อาหม
อาหม (อัสสัม: আহোম; อาโหมะ) หรือ ไทอาหม กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยในรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย เดิมใช้ภาษาอาหม ในกลุ่มภาษาย่อยไท-พายัพ ซึงเป็นภาษาในกลุ่มภาษากัม-ไท ตระกูลภาษาขร้า-ไท แต่ชาวอาหมในปัจจุบันนั้นหันไปใช้ภาษาตระกูลอินโด-ยุโรเปียนแล้ว[1] จนเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 21 ชาวอาหมได้เกิดความสนใจในวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน จึงเกิดความพยายามที่จะศึกษาและฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น[2] ชาวอาหมในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่าชาวไทกลุ่มอื่นที่อพยพมายังอัสสัม ซึ่งในปี ค.ศ. 1990 ชาวอาหมมีจำนวนประชากรราว 2 ล้านคนในรัฐอัสสัม และรัฐอรุณาจัลประเทศ และมีชาวอัสสัมราว 8 ล้านคนที่อ้างว่ามีบรรพบุรุษหรือสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหม[1] ประวัติราว พ.ศ. 1763 ใกล้เคียงกับสมัยที่ตั้งอาณาจักรสุโขทัย ชาวไทพวกหนึ่ง ชื่อว่า "อาหม" ได้อพยพเข้ามาในดินแดนนี้ โดยข้ามภูเขาปาดไก่ทางเหนือของพม่า ไทพวกนี้มาจากอาณาจักรไทโบราณอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่า "ปง" คือโมกอง (เมืองกอง) ในพม่าทางเหนือ และเริ่มประวัติศาสตร์อาหมเมื่อ พ.ศ. 1796 เมื่อเสือก่าฟ้า ปฐมบรมราชวงศ์อาหมได้วางรากฐานในอาณาจักรของพระองค์ ช่วงแรกของชาวอาหมนั้นอพยพมาตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีกษัตริย์ 1 พระองค์ ขุนนาง 8 คน ช้าง 2 เชือก และม้าอีก 300 ตัว ประชากร 9,000 คน รวมทั้งสตรี และเด็ก [3] อาหมเป็นไทพวกเดียวกับไทใหญ่ เมื่อแรกเข้าไป ได้ตั้งภูมิลำเนาลงที่ นามรูป และได้พบชนเจ้าของถิ่นสองข้างข้างหนึ่งคือ ชุติยะซึ่งครองทางตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณสิริ อีกข้างหนึ่งมาจากโมราน ยึดครองพื้นที่แม่น้ำทิขุ และแม่น้ำทิหิง พวกอาหมต้องพิพาทกับพวกโมราน และราว พ.ศ. 1779 อาหมจึงตั้งเมืองหลวงที่อภัยปุระ ต่อมาอีก 20 ปีก็ขยายตัวออกไปตั้งเมืองใหม่ชื่อ เมืองเจ้รายดอย เป็นเมืองหลวงแรกแห่งอาณาจักรอาหม เมื่อย้ายเมืองหลวงไปที่อื่น ก็ยังให้ความสำคัญแก่เมืองเจ้รายดอย พระศพของกษัตริย์จะถูกฝังที่เมืองนี้ เวลาอาหมรบชนะ ก็จะตัดหัวของข้าศึกมาฝังที่เจ้รายดอย พงศาวดารชาวไทอาหมเป็นพวกที่รู้หนังสือ จึงมีตำนานพงศาวดารเป็นของตนเอง ตำนานเล่มนี้เรียกว่าบุราณจี (Ahom Buranji อ่านว่า อาหม บุราณจี ) เป็นเอกสารที่ช่วยให้ศึกษาประวัติศาสตร์ของไทอาหมได้ดี และส่วนใหญ่บุราณจีนั้นจะเขียนด้วยภาษา และอักษรอาหม ซึ่งคาดว่าชาวอาหมอ่านออกตั้งแต่ 200-400 ปีที่แล้ว ในพงศาวดารนี้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับนิยายการสร้างโลก ประวัติต้นตระกูลกษัตริย์อาหม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมไปถึงพระราชประวัติของกษัตริย์อาหมในแต่ละพระองค์ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนาอาหมเป็นชาวไทที่ไม่ได้รับศาสนาพุทธ เมื่อเสือก่าฟ้านำชาวไทจากเมืองเมาหลวงในรัฐฉานจำนวน 90,000 คน ข้ามช่องเขาปาดไก่มาตั้งอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรในปี ค.ศ. 1228 และตลอดเวลากว่า 600 ปีที่เป็นเอกราช สังคมอาหมเองก็ไม่ได้รับความเชื่อจากศาสนาพุทธเลย[4][5] ผีของชาวอาหมเกิดจากธรรมชาติและบรรพบุรุษ โดยอาหมบุราณจีภาคสวรรค์ ได้กล่าวว่า ฟ้า (หรือ ฟ้าตือจึ้ง) เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เป็นผู้สร้างเลงดอน (หรือ ฟ้าเหนือหัว) ผู้ครองเมืองฟ้า เลงดอนได้ส่งขุนหลวงขุนหลายผู้เป็นหลานลงมาครองเมืองมนุษย์พร้อมกับชาวฟ้าจำนวนหนึ่ง ขุนหลวงขุนหลายจึงเป็นบรรพบุรุษของเสือก่าฟ้า ส่วนชาวฟ้าที่ลงมาด้วยก็เป็นบรรพบุรุษของชาวไท เมื่อขุนหลวงขุนหลายลงมาจากฟ้า ครั้งนั้นบนพื้นดินเองก็มีคนชาติอื่นอยู่แล้ว[4] บนเมืองฟ้าหรือที่ภาษาอาหมเรียกว่า เมืองผี มีเทพหรือผีต่างๆ หลายองค์ ตามที่ปรากฏในอาหมบุราณจี เช่น ฟ้าสางดิน, แสงกำฟ้า (เทพแห่งสายฟ้า), งี่เงาคำ (หรือ ฟ้าบดร่มสางคำ), เจ้าสายฝน, นางแสงดาว, ย่าแสงฟ้า (เทพแห่งปัญญา), แลงแสง, ลาวขรี (เทพแห่งการก่อสร้าง), ขุนเดือน และขุนวัน เป็นต้น[4] ซึ่งจะเห็นได้ว่าผีเหล่านี้เป็นธรรมชาติ คือ ฟ้า ดิน แสง เดือน ตะวัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อผีจากธรรมชาติอีกหลายองค์ เช่น สายลม, ผีไฟ, ผีตามทุ่ง, นางอ้ายดอกคำแดง, ผีเถื่อน (ภาษาอาหมเรียก ป่า ว่า เถื่อนหรือ ดง)[6], ผีขุงชั้นหมอก, ผีขุงชั้นขุงเหมือย, ผีดอย ฯลฯ[7] นอกจากนี้ชาวอาหมยังนับถือผีบรรพบุรุษด้วย โดยบุราณจีภาคสวรรค์ได้กล่าวถึง แสงก่อฟ้า กษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อสวรรคตไปแล้วกลายเป็นผีเรือนคอยดูแลทุกข์สุขของคนในครอบครัว ความว่า "แสงก่อฟ้า...ตายเป็นด้ำผีเรือนช่วยคุ้ม"[8][9] ส่วนอาหมบุราณจีภาคพื้นดินได้กล่าวถึง ผีด้ำ ซึ่งตามพจนานุกรมอาหมแปลว่า คนที่ตายไปแล้ว[10] และคำว่า ด้ำเรือน[11] มีความหมายว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วกลายเป็นผีเฝ้าเรือน โดยในอาหมบุราณจีภาคพื้นดิน ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า "เจ้าฟ้าจึงมาเมืองมาตักแขก (เคารพบูชา) ผีด้ำที่ว่านี้"[12] และกล่าวถึงกษัตริย์อาหมประกอบพิธีเมด้ำเมผี[6] ชาวอาหมถือว่าบรรพบุรุษที่เหนือเราไปชั้นแรกๆ หรือผู้ที่ตายไปไม่กี่ชั่วอายุคนจะคอยปกป้องครอบครัวญาติพี่น้องที่ยังอยู่ แต่หากตายไปนานมากแล้วก็จะขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้าไม่ลงมาช่วยเราอีก[6] โดยความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษที่คอบปกป้องดูแลลูกหลานยังมีอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน ที่มีหิ้งบูชาในเรือน โดยบนหิ้งนั้นถือเป็นที่สิงสถิตของผีบรรพบุรุษหลายซับหลายซ้อน หรือหลายชั่วอายุคนจนนับไม่ได้[6] ชาวอาหมไม่เคยสูญเสียการบูชาบรรพบุรุษ เพียงแต่หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุสูญเสียสถานะในการปกครองไปจึงกลายเป็นพวกนอกวรรณะ ปัญญาชนชาวอาหมที่เป็นผู้นำในการเลิกนับถือศาสนาฮินดูได้ทำให้พิธีการบูชาบรรพบุรุษเด่นชัดขึ้น พร้อมทั้งมีการจัดพิธีไหว้ผีเป็นประจำ โดยมีการตั้งหลักไฟ ซึ่งเป็นเสาไม้จุดรายรอบปะรำเล็กๆ ไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงพิธีบูชาบรรพบุรุษที่เรียกว่า เมด้ำเมผี ครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองรังคปุระ[13] แต่ชาวอาหมฮินดูบางส่วนอย่างเช่นในหมู่บ้านบอราโจโหกีจึงมีแนวโน้มหันไปนับถือศาสนาพุทธกันมากขึ้นเพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีนายทนุราม โกกอย เป็นชาวไทอาหมคนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ[14] โดยปฏิบัติศาสนกิจกันที่วัดทิสังปานี ในหมู่บ้านทิสังปานี ของชาวไทคำยัง[14] ปัจจุบันชาวอาหมได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนเองขึ้นใหม่ มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญทางภาษาชาวไทยให้ความช่วยเหลือทางด้านการฟื้นฟูภาษา เพราะในบรรดาเผ่าไททั้งหลายมีไทยสยามที่มีเสถียรภาพทุกด้าน[15] ทั้งยังมีการเสนอว่าหากใช้ภาษาไทยเป็นแกนกลางในการประสานงานคนไททุกเผ่าเข้าด้วยกัน วัฒนธรรมไทก็จะเป็นเอกภาพมากขึ้น ทั้งนี้อาหมไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ของภาษา แต่ต้องการให้พัฒนาภาษาไทที่พวกเขาจะกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน[15] มีการสร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวอาหมคือ งีเงาคำ เทพเจ้าของชาวอาหม[16] มีการกลับมาใช้ศักราชเสือก่าฟ้า[16] การใช้คำว่า เจ้า และ นาง นำหน้านาม[16] การตั้งอนุสาวรีย์หล้าเจ็ด ซึ่งเป็นวีรบุรุษชาวอาหม[16] และบางบ้านก็มีการประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของ[[ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]]และพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยไว้ด้วย[16] แต่การฟื้นฟูวัฒนธรรมต้องใช้เวลานาน เนื่องจากอัสสัมเป็นดินแดนปิด และรัฐบาลกลางของอินเดียก็ไม่อยากให้อัสสัมติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศไทย[17] เมื่อครั้งที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย อินเดียก็มิได้จัดให้พระองค์เสด็จแวะเยือนชาวไทในอัสสัม[17] นอกจากนี้ชาวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้าไปอัสสัมจะต้องขอใบอนุญาตพิเศษจากรัฐบาลกลางของอินเดียเสียก่อน[17] ถือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูวัฒนธรรมอาหมในปัจจุบัน ประเพณีก่อนได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์-ฮินดู ชาวอาหมนับถือผี พิธีกรรมมักปรากฏให้เห็นถึงการบูชาผี, ผีธรรมชาติ และผีบรรพบุรุษ เพราะชาวอาหมเชื่อว่าผีสามารถดลบรรดาลให้ชีวิตเป็นอย่างไรก็ได้ ในภาษาอาหมจะเรียกการบูชาผีว่า เมด้ำเมผี, แขกผี, นอกผี, ไหว้ผีไหว้สาง เป็นต้น โดยในอาหมบุราณจีได้ปรากฏเรื่องเกี่ยวกับผี ในรัชสมัยของเสือเปิงเมืองฟ้า (ครองราชย์ 1663-1669) ที่เสียเมืองเจ้หุงแก่จักรวรรดิโมกุล ว่าเป็นเพราะ "ผีสางให้เป็นดังนี้กอย"[18] โดยการบูชาผีจะมีในทุกพิธีที่สำคัญของชาวอาหมอย่างพิธีราชาภิเษก (เฮ็ดเจ้า หรือ เฮ็ดขุนนั่งเมือง), พิธีแต่งงาน (ปลงสาวปลงชู้), ปีที่ดาวให้โทษต่อเมือง (หลักนีค่ำเมือง) หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย (ล้มไข้ หรือ หลอนหนาว)[19] โดยในพิธีเรียกขวัญเจ้าฟ้าวันราชาภิเษกทั้งหมดจะเป็นการเรียกผีเฉพาะผีชั้นฟ้าให้ช่วยในการปกครองบ้านเมืองของเจ้าฟ้า เจ้าฟ้าจะอ้างตนเป็นหลานของผีชั้นฟ้า[19] สิ่งของที่ใช้ในการบูชาผี ได้แก่ ข้าว ผัก ดอกไม้ อ้อย หมากพลู ไข่ ไก่ เป็ด หมู และควาย เป็นต้น สำหรับสิ่งมีชีวิตมีการฆ่าภายในพิธีนั้นเลยในบางครั้ง[20][21] อย่างเช่นในพิธีราชาภิเษกจะมีการฆ่าควาย[22][23] ส่วนการฆ่าคนสังเวยผีปรากฏในอาหมบุราณจีเพียงครั้งเดียวในรัชสมัยของเสือปาดฟ้า (ครองราชย์ ค.ศ. 1681-1696) กล่าวว่า "สองขานี้ให้ผีหลวง" และอีกตอนหนึ่งว่า "ชื่อมันเลบา ผู้ 1 หัวปาก (หัวร้อย หรือ นายร้อย)... ผู้ 1 พ้อยเสาแก่โล ผู้ 1 นี้สามตัวว่าจำให้ที่ผีใส่เหล็กขื่อแขวนไว้"[24][25] ขณะที่กรุงศรีอยุธยาเองก็มีการสังเวยคนเช่นกัน ด้วยการใส่หลุมก่อนลงเสาสร้างเมือง[26][27] การฝังคนตายเป็นประเพณีของชาวอาหม ในอาหมบุราณจีมีการกล่าวถึงการฝังศพ เนื่องจากในรัชสมัยของเสือใหญ่ฟ้าคำเมือง (ครองราชย์ ค.ศ. 1769-1780) ได้เกิดปัญหาเกี่ยวกับพิธีปลงพระศพ ว่าจะฝังหรือเผาพระศพกษัตริ์องค์ก่อน เนื่องจากอิทธิพลของศาสนาฮินดูแพร่เข้ามา ทำให้เกิดเป็นประเพณีใหม่ขึ้น จากคริสต์ศตวรรษที่ 18 หมอหลวงของลัทธิฟ้าหลวงของอาหม 2 คน จึง "นั่งต่างผีเล่ากอย แย้มเมื่อแก่นไข่ฟ้า ลงมาชั่วปู่ชั่วพ่อ ปู่เหลนปู่เถ้า ร่างตายฝังไว้"[28] โดยชิฮาบุดดีน ทาลิส (Shihabuddin Talish) ได้ระบุว่า ศพของเจ้าฟ้าและคนธรรมดา จะถูกฝังและใส่สิ่งของโดยเอาหัวหันไปทางทิศตะวันออก แต่สำหรับเจ้าฟ้าจะมีการฝังภรรยาและคนใช้ไปด้วย พร้อมกับตะเกียงและน้ำมันปริมาณมากและคนถือตะเกียง และเขายังอ้างต่อไปว่า พวกโมกุลที่ขุดที่ฝังพระศพกษัตริย์อาหม 10 แห่ง ค้นพบสมบัติมากมาย[29] โดยชาวอาหมจะเรียกสถานที่ฝังศพว่า ป่าเห้ว[28][30] หรือ สวนผี ปัจจุบันพวกที่สืบเชื้อสายมาจากชั้นพระและตระกูลบางตระกูลยังคงมีการฝังคนตายอยู่[31][32] ภาษาภาษาอาหมถือเป็นภาษาไทยุคเก่า โดย อ.วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับภาษาอาหมและภาษาในจารึกสุโขทัยที่คล้ายคลึงกันมาก และมากกว่าภาษาถิ่นไทในปัจจุบัน[33] ในภาษาอาหมจะไม่มีการใช้คำราชาศัพท์ คำที่ใช้พูดอยู่ก็สามารถกับกษัตริย์หรือเจ้าได้ การแสดงออกถึงความเป็นเจ้านายทางภาษาจึงไม่มีมากนัก[34] เมื่อเสือก่าฟ้าได้นำผู้คนอพยพเข้ามายังอัสสัม ก็พบชาวไทเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว โดยในอาหมบุราณจีได้เรียกคนกลุ่มดังกล่าวว่า ผู้เขาอันเก่า[35] และในรัชกาลของเสือก่าฟ้าก็ยังมีการแลกเปลี่ยนทูตระหว่างอาหมกับเมืองเมา จนในรัชสมัยของเสือดังฟ้าทรงปรารภในปี ค.ศ. 1382 ว่านับเวลา 8 ปีแล้วที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ทางการทูตกับเมืองเมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกันระหว่างอาหมกับรัฐไทกลุ่มอื่นตลอดมา แม้แต่ในรัชสมัยของเสือห่มเมืองและเสือคำฟ้า ก็ทรงอภิเษกกับสตรีชาวเมืองกอง ซึ่งเป็นเหตุให้มีชาวไทอพยพเข้ามายังเมืองนุนสุนคำมากขึ้น[35] แต่หลังปี ค.ศ. 1638 เมืองกองได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า การติดต่อจากยุติลง ประกอบการเกิดสงครามกลางเมืองของอาหม รวมทั้งการสูญเสียอำนาจของนักบวชเทวไทกับราชสำนัก ทำให้ภาษาอาหมเริ่มถูกละเลย[35] แม้จะมีชาวไทกลุ่มอื่นที่นำภาษาไท และศาสนาพุทธเข้าไป แต่ชาวอาหมก็มิได้ให้ความสนใจ[35] โดยในรัชกาลของเสือใหญ่ฟ้างำเมือง ได้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเทวไทอาหมกับนักบวชฮินดู เกี่ยวกับการปลงพระศพอดีตกษัตริย์ เนื่องจากประเพณีอาหมเดิมให้มีการฝัง กับประเพณีฮินดูที่ให้มีการเผาพระศพ[36] เซอร์จอร์จ อับราฮัม กรีเออร์สัน (Sir George Abraham Grierson) ได้ระบุว่าภาษาอัสสัมเริ่มเข้ามามีอิทธิพลและเข้ามาแทนที่ภาษาอาหมประมาณต้นศตวรรษที่ 18 จาก ค.ศ. 1720 เป็นต้นมา โดยข้าราชการฮินดูที่มีตำแหน่งทางฮินดูไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอาหม แต่ภาษาอาหมยังถูกใช้เป็นภาษาพูดจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 และชนชั้นพระชาวอาหมหรือเทวไท ยังคงใช้พูดระหว่างกันอีก 50 ปีต่อมา หรือจนถึงประมาณ ค.ศ. 1850[37] ส่วน S.K. Bhuyan ได้เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1930 ได้กล่าวถึงว่าในขณะนั้นมีบัณฑิตนามว่า ราย สาหิบ โคลัป จันทรา พารัว (Rai Sahib Golap Chandra Barua) เพียงคนเดียวที่รู้ภาษาอาหมจริง และไม่มีผู้ที่จะสืบความรู้นั้นได้ในระยะใกล้นั้น โดย Bhuyan ได้พยากรณ์ไว้ว่าอย่างช้าอีก 20 ปีข้างหน้า (คือในปี ค.ศ. 1950) จะไม่มีคนรู้ภาษาอาหมเลย และภาษาของผู้ปกครองอัสสัมจะกลายเป็นภาษาลึกลับที่ไม่มีนักโบราณคดีและนักภาษาผู้ใดจะไขความหมายได้[38] ปัจจุบันแม้ชาวอาหมจะใช้ภาษาอัสสัมในการพูดและเขียนไปแล้ว แต่เหล่านักบวชและชาวอาหมทั่วไปยังคงใช้ภาษาอาหมในการสวดในพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิมต่าง ๆ มาจนถึงทุกวันนี้[36]ซึ่งปัจจุบันมีเทวไทที่รู้ภาษาอาหมในพิธีกรรมทางศาสนาประมาณ 100-200 คน[39] การฟื้นฟูภาษามีการฟื้นฟูภาษาอาหมโดยขบวนการฟื้นฟูภาษาวัฒนธรรมอาหม โดยมีการตั้งโรงเรียนภาษาไทขึ้นที่หมู่บ้านปัตซากุ เมืองศิวสาคร เมื่อ ดร. บรรจบ พันธุเมธา นักนิรุกติศาสตร์ชาวไทย ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวในปี ค.ศ. 1955 โรงเรียนดังกล่าวก็ได้ล้มเลิกการสอนไปแล้ว เนื่องจากขาดผู้สอน[40] ในช่วงที่ผ่านมาชนชั้นพระโดยเฉพาะท่านทัมพารุธาร เทวไธ ผู้การ (Dambarudhar Deodhai Phukan, 1912-1993) หมออาวุโสแห่งหมู่บ้านปัตซากุได้เสนอให้ชาวอาหมก่อตั้งสมาคมฟื้นฟูวัฒนธรรมไทขึ้นมา ชื่อ วันออกพับลิกเมืองไท (Ban Ok Pop Lik Mioung Tai) ที่เมืองเธมชี (Dhemaji) เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1981[41][42] โดยสมาคมได้รื้อฟื้นโรงเรียนภาษาไทที่บ้านปัตซากุ และอีก 350 หมู่บ้านทั่วรัฐอัสสัม มีการผลักดันให้รัฐอัสสัมเริ่มให้การศึกษาภาษาไทระดับประถมศึกษา โดยมีการจ้างครูผู้สอนภาษาไทจำนวน 200 คน เริ่มในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองเธมชี โดยมีปัญญาชนอาหมคนหนึ่งชื่อ เสือดอยฟ้า เถ้าเมือง (Nagen Bargohain) ได้รวบรวมทำตำราภาษาอาหมเล่มหนึ่งเพื่อใช้เป็นบทเรียน[43] โดยสมาคมดังกล่าวได้ออกสิ่งพิมพ์และหนังสือทางวัฒนธรรมวิชาการอย่างสม่ำเสมอ[43] แต่จุดหมายระยะยาวขององค์กรคือการจัดตั้งรัฐอาหม หรือเมืองนุนสุนคำขึ้นใหม่โดยยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย รวมทั้งมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย, รัฐฉานในพม่า และเขตปกครองตนเองเต๋อหงของจีน[43] นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสมาคมวรรณกรรมไทตะวันออก (Eastern Tai Literary Association) ที่เมืองกูวาฮาติ โดยสมคมมุ่งมั่นปฏิบัติให้พัฒนาการเรียน เขียนอ่านภาษาอาหม พร้อมกันนี้ให้สนับสนุนให้ค้นคว้าศึกษาเอกสารโบราณของชาวอาหมอย่างจริงจัง การฟื้นฟูภาษาอาหมนั้นอาศัยสัทวิทยาของภาษาพี่น้อง เช่น ภาษาอ่ายตน และภาษาพ่าเก โดยภาษาดังกล่าวจะถูกเรียกว่า ภาษาไทในอัสสัม เนื่องจากประกอบไปด้วยคำไททุกกลุ่มในรัฐอัสสัม หากการฟื้นฟูดังกล่าวได้ผลภาษาเขียนในรัฐอัสสัมจะใช้อักษรอาหมเป็นหลักแทนอักษรไทอื่นๆ ในรัฐอัสสัม[44] โดยอาศัยพื้นฐานภาษาอ่ายตนในรัฐอัสสัม เนื่องจากใกล้เคียงกับภาษาอาหมมากที่สุด ชาวอาหมอาจอาศัยชาวอ่ายตนในการรื้อฟื้นภาษา[45] คำบรรยายเกี่ยวกับชาวอาหมบุคลิกลักษณะของชาวอาหมนั้น ตามพงศาวดารของยุคราชวงศ์โมกุล แห่งอินเดียในยุคนั้น โดยฟาติยะ อิบริยะ ซึ่งติดตามไปกับกองทัพอิสลามซึ่งรบกับอาหม เมื่อปี พ.ศ. 2200 ได้บรรยายลักษณะของชาวอาหมไว้ว่า[46]
ผู้เขียนตำนานอีกคนหนึ่งนามว่า อาลัมกิรนามะ ก็เขียนไว้ว่า[47]
ชาวอาหมที่มีชื่อเสียง
ดูเพิ่มอ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น |