจากวงในปี พ.ศ. 2545 ในชื่อว่า "แพท Power Pat" ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 โดยมีเพลงที่เป็นที่รู้จักได้แก่เพลง มีคำเป็นร้อย และเพลง ตื๊ด...ตื๊ด นอกเหนือจากงานเพลงแล้ว วรยศยังมีโอกาสแสดงละครโทรทัศน์ ได้แก่เรื่อง รัน! รักอันตราย, Girl Club รับเอาคืน และเรื่อง เฮี้ยวนักรักซะเลย ข้อหาคดียาเสพติดแพทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคดีมียาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ (ยาอี) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2547[4] โดยแพทอ้างว่าที่ทำลงไปเพราะชีวิตตกอับ ไม่มีงาน จนต้องหันมาพึ่งยาเสพติด กลายเป็นคดีดังที่ทำเอาแฟนเพลงของเขาช็อคและตกใจอย่างมากในสมัยนั้น แพทถูกศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์จำคุก 50 ปี และปรับ 1 ล้านบาท[5][6] หลังจากถูกจับ และศาลตัดสินให้จำคุก 50 ปี และถูกจองจำไว้ในเรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี แม้ชีวิตที่ผ่านมาจะเป็นช่วงเวลาของการรับโทษ แต่เขาไม่ปล่อยให้ย่ำแย่ตามสภาพที่เป็นอยู่ แต่กลับมุ่งมั่นทำความดีและจดจำความทรงจำอันเลวร้ายไว้เตือนใจไม่ให้ก้าวผิด จนเขาได้เรียนจบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552 กรมราชทัณฑ์ได้จัดพิธีมอบและฉลองปริญญาให้กับเขาในเรือนจำกลางบางขวาง และอนุญาตให้ครอบครัวของผู้ต้องขังเข้าร่วมแสดงความยินดีด้วย วันนั้นนอกจากจะเป็นวันที่แพทภูมิใจในตัวเองแล้ว ยังเป็นวันที่เขาอบอุ่นใจที่สุดที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของครอบครัวอย่างพร้อมหน้า นับเป็นอีกหนึ่งวันที่เขาเฝ้ารอคอย[7] นอกจากการตั้งใจเรียน มุ่งมั่นทำความดีแล้ว แพทยังใช้เวลาในเรือนจำให้เกิดประโยชน์โดยการวาดรูป เล่นกีตาร์ แต่งเพลง และสอนเพื่อนนักโทษเล่นดนตรี ประพฤติตัวอยู่ในกฎระเบียบของเรือนจำ จนกระทั่งได้เป็นนักโทษชั้นดีเยี่ยม และได้รับการลดโทษลงเรื่อย ๆ หลังพ้นโทษในที่สุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2564 หลังจากแพทใช้ชีวิตในเรือนจำมาเป็นเวลา 16 ปี 8 เดือน แพทก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษและปล่อยตัวออกมาใช้ชีวิตนอกเรือนจำอีกครั้ง[8][9] โดยหลังออกจากเรือนจำ แพทก็ได้วางแผนที่จะอุปสมบทเพื่อทดแทนคุณแก่บิดามารดา[10] โดยวรยศได้อุปสมบทที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร[11] ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน[12] - 6 กรกฎาคม[13] เป็นเวลา 18 วัน ได้รับฉายา “กิตติยโส” แปลว่าผู้มีเกียรติยศน่ายกย่อง[14] ชีวิตส่วนตัวแพทตรวจพบว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท เนื่องจากกระดูกคอเสื่อมจากพฤติกรรมชีวิตในเรือนจำจนเป็นอาการเรื้อรั้ง [15] หากไม่ผ่าตัดเสี่ยงเป็นอัมพาตโดยเริ่มแสดงอาการตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2564 แพทเปิดเผยกับผู้จัดการออนไลน์ว่า มีอาการปวดเมื่อยแขนด้านขวา และมีอาการเหน็บชาที่แขนขวา [16] หลังพบแพทย์ก็พบคอที่กระดูกแต่ละข้อผิดรูป จะมีบางข้อที่หล่นลงมาชิดเรียงกันจนทับเส้นประสาท [17] ผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้ม
ซิงเกิล
อัลบั้มอื่นๆ
เพลงประกอบละคร
เพลงประกอบโฆษณา
ผลงานการแสดงละครโทรทัศน์
ออนไลน์
ผลงานโฆษณา
ผลงานเขียนหนังสือ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |