หม่า ฮั่วเถิง
หม่า ฮั่วเถิง (จีน: 马化腾; พินอิน: Mǎ Huàténg; 29 ตุลาคม ค.ศ. 1971 – ) ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม โพนี หม่า (อังกฤษ: Pony Ma)[2] เป็นทั้งนักธุรกิจระดับพ่อค้าใหญ่, นักลงทุน, นักการกุศล, วิศวกร, ผู้ประกอบการด้านอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีชาวจีน เขาเป็นทั้งผู้ก่อตั้ง, ประธาน และกรรมการผู้จัดการเทนเซ็นต์ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในเอเชีย หนึ่งในบริษัทด้านอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด รวมถึงกลุ่มการลงทุน, การเล่นเกม และความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก[3][4][5] บริษัทควบคุมบริการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และบริษัทย่อยให้บริการสื่อ, การบันเทิง, ระบบการชำระเงิน, สมาร์ตโฟน, บริการที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต, บริการคุณค่าเพิ่ม และบริการการโฆษณาออนไลน์ ทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2007, 2014[6] และ 2018 นิตยสารไทม์ ยกให้เขาเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก[7] ในขณะที่ปี ค.ศ. 2015 นิตยสารฟอร์บ ให้เครดิตเขาว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ส่วนในปี ค.ศ. 2017 นิตยสารฟอร์จูน ได้จัดอันดับให้เขาเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชั้นนำแห่งปี[8][9] หม่าเป็นผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ประชาชนเซินเจิ้นและเป็นตัวแทนในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนครั้งที่ 12[5] หม่า ฮั่วเถิง เป็นหนึ่งใน "ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของนิตยสารฟอร์จูน"[10] เขาเป็นที่รู้จักกันในรูปแบบผู้ประกอบการที่โลว์โปรไฟล์เมื่อเทียบกับบุคลิกที่เข้าสังคมได้ง่ายของแจ็ก หม่า ทั้งนี้ หม่า ฮั่วเถิง ได้รับการเปรียบเทียบอย่างละเอียดกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ เนื่องจากความคล้ายคลึงกันในการลงทุน และมักได้รับการพรรณาในฐานะ "ผู้เข้าซื้อกิจการที่มีความห้าวหาญ"[11][12][13][14][15][16][17] ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 เขาได้เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศจีน และร่ำรวยที่สุดอันดับ 14 ของโลก ด้วยมูลค่าสุทธิ 51.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 เขาแซงหน้าทั้งแลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน ซึ่งกลายเป็นคนร่ำรวยที่สุดอันดับเก้าของโลก และเป็นชาวจีนคนแรกที่เข้ามาในรายการผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุด 10 อันดับของนิตยสารฟอร์บ[18][19][20][21] ชีวิตช่วงต้นและการศึกษาหม่าเกิดที่เขตเฉาหยาง ซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง เมื่อหม่า เฉินชู่ ซึ่งเป็นพ่อของเขาได้รับตำแหน่งผู้จัดการท่าเรือในเซินเจิ้นใกล้ฮ่องกง หม่าในวัยหนุ่มก็ได้เดินทางมาพร้อมกับเขา[22] หม่า ฮั่วเถิง เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซินเจิ้นในปี ค.ศ. 1989 และสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1993 ด้วยปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์[23] อาชีพการก่อตั้งเทนเซ็นต์และเริ่มต้นอาชีพงานแรกของหม่าคือไชนาโมชันเทเลคอมดีเวลลอปเมนท์ ผู้จัดจำหน่ายบริการและผลิตภัณฑ์โทรคมนาคม ที่ซึ่งเขารับผิดชอบการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับวิทยุติดตามตัว เขาได้รับรายได้ 176 ดอลลาร์ต่อเดือน[24] เขายังทำงานให้กับบริษัท เซินเจิ้นรุ่นซุ่นคอมมูนิเคชัน จำกัด ในแผนกวิจัยและพัฒนาสำหรับบริการโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต[25] หม่า ฮั่วเถิง ไปเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเทนเซ็นต์ในปี ค.ศ. 1998 พร้อมเพื่อนร่วมชั้นอีก 4 คน ผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทมีมาหลังจากที่หม่าได้เข้าร่วมในงานนำเสนอสำหรับไอซีคิว ที่เป็นบริการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีทางอินเทอร์เน็ตรายแรกของโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1996 โดยบริษัทของประเทศอิสราเอล[25] แรงบันดาลใจจากแนวคิดดังกล่าว หม่าและทีมงานของเขาได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ที่คล้ายคลึงกันในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1999 ด้วยอินเตอร์เฟซภาษาจีนและชื่อที่แตกต่างกันเล็กน้อย ในชื่อโอไอซีคิว (หรือ โอเพนไอซีคิว)[26] ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และรวบรวมผู้ใช้ที่ลงทะเบียนไว้แล้วกว่าล้านรายภายในสิ้นปี ค.ศ. 1999 ทำให้เป็นหนึ่งในบริการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน[27] พูดถึงการก่อตั้งเทนเซ็นต์ เขากล่าวกับไชนาเดลีในการสัมภาษณ์เมื่อปี ค.ศ. 2009 ว่า “หากผมได้เห็นมากไปกว่านี้ ก็คือการยืนบนไหล่ของยักษ์” ซึ่งเป็การถ่ายความอ้างถึงไอแซก นิวตัน และการอ้างอิงความคล้ายคลึงกันระหว่างไอซีคิวและโอไอซีคิว "เรารู้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีอนาคต แต่ในเวลานั้นเราก็ไม่สามารถจ่ายได้" หม่าทบทวนความจำ[25] เพื่อที่จะแก้ปัญหา หม่าถามเรื่องเงินกู้ยืมจากธนาคารและได้พูดคุยเกี่ยวกับการขายบริษัท[28] ตั้งแต่บริการโอไอซีคิวที่มีค่าของเทนเซ็นต์ ถูกนำเสนอโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บริษัทได้มองหานายทุนร่วมเพื่อรองรับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ. 2000 หม่าหันไปหาศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตของบริษัทที่ลงทุนในสหรัฐ และบริษัทแปซิฟิกเซ็นจูรีไซเบอร์เวิร์ก (PCCW) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในฮ่องกง ซึ่งซื้อหุ้น 40 เปอร์เซ็นต์ของเทนเซ็นต์จำนวน 2.2 ล้านดอลลาร์[29] ด้วยตลาดเพจเจอร์ซึ่งอายุมากแล้ว หม่าได้ปรับปรุงแพลตฟอร์มการรับส่งข้อความโดยให้ผู้ใช้คิวคิวส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือ ครั้นแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของบริษัทมาจากข้อตกลงกับผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ตกลงที่จะแบ่งปันค่าข้อความ[28] คดีเอโอแอลและการขยายธุรกิจหลังจากเอโอแอล (อเมริกาออนไลน์) ซื้อไอซีคิวในปี ค.ศ. 1998 บริษัทได้ฟ้องเทนเซ็นต์ต่อศาลอนุญาโตตุลาการแห่งชาติในสหรัฐ โดยอ้างว่าชื่อโดเมนของคิวไอซีคิวอย่าง QICQ.com และ QICQ.net มีการละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของไอซีคิว ซึ่งเทนเซ็นต์เป็นฝ่ายแพ้คดีและต้องปิดเว็บไซต์[25] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 เพื่อป้องกันการฟ้องร้องคดีอื่น ๆ หม่าได้เปลี่ยนชื่อซอฟต์แวร์เป็น "คิวคิว" (โดย "คิว" และ "คิวคิว" ใช้แทนคำว่า "คิวต์" ที่แปลว่า "น่ารัก")[30] หลังจากคดีเอโอแอล หม่า ฮั่วเถิง ตัดสินใจขยายผลงานทางธุรกิจของเทนเซ็นต์ ในปี ค.ศ. 2003 เทนเซ็นต์ได้เปิดตัวพอร์ทัลของตัวเอง (QQ.com) และทำการบุกในตลาดเกมออนไลน์ ภายในปี ค.ศ. 2004 เทนเซ็นต์กลายเป็นผู้บริการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีของจีนที่ใหญ่ที่สุด (ครอบครอง 74 เปอร์เซ็นต์ของตลาด)[28] กระตุ้นให้หม่าเข้าจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง[25] หลังจากที่บริษัทระดมทุนสาธารณะในรูปแบบการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชนเมื่อเดือนมิถุนายนได้จำนวน 200 ล้านดอลลาร์ หม่ากลายเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของจีนได้อย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 2004 เทนเซ็นต์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มเกมออนไลน์และเริ่มจำหน่ายสินค้าเสมือนเพื่อสนับสนุนเกมที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มดังกล่าว (อาวุธ, พลังในเกม) รวมทั้งอีโมติคอนและริงโทน[27] ตามคำสั่งของหม่า เทนเซ็นต์ได้เปิดตัว Paipai.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับอีคอมเมิร์ซยักษ์อย่างอาลีบาบา[31] จากการจำลองไมโครซอฟท์ของบิล เกตส์ หม่า ฮั่วเถิง สร้างทีมวิศวกรที่แข่งขันกันสองทีมในปี ค.ศ. 2010 และคิดค่าบริการด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ หลังจากสองเดือน ทีมหนึ่งได้นำเสนอแอปสำหรับการส่งข้อความและการแชทเป็นกลุ่มคือเวยซิ่น ซึ่งเปิดตัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 ส่วนในปี ค.ศ. 2015 เวยซิ่น (หรือวีแชทในภาษาอังกฤษ) ได้เป็นแพลตฟอร์มการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการใช้ 48 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด[27][32] บริการที่หลากหลายอื่น ๆ โดยเทนเซ็นต์รวมถึงเว็บพอร์ทัล, การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเกมออนไลน์หลายผู้เล่น[8] เกมออนไลน์ เช่น หยู่หลง และเลเจนด์ออฟซวนหยวน ช่วยเพิ่มรายได้ให้มากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ[7] ในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2015 หม่าประกาศว่าเทนเซ็นต์จะสร้าง "โรงพยาบาลอินเทอร์เน็ต" ขึ้นที่เมืองอูเจิ้นซึ่งจะให้การวินิจฉัยทางไกลและการจัดส่งยา[33] การเมืองตามเว็บไซต์เทนเซ็นต์อย่างเป็นทางการ หม่าเป็นการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ประชาชนเซินเจิ้นครั้งที่ 5 และการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนครั้งที่ 12[5] เนื่องจากการครอบงำของเทนเซ็นต์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กและตลาดส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีในประเทศจีน ความสัมพันธ์ระหว่างหม่า ฮั่วเถิง กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงได้รับการตรวจสอบซ้ำหลายครั้ง[ต้องการอ้างอิง] พูดถึงการเซ็นเซอร์ในการประชุมเทคโนโลยีในประเทศสิงคโปร์ หม่าได้รับการกล่าวถึงคำคมที่ว่า "ผู้คนจำนวนมากคิดว่าพวกเขาสามารถพูดออกมา และพวกเขาสามารถที่จะไม่รับผิดชอบ ผมคิดว่านั่นผิด […] เราเป็นผู้สนับสนุนที่ดีของรัฐบาลในแง่ของการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เราพยายามที่จะมีการจัดการและการควบคุมอินเทอร์เน็ตให้ดีขึ้น"[34] ชีวิตส่วนตัวหม่าใช้ชื่อเล่นว่าโพนี ซึ่งมาจากการแปลภาษาอังกฤษของนามสกุลของเขา ที่หมายถึง “ม้า”[28] หม่า ฮั่วเถิง ไม่ค่อยปรากฏตัวในสื่อและเป็นที่รู้จักสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ซ่อนเร้นของเขา[35] ทั้งนี้ เขาเชื่อในหลักคำสอน: “แนวคิดไม่สำคัญในประเทศจีน – หากแต่เป็นการลงมือทำ”[32] ความมั่งคั่งของหม่า ฮั่วเถิง มาจากสัดส่วนการถือหุ้น 9.7 เปอร์เซ็นต์ในเทนเซ็นต์โฮลดิง มีรายงานว่าเขาเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงและชิ้นงานศิลปะมูลค่า 150 ล้านเหรียญ[36] เขาเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีการปรับปรุงใหม่จำนวน 19,600 ตารางฟุตในฮ่องกง[36] ในปี ค.ศ. 2016 หม่าโอนหุ้นเทนเซ็นต์จำนวน 2 พันล้านเหรียญให้แก่มูลนิธิการกุศลของเขา อย่างไรก็ตาม นิตยสารฟอร์บไม่ได้ลดมูลค่าสุทธิของเขาเนื่องจากหุ้นยังคงอยู่ภายใต้ชื่อของเขา[37] อ้างอิง
|