สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (แสง ปญฺญาทีโป)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นามเดิม แสง ฉายา ปญฺญาทีโป เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น เจ้าอาวาสวัดราชบุรณราชวรวิหารและเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ มีนามเดิมว่า แสง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2375 ตรงกับวันแรม 8 ค่ำเดือน 7 ปีมะโรง ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร จนอายุได้ 15 ปีจึงย้ายมาอยู่วัดราชบุรณราชวรวิหาร ศึกษาพระปริยัติธรรมจนอายุได้ 18 ปีจึงเข้าสอบที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ได้เป็นสามเณรเปรียญธรรม 3 ประโยคในครั้งนั้น[1] ปีชวด พ.ศ. 2395 ได้อุปสมบทในรามัญนิกาย โดยมีพระคุณวงศ์ (จุลนาค) วัดบวรมงคลราชวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ถึงปีมะเส็ง พ.ศ. 2400 เข้าสอบอีก ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท ได้เพิ่มอีก 2 ประโยค เป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค ต่อมาปีระกา พ.ศ. 2404 เข้าแปลที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้อีก 2 ประโยค เป็นเปรียญธรรม 7 ประโยค[1] ศาสนกิจสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้ปฏิบัติพระวินัยได้บริบูรณ์ ฉลาดในการเทศนา ประพันธ์คาถา โศลก และฉันท์ได้ชำนาญและไพเราะ เป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ในด้านการปกครอง ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะรอง และเจ้าคณะใหญ่ตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้รับแต่งตั้งเป็นแม่กองตรวจชำระพระอภิธรรมปิฎกในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับ ร.ศ. 112[2] สมณศักดิ์
มรณภาพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อาพาธเป็นลมแน่นหน้าอกตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม ร.ศ. 122 พระภิกษุในวัดจัดยาถวายแต่อาการไม่ทุเลา ถึงแก่มรณภาพในวันรุ่งขึ้นเวลา 3 โมงเข้าเศษ สิริอายุได้ 71 ปี 168 วัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปพระราชทานน้ำสรงศพ พระราชทานโกศไม้สิบสอง ชั้นแว่นฟ้า 2 ชั้น มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมวันละ 8 รูป รับพระราชทานฉันเช้าเพลมีกำหนด 3 เดือน[8] วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 124 เจ้าพนักงานตั้งกระบวนเคลื่อนศพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จากวัดราชบุรณฯ มาบรรจบกับกระบวนเคลื่อนศพพระอุบาฬีคุณูปมาจารย์ (ปาน) จากวัดพระเชตุพนฯ เป็นกระบวนเดียว ปยังเมรุ ณ สุสานวัดเทพศิรินทราวาส เวลาย่ำค่ำวันต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทอดผ้าบังสุกุลและพระราชทานเพลิงศพ และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เจ้าพนักงานเก็บอัฐิ นำขึ้นเสลี่ยงแล้วอัญเชิญกลับยังพระอารามเดิม[9] อ้างอิง
|