ช่อง 3 เอชดี
ช่อง 3 เอชดี (อังกฤษ: Channel 3 HD; ชื่อเดิม: สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3) เป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial Television) แห่งที่ 4 ของประเทศไทย ปัจจุบันดำเนินกิจการโดย บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด ในเครือบริษัทกลุ่มบีอีซีเวิลด์ เริ่มแพร่ภาพเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513 เวลา 10:00 น. ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในระบบแอนะล็อก (โดย บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ภายใต้สัญญาสัมปทานในกิจการส่งโทรทัศน์กับ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด (ต่อมาคือ อ.ส.ม.ท. และ บมจ.อสมท ตามลำดับ) เป็นระยะเวลา 50 ปี) หลังจากนั้นได้เริ่มออกอากาศคู่ขนานทางช่องหมายเลข 33 ในระบบดิจิทัลภาคพื้นดินตั้งแต่เวลา 20:15 น. ของวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557 และยุติการออกอากาศในระบบแอนะล็อกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00:01 น. มีคำขวัญประจำสถานีฯ ว่า คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3 ประวัติสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เกิดขึ้นจาก บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (อังกฤษ: Bangkok Entertainment Company Limited; ชื่อย่อ: บีอีซี; BEC ปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบีอีซีเวิลด์) ซึ่งวิชัย มาลีนนท์ ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 ลงนามในสัญญาดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์ ร่วมกับบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2511 โดยมีอายุสัญญา 10 ปี ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2523 โดยตามสัญญา กำหนดให้มีที่ดิน 6 ไร่ขึ้นไป สำหรับก่อสร้างเป็นสถานีส่งออกอากาศ พร้อมทั้งสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์การส่งโทรทัศน์ทั้งหมด รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท โดยจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ บจก.ไทยโทรทัศน์ทันทีเมื่อเริ่มส่งออกอากาศ แต่เมื่อลงทุนจริง บีอีซีใช้ทุนไปทั้งสิ้น 54.25 ล้านบาท สูงกว่าในสัญญาถึง 29.25 ล้านบาท และระหว่างร่วมดำเนินกิจการตามสัญญาในระยะเวลา 10 ปีนั้น บีอีซีต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ บจก.ไทยโทรทัศน์เป็นเงิน 44 ล้านบาท และเงินสวัสดิการแก่พนักงาน บจก.ไทยโทรทัศน์อีกปีละ 1 ล้านบาท รวมเป็น 10 ล้านบาท รวมเงินจ่ายทั้งหมด 54 ล้านบาท อนึ่ง บีอีซีได้รับอนุมัติให้ขยายอายุสัญญาดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์กับองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ซึ่งแปรรูปจาก บจก.ไทยโทรทัศน์ เมื่อปี พ.ศ. 2520 มาแล้ว 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2521 ขยายออกไปอีก 10 ปี ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2523 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2533 และในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 ขยายออกไปอีก 30 ปี ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2533 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2563[1][2] ทั้งนี้เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2513 ช่อง 3 เริ่มทดลองแพร่ภาพออกอากาศโดยใช้กำลังส่งเต็มระบบคือ 50 กิโลวัตต์ ด้วยเครื่องส่งขนานเป็นครั้งแรกระหว่างเวลา 19.00 - 21.00 น. จากนั้นในวันที่ 15 เดือนและปีเดียวกัน ก็เริ่มทดลองแพร่ภาพแบบเสมือนจริงระหว่างเวลา 09.30 - 00.00 น. และเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513 ตามเวลาฤกษ์คือ 10.00 น. โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดสถานีฯ[3][4] อนึ่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2540 ช่อง 3 ได้เริ่มออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมงเป็นแห่งที่ 2 ของประเทศไทย แล้วกลับมาเปิดสถานีฯ เวลา 05.00 น. และปิดสถานีฯ เวลา 02.00 น. อีกครั้ง ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 จึงกลับมาออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมงอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน อาคารที่ทำการเมื่อราวต้นปี พ.ศ. 2512 มีพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการสถานีฯ บนที่ดินขนาด 6 ไร่เศษ บริเวณกิโลเมตรที่ 19 ถนนเพชรเกษม แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยอาคารดังกล่าวมีความสูง 4 ชั้น ภายในเป็นห้องส่งโทรทัศน์ ขนาด 600 ตารางเมตร 2 ห้อง, ขนาด 424 ตารางเมตร 2 ห้อง และขนาด 110 ตารางเมตรอีก 1 ห้อง โดยแต่ละห้องส่งจะมีห้องควบคุมเฉพาะ และยังติดตั้งจอขนาดใหญ่ มีความกว้าง 47 เมตร ความสูง 7.5 เมตร สำหรับแสดงภาพด้วยระบบไซโครามา ใช้ในการประดิษฐ์ภาพฉากท้องฟ้า ที่ช่วยให้เกิดเป็นภาพชัดลึก รวมถึงสามารถเปลี่ยนสีของฉากอย่างเสมือนจริง และเปลี่ยนความเข้มของแสงได้อย่างรวดเร็วและนุ่มนวล ต่อมา บีอีซี ดำเนินการแยกส่วนของสำนักงาน ไปยังอาคารเลขที่ 2259 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ และจัดสร้างห้องส่งโทรทัศน์บนชั้น 8 อาคารโรบินสัน ถนนราชดำริ จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2529 จึงนำส่วนงานที่กระจายอยู่ 3 แห่ง มารวมศูนย์อยู่ที่อาคารวานิช 1 และ 2 บริเวณแยกวิทยุ-เพชรบุรี (ถนนวิทยุตัดกับถนนเพชรบุรีตัดใหม่) เพื่อเพิ่มความสะดวกให้การดำเนินงานคล่องตัวมากขึ้น และในราวปี พ.ศ. 2542 สถานีฯ ย้ายอาคารที่ทำการทั้งหมด ขึ้นไปยังอาคารเอ็มโพเรียม ถนนสุขุมวิท[4] ในปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548) สถานีได้ย้ายมายังกลุ่มอาคารที่ทำการปัจจุบันซึ่งกลุ่มบีอีซีเวิลด์เป็นเจ้าของด้วยตนเอง คือ อาคารมาลีนนท์ (แต่เดิมเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) เลขที่ 3199 ถนนพระรามที่ 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร โดยอาคารเอ็ม 1 เป็นสำนักงาน และอาคารเอ็ม 2 เป็นส่วนปฏิบัติการออกอากาศ[3] การจัดรูปองค์กรช่อง 3 มีรูปแบบการบริหารองค์กร โดยแบ่งหน่วยงานย่อยออกเป็น 18 ฝ่าย ประกอบด้วย ฝ่ายบริหาร, ฝ่ายผลิตรายการ, ฝ่ายข่าว, ฝ่ายรายการ, ฝ่ายออกอากาศ, ฝ่ายศิลปกรรม, ฝ่ายวิศวกรรม, ฝ่ายเทคนิคโทรทัศน์, ฝ่ายแผนงานวิศวกรรม, ฝ่ายไฟฟ้ากำลัง, ฝ่ายสถานีวิทยุกระจายเสียง (FM 105.5 MHz), ฝ่ายธุรการ, ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายบัญชี, ฝ่ายการเงิน, ฝ่ายโฆษณา, ฝ่ายการตลาด และฝ่ายประชาสัมพันธ์ คำขวัญประจำสถานีเมื่อปี พ.ศ. 2524 ช่อง 3 โดยอนุมัติของ นายวิชัย มาลีนนท์ และผู้บริหารสถานีฯ ได้จัดกิจกรรมให้ผู้ชมร่วมเสนอคำขวัญประจำสถานีฯ ทว่าไม่มีคำขวัญใดที่ได้รับการคัดเลือก ทั้งนี้ ในอีกสามปีต่อมา วิชัย พร้อมด้วยผู้บริหารของช่อง 3 นำคำขวัญ ซึ่งได้มาจากการเสนอของผู้ชมในครั้งแรก มารวมเข้ากับแนวคิดของพนักงานเจ้าหน้าที่ของสถานีฯ จนกระทั่งได้คำขวัญว่า คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3 โดยนำมาเผยแพร่ออกอากาศครั้งแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2527 เนื่องในโอกาสที่ช่อง 3 มีอายุครบ 14 ปี ในวันที่ 26 มีนาคม ปีเดียวกัน นิตยสารรายการโทรทัศน์ช่อง 3 ได้ริเริ่มจัดทำนิตยสารรายการโทรทัศน์ เพื่อแจกฟรีแก่ผู้สนใจ ออกเป็นฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2514 นับเป็นสถานีฯ แรก ที่จัดทำนิตยสารในลักษณะนี้ แต่สามารถดำเนินการได้เพียงประมาณสองปีก็หยุดไป แต่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2518 สถานีฯ จึงฟื้นการจัดทำนิตยสารขึ้นใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2520 ได้ออกเป็นฉบับภาษาอังกฤษ[4] และต่อมามีการออกเป็นฉบับภาษาจีนอีกด้วย แต่ในปี พ.ศ. 2539 ยุติการจัดพิมพ์ลงแล้วในทุกภาษา และปัจจุบัน สถานีฯ จึงฟื้นการจัดทำนิตยสารขึ้นใหม่อีกครั้ง เทคโนโลยีในการออกอากาศ
การออกอากาศในระบบแอนะล็อกสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (ชื่อสากล: HS-TV 3[5]) เป็นสถานีโทรทัศน์เพียงแห่งเดียวในไทยที่ออกอากาศในระบบวีเอชเอฟย่านความถี่ต่ำทางช่อง 3 โดยเริ่มแรกใช้เครื่องส่งโทรทัศน์สี 25 กิโลวัตต์ 2 เครื่องขนานกัน รวม 50 กิโลวัตต์ ทวีกำลังสูงสุด 13 เท่า กำลังส่งปลายเสาที่ 650 กิโลวัตต์ เครื่องส่งสูง 250 เมตร ความถี่คลื่นอยู่ระหว่าง 54-61 MHz ใช้ระบบ CCIR PAL 625 เส้นเป็นแห่งแรกของไทย ให้บริการในกรุงเทพมหานคร, ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียงรวม 18 จังหวัด[3][4] เป็นสถานีโทรทัศน์สีแห่งที่ 2 ของไทย ต่อจากสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นอกจากนี้ ภายในอาคารที่ทำการของช่อง 3 ยังมีเครื่องส่งวิทยุเอฟเอ็ม 105.5 MHz ที่ช่อง 3 ได้รับสัมปทานมาพร้อมกับช่องโทรทัศน์ตามสัญญากับ บจก.ไทยโทรทัศน์ อีกช่องทางหนึ่งด้วย ซึ่งในระยะแรกใช้ส่งกระจายเสียงภาษาต่างประเทศในฟิล์มขณะออกอากาศภาพยนตร์ต่างประเทศทางโทรทัศน์ซึ่งออกเสียงบรรยายเป็นภาษาไทย ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีแบ่งช่องเสียงสามารถใช้กับโทรทัศน์ทั่วไปได้แล้ว จึงเปลี่ยนไปดำเนินรายการดนตรีสากล โดยใช้ชื่อว่า Eazy FM 105.5 จนถึงปัจจุบัน (โดยในปัจจุบัน สถานีวิทยุดังกล่าวถูกโอนไปอยู่ในความดูแลของบริษัท เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดยสัมปทานคลื่นวิทยุที่ทำร่วมกับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 แต่ทางสำนักงาน กสทช. ได้อนุมัติให้ใช้คลื่นดังกล่าวประกอบกิจการไปก่อน ซึ่ง บมจ.อสมท ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมจัดรายการกับเทโรฯ เพื่อให้การออกอากาศเป็นไปอย่างต่อเนื่องต่อไป)[6] ต่อมาในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 ได้ขยายเครือข่ายโทรทัศน์ทั่วประเทศร่วมกับ อ.ส.ม.ท. เพื่อจัดตั้งสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์ออกอากาศร่วมกันระหว่างช่อง 3 และช่อง 9 อ.ส.ม.ท. จำนวน 31 แห่งในระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2531 - กรกฎาคม พ.ศ. 2534 เป็นผลให้ทั้ง 2 ช่องครอบคลุมการออกอากาศถึง 89.7% ของประเทศไทย คิดเป็นศักยภาพในการให้บริการถึง 96.3% ของจำนวนประชากร[3][4] โดยรับสัญญาณจากสถานีส่งหลักในกรุงเทพมหานครผ่านดาวเทียมอินเทลแซท และเครื่องรับไมโครเวฟจากดาวเทียมสื่อสาร แต่เนื่องจากช่อง 3 ออกอากาศด้วยระบบวีเอชเอฟย่านความถี่ต่ำ ถูกรบกวนได้ง่าย ภาครับซับซ้อน ความยาวคลื่นสูง ต้องใช้สายอากาศรับสัญญาณที่ยาวและหนักกว่าย่านความถี่สูง นอกจากนี้ เมื่อกรุงเทพมหานครมีอาคารสูงมากขึ้น จำนวนประชากรและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพิ่มขึ้น คุณภาพสัญญาณของช่อง 3 จึงลดลงมากเมื่อเทียบกับระยะเริ่มแรก ดังนั้นราวปลายปี พ.ศ. 2546 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) ในขณะนั้น จึงอนุมัติให้จัดสรรคลื่นความถี่ในระบบยูเอชเอฟแก่ช่อง 3 เพื่อใช้ออกอากาศแทนคลื่นเดิม 5 ช่องสัญญาณ[3][4] สำหรับสถานีส่งหลักในกรุงเทพมหานคร บีอีซีร่วมกับ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันโอนกิจการไปยังองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย) ลงนามในสัญญาร่วมใช้เสาส่งและสายอากาศบนอาคารใบหยก 2 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 และเริ่มออกอากาศในระบบยูเอชเอฟช่อง 32 ตั้งแต่เวลา 09.39 น. ของวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2548 ใน 18 จังหวัดเดิม โดยยังคงออกอากาศระบบวีเอชเอฟย่านความถี่ต่ำทางช่อง 3 คู่ขนานไปเพื่อทอดเวลาให้ผู้ชมเปลี่ยนแปลงระบบ จนวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 จึงยุติการออกอากาศระบบวีเอชเอฟจากสถานีส่งหลัก และออกอากาศด้วยระบบยูเอชเอฟเพียงระบบเดียว[3][4] นอกจากนี้มีสถานีเครือข่ายโทรทัศน์ส่วนภูมิภาคที่ กกช. อนุมัติคลื่นยูเอชเอฟให้ช่อง 3 อีก 4 แห่ง เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2548[7] จากนั้นช่อง 3 ดำเนินการทยอยเปลี่ยนเครื่องส่งใหม่ เป็นของบริษัท โรห์เดแอนด์ชวาร์ซ จำกัด จากประเทศเยอรมนี ในสถานีส่งทั่วประเทศ ซึ่งรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิทัลในอนาคต จำนวน 5 แห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2550, 7 แห่งในปี พ.ศ. 2551[7], 6 แห่งในปี พ.ศ. 2552 และ 2 แห่งในปี พ.ศ. 2555 นอกจากนี้ ยังทยอยปรับปรุงระบบสายอากาศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ในสถานีส่ง 5 แห่ง ดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2553 สำหรับส่วนกลางที่กรุงเทพมหานครได้จัดตั้งสถานีส่งยูเอชเอฟหน่วยย่อยเพิ่มเติมเพื่อออกอากาศทางช่อง 60 เพื่อขจัดปัญหาในการรับสัญญาณอีก 3 แห่ง และจัดตั้งสถานีส่งยูเอชเอฟสำรองบนดาดฟ้าของอาคารมาลีนนท์อีกด้วย ต่อมาช่วงกลางปี พ.ศ. 2556 ช่อง 3 เปลี่ยนระบบควบคุมการออกอากาศเป็นดิจิทัล และตั้งแต่เวลา 10.10 น. วันที่ 17 ตุลาคมปีเดียวกัน ช่อง 3 เปลี่ยนระบบการออกอากาศเป็นดิจิทัล รวมถึงตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557 ทุกรายการที่ออกอากาศในทั้ง 3 ช่องระบบดิจิทัลของช่อง 3 ถ่ายทำด้วยระบบดิจิทัลความละเอียดสูง พร้อมทั้งปรับสัดส่วนภาพที่ออกอากาศจากเดิมคือ 4:3 (Letter Box) เป็น 16:9 (Widescreen) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็เริ่มใช้กับช่อง 3 แอนะล็อกด้วยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนปีเดียวกัน เมื่อวันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 บีอีซีได้สิ้นสุดสัญญาสัมปทานกับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทำให้ช่อง 3 ยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกทั่วประเทศ เมื่อเวลา 00.01 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 รวมระยะเวลาในการออกอากาศระบบแอนะล็อกทั้งสิ้น 50 ปี[a] และเนื่องจากเป็นสถานีโทรทัศน์ของไทยช่องสุดท้ายที่ยุติการออกอากาศในระบบนี้ จึงถือเป็นการยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อกในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ การออกอากาศในระบบดิจิทัลเมื่อวันที่ 26 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556 กลุ่มบีอีซีเวิลด์ บริษัทแม่ของช่อง 3 มอบหมายให้บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด บริษัทลูกอีกแห่งหนึ่งเข้าประมูลช่องโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติจำนวน 3 ประเภท แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการเข้าประมูลในประเภทรายการทั่วไปความละเอียดสูง โดยในประเภทนี้ให้ราคาเป็นอันดับที่ 1 และเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557 กสทช.ประกาศหมายเลขช่องที่แต่ละบริษัทซึ่งผ่านการประมูลเลือกไว้ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม โดยช่องรายการทั่วไปความละเอียดสูงในส่วนของบีอีซี-มัลติมีเดีย ได้หมายเลข 33 และเมื่อ กสทช. อนุญาตให้แต่ละบริษัทที่จะรับใบอนุญาตดำเนินการทดสอบสัญญาณระหว่างวันที่ 1 - 24 เมษายนปีเดียวกัน บีอีซี-มัลติมีเดีย ได้ทดลองออกอากาศรายการทั้งหมดจากช่อง 3 แอนะล็อกคู่ขนานไปทั้ง 3 ช่อง และตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557 ซึ่ง กสทช. ออกใบอนุญาต บีอีซี-มัลติมีเดีย ก็เริ่มออกอากาศรายการต่าง ๆ ตามผังของแต่ละช่องทั้ง 3 และเนื่องจากผู้รับสัมปทานช่อง 3 แอนะล็อก คือ บีอีซี เป็นคนละนิติบุคคลกับผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล คือ บีอีซี-มัลติมีเดีย จึงไม่สามารถนำรายการทั้งหมดจากช่องทีวีแอนะล็อกเดิมเพื่อมาออกอากาศคู่ขนานทางทีวีดิจิทัลดังที่ดำเนินการมาในระยะทดสอบสัญญาณได้ จากกรณีดังกล่าว ผู้ชมที่เป็นสมาชิกเว็บบอร์ด พันทิป.คอม โต๊ะเฉลิมไทยจำนวนหนึ่ง วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยอ้างว่าผู้บริหารช่อง 3 นำรายการที่เคยออกอากาศทางช่อง 3 มาลงในผังทีวีดิจิทัลโดยไม่ทำรายการใหม่ รวมทั้งกล่าวหาว่าออกอากาศไม่ครบ 24 ชั่วโมง กสทช. จึงเสนอให้ช่อง 3 โอนถ่ายบัญชีรายได้ของรายการต่าง ๆ ทางช่องทีวีแอนะล็อกไปยังช่องทีวีดิจิทัล แต่ช่อง 3 ปฏิเสธด้วยยืนยันความเป็นคนละนิติบุคคล และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ผู้ให้บริการโครงข่ายของช่อง 3 ดิจิทัล ยังได้ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางเป็นผู้เสียหายร่วม เนื่องจากหากศาลปกครองคุ้มครองช่อง 3 ไทยพีบีเอสจะต้องออกอากาศทีวีแอนะล็อกยาวนานขึ้น ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายและต้นทุนมากขึ้นในการออกอากาศคู่ขนาน และทำให้การเปลี่ยนผ่านล่าช้าลง[8] ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557 กสทช. ลงมติเพิกถอนทีวีแอนะล็อกจากส่วนให้บริการทั่วไป จึงต้องยุติการออกอากาศทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลตามที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน เป็นต้นไป[9] แต่กลุ่มช่อง 3 อาศัยความในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 27/2557 ประกอบกับความในสัญญาสัมปทานทีวีแอนะล็อกกับ บมจ.อสมท จนถึงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 เพื่อรักษาสิทธิ์ในการออกอากาศตามเดิม[10] วันต่อมา (3 กันยายน) กสทช. ทำหนังสือถึงผู้ให้บริการทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีให้งดการออกอากาศช่อง 3 แอนะล็อกภายใน 15 วัน แต่ได้เสนอความช่วยเหลือทางกฎหมายเพื่อให้ช่อง 3 นำสัญญาณของช่อง 3 แอนะล็อก มาออกอากาศคู่ขนานทางทีวีดิจิทัลช่อง 33[11] ต่อมาช่อง 3 นำความขึ้นร้องต่อศาลปกครอง โดยชั้นต้นวินิจฉัยให้ กสทช. กับผู้บริหารของช่อง 3 เจรจากัน แต่ไม่ได้ข้อยุติ ในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557 ศาลปกครองสูงสุดจึงเข้าไกล่เกลี่ย โดยทำข้อตกลงให้บีอีซี-มัลติมีเดีย นำสัญญาณภาพและเสียงทั้งหมดของช่อง 3 แอนะล็อก ไปออกอากาศคู่ขนานในทีวีดิจิทัลความละเอียดสูงช่อง 33 ของตนภายในวันที่ 11 ตุลาคม เวลา 12:00 น.[12] แต่เนื่องจาก กสทช. มีนโยบายลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทีวีดิจิทัลในอัตรา 4% แก่ผู้ประกอบการฟรีทีวีที่นำทีวีแอนะล็อกมาออกอากาศคู่ขนานทีวีดิจิทัลได้ภายในวันที่ 10 ตุลาคม[13] ช่อง 3 จึงขยับกำหนดการเริ่มออกอากาศคู่ขนานมาเร็วขึ้นเป็นวันที่ 10 ตุลาคม เวลา 20:15 น.[14] ส่วนรายการที่เคยออกอากาศทางช่อง 33 เดิม บีอีซี-มัลติมีเดีย ได้ถอนออกและจัดแบ่งมาออกอากาศใหม่ทางช่อง 13 และช่อง 28 แทน ต่อมาในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 กสทช. ได้มีมติให้ยุติการออกอากาศในทีวีแอนะล็อกอย่างเป็นทางการ หลังจากที่สถานีโทรทัศน์แอนะล็อกเดิมได้ยุติการออกอากาศในระบบเดิมไปแล้วก่อนหน้า โดยให้ถือว่ายุติการออกอากาศในวันที่ 16 กรกฎาคม และมีมติให้ช่อง 3 แอนะล็อกยกเลิกการออกอากาศคู่ขนานทางทีวีดิจิทัลช่อง 33 โดยให้แยกผังรายการออกจากกันอย่างชัดเจน[15] แต่ช่อง 3 ได้ยื่นคัดค้านมติ เนื่องจากยังไม่สามารถยุติการออกอากาศทีวีแอนะล็อกได้ เพราะบีอีซียังไม่หมดสัญญาสัมปทานกับ บมจ.อสมท ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี และจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงทำให้ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานได้ และยังขัดกับข้อตกลงที่บีอีซีทำกับ กสทช. ที่ศาลปกครองในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ช่อง 3 รับมติของ กสทช. 3 เรื่อง คือ ช่อง 3 เอชดี ต้องแสดงถึงการบริหารผังรายการด้วยตัวเอง แยกรูปแบบในการหารายได้ของช่องออกเป็นเอกเทศ และแยกตราสัญลักษณ์ของสถานีออกจากกัน[16] โดยช่อง 3 แสดงสัญลักษณ์ของระบบแอนะล็อกไว้ที่มุมล่างขวา ในขณะที่ระบบดิจิทัลยังคงยึดตำแหน่งมุมบนขวาตามเดิม[17] (ทั้งนี้ ตั้งแต่เที่ยงคืนวันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 สถานีฯ ได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 มาประดับไว้ที่มุมบนซ้าย ส่งผลให้ต้องแสดงตราสัญลักษณ์ระบบดิจิทัลไว้ที่มุมล่างขวา โดยวางไว้ด้านซ้ายมือติดกับสัญลักษณ์ระบบแอนะล็อกที่แสดงที่มุมล่างขวาเช่นเดิม แต่ในวันที่ 27 พฤษภาคม ได้งดขึ้นตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกทางด้านมุมบนซ้ายในช่วงรายการสด ยกเว้นวันที่ 3 มิถุนายน ไปจนถึงวันที่ 17 มิถุนายน และแสดงไปจนสิ้นสุดห้วงการจัดงานพระราชพิธีในวันที่ 31 กรกฎาคม ปีเดียวกัน) หลังจากช่อง 3 ได้ทำการยุติการออกอากาศในระบบแอนะล็อกโดยสมบูรณ์เมื่อเวลา 00:01 น. ของวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 เรียบร้อยแล้ว บีอีซี-มัลติมีเดีย ก็ได้รับโอนกรรมสิทธิ์การบริหารจัดการเนื้อหาของช่อง 3 แอนะล็อกจากบีอีซีมาบริหารจัดการเองอย่างเต็มรูปแบบทั้งหมด โดยช่อง 3 เอชดี ได้นำสัญลักษณ์ของระบบทีวีดิจิทัลเดิม (โลโก้ปลาคาร์ฟ) ออก พร้อมทั้งย้ายสัญลักษณ์ของช่อง 3 แอนะล็อกเดิมกลับไปไว้ที่มุมบนขวาแทน ปัดเงาเพิ่มเป็น 3 มิติ แล้วเติมตัวอักษร HD สีเทาต่อท้าย เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของช่อง 3 เอชดี ในระบบทีวีดิจิทัลจนถึงปัจจุบัน[18][19] ทั้งนี้ ในรายการสด ตัวอักษร HD จะถูกดันขึ้นมาอยู่กึ่งกลางของสัญลักษณ์ช่อง 3 และจะมีแถบสีฟ้า-น้ำเงิน โผล่ออกมาจากด้านใต้ของสัญลักษณ์ และเขียนกำกับไว้ในแถบดังกล่าวว่า LIVE อดีตการออกอากาศในระบบดิจิทัลกระแสไฟฟ้าขัดข้องเมื่อปี พ.ศ. 2552เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552 ระบบบำบัดน้ำเสียภายในอาคารมาลีนนท์เกิดชำรุด ส่งผลให้น้ำเสียไหลเข้าท่วมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จึงไม่สามารถออกอากาศได้ เนื่องจากกระแสไฟฟ้าดับตั้งแต่เวลา 16.04 น. ขณะกำลังแนะนำเนื้อหาในช่วงต้นของรายการเด็ก กาลครั้งหนึ่ง โดยในเวลาดังกล่าว สัญญาณภาพที่กำลังออกอากาศก็หยุดลงและหายไปกลายเป็นสัญญาณว่าง ต่อมาเมื่อเวลา 17.32 น. กลับมามีภาพแถบสีในแนวตั้งตลอดทั้งหน้าจอและบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น เพื่อทดลองเสียง และในเวลา 17.37 น. จึงกลับมาปรากฏภาพเปิดรายการ เรื่องเด่นเย็นนี้ และเข้าสู่รายการตามปกติ โดยออกอากาศจากชั้นล่างของอาคารปฏิบัติการออกอากาศ ด้วยการใช้รถถ่ายทอดสดเคลื่อนที่ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับทางสถานีฯ และยังเกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ไทยด้วย[20] ฝ่ายข่าวช่อง 3 ถือเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีฝ่ายข่าวระดับคุณภาพแห่งหนึ่ง มีจำนวนผู้ประกาศข่าวมากที่สุด[ต้องการอ้างอิง] และมีการนำเสนอข่าวถึงครึ่งหนึ่งของเวลาการออกอากาศทั้งหมด (12 ชั่วโมง) ในอดีต ช่อง 3 เคยนำเสนอรายการข่าวในรูปแบบการอ่านข่าวตามธรรมเนียมเดิม จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2524 อ.ส.ม.ท. เจ้าของสัมปทานได้สั่งการให้ช่อง 3 เชื่อมสัญญาณออกอากาศการรายงานข่าวในช่วงต่าง ๆ ซึ่งผลิตโดยสำนักข่าวไทย ร่วมกับช่อง 9 อ.ส.ม.ท. และใช้ชื่อรายการว่า ข่าวร่วม 3-9 อ.ส.ม.ท. จนถึงปี พ.ศ. 2529 เป็นเวลา 5 ปี หลังจากนั้น อ.ส.ม.ท. จึงอนุญาตให้ช่อง 3 กลับมานำเสนอข่าวเองได้อีกครั้งจนถึงปัจจุบัน ต่อมาราวปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา ช่อง 3 ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการนำเสนอข่าวจากการอ่านข่าวมาเป็นการเล่าข่าว ซึ่งได้รับอิทธิพลจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา เพื่อให้ผู้ชมมีความเข้าใจได้อย่างง่ายดายและสามารถรับรู้ข่าวสารได้มากขึ้น ฝ่ายข่าวมีความมุ่งมั่นในการนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเหตุการณ์ปัจจุบันต่าง ๆ ที่ช่อง 3 เผยแพร่สู่ประชาชน โดยใช้ผู้ประกาศข่าวที่มีความเชี่ยวชาญและเที่ยงตรงในการนำเสนอข่าว จนในที่สุดก็นำไปสู่การร่วมกันจัดตั้งกลุ่มผู้ประกาศข่าวและรายการข่าวว่า ครอบครัวข่าว 3 นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังได้จัดซื้อระบบดิจิทัลนิวส์รูม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทันสมัย ที่ได้รับการพัฒนาระดับสูง มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท ของโซนี่ มาใช้ในการผลิต และนำเสนอข่าวของช่อง 3 อย่างเต็มระบบ เป็นแห่งแรกในทวีปเอเชีย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550[21] รายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงนอกจากฝ่ายข่าวแล้ว ช่อง 3 ยังถือเป็นผู้นำด้านละครโทรทัศน์ของประเทศไทย เนื่องจากเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน เข้าเสนอผลงานผลิตละครโทรทัศน์หลากหลายแนว ในเวลาไพรม์ไทม์ และหัวค่ำ รวมถึงยังมีรายการโทรทัศน์หลากหลายประเภทที่สร้างชื่อเสียงแก่สถานีอีกหลายรายการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ละครและการ์ตูน ซีรีส์ต่างประเทศ
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |