Share to:

 

อาเลกซิส ซันเชซ

อาเลกซิส ซันเชซ
ซันเชซกับชิลี ในปี ค.ศ. 2017
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม อาเลกซิส อาเลฆันโดร ซันเชซ ซันเชซ[1]
วันเกิด (1988-12-19) 19 ธันวาคม ค.ศ. 1988 (36 ปี)[1][2]
สถานที่เกิด โตโกปิยา ชิลี[2][3]
ส่วนสูง 1.69 m (5 ft 6 12 in)[4][5][6]
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
2004–2005 โกเบรโลอา
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2005–2006 โกเบรโลอา 47 (9)
2006–2011 อูดีเนเซ 95 (20)
2006–2007โกโล-โกโล (ยืมตัว) 32 (5)
2007–2008ริเบร์เปลต (ยืมตัว) 23 (4)
2011–2014 บาร์เซโลนา 88 (39)
2014–2018 อาร์เซนอล 122 (60)
2018–2020 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 32 (3)
2019–2020อินเตอร์มิลาน (ยืมตัว) 22 (4)
2020–2022 อินเตอร์มิลาน 57 (12)
2022–2023 มาร์แซย์ 35 (14)
2023–2024 อินเตอร์มิลาน 23 (2)
ทีมชาติ
2006–2008 ชิลี อายุไม่เกิน 20 ปี 18 (4)
2006– ชิลี 165 (51)
เกียรติประวัติ
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 มกราคม 2024
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด
ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2023

อาเลกซิส อาเลฆันโดร ซันเชซ ซันเชซ (สเปน: Alexis Alejandro Sánchez Sánchez; เกิด 19 ธันวาคม ค.ศ. 1988) เป็นนักฟุตบอลชาวชิลี ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน ใน เซเรียอาและ ทีมชาติชิลี ในตำแหน่งกองหน้า ทั้งยังเล่นในตำแหน่งปีก ได้อีกด้วย

"El Niño Maravilla" หรือ "เจ้าหนูมหัศจรรย์"[7][8] ในปี ค.ศ. 2007 นิตยสารเวิลด์ซอกเกอร์จัดให้อยู่ในหนึ่งใน 50 วัยรุ่นที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการแข่งขันระดับโลก[9][10] ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถทางด้านการเลี้ยงและฝีเท้าที่เร็ว (ในปี ค.ศ. 2015 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักฟุตบอลที่วิ่งไปกับลูกฟุตบอลได้เร็วเป็นอันดับที่ 10 ของโลก โดยวิ่งได้เร็ว 30.1 กิโลเมตร/ชั่วโมง[11])

ประวัติ

อาเลกซิส ซันเชซ เกิดในครอบครัวที่ยากจนที่เมืองโตโกปิยา ในวัยเด็กจึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการแสดงโชว์ตีลังกาเพื่อแลกกับเงินเพียง 2.30 ปอนด์ หรือแม้กระทั่งเป็นเด็กล้างรถหรือรับจ้างชกมวยโชว์ แม้จะชื่นชอบการเล่นฟุตบอล แต่ซันเชซไม่เคยได้รองเท้าสตั๊ดเลย จนกระทั่งนายกเทศมนตรีเมืองโตโกปิยาได้มอบรองเท้าสตั๊ดให้ถึงในบ้าน ทำให้เจ้าตัวรู้สึกดีใจมาก

ซันเชซ เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลในระดับเยาวชนของโกเบรโลอา สโมสรในชิลี ก่อนที่จะย้ายมาสร้างชื่อเสียงกับอูดิเนเซ ในเซเรียอา ประเทศอิตาลี ระหว่างปี ค.ศ. 2006–2011 ก่อนที่จะย้ายไปสู่บาร์เซโลนา ในลาลิกา ประเทศสเปน เมื่อปี ค.ศ. 2011[12] ต่อมาซันเชซได้ย้ายจากบาร์เซโลนาไปเล่นให้กับอาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีก ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ หลังจบฟุตบอลโลก 2014 โดยได้รับค่าตัว 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์[12]

ซันเชซยิงประตูแรกให้กับอาร์เซนอลได้ในช่วงทดเวลาพิเศษของครึ่งแรก ในยูฟ่าแชมเปียนลีก รอบคัดเลือกนัดที่ 2 ที่อาร์เซนอลเป็นฝ่ายเอาชนะเบซิคตัสจากตุรกีไปได้ 1-0 ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม และได้ผ่านเข้าไปในเล่นต่อไป [13] และยิงประตูที่สองได้ในนัดถัดมา ในพรีเมียร์ลีก นัดที่อาร์เซนอลบุกไปเยือนเลสเตอร์ซิตี ในนาทีที่ 19 ผลออกมาเสมอกัน 1-1[14]

ในเอฟเอคัพ 2014–15 รอบ 3 ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2015 ที่อาร์เซนอลพบกับฮัลล์ซิตี ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศใน ฤดูกาลล่าสุดก่อนหน้านี้ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ซันเชซเป็นผู้ยิงประตูที่ 2 ให้อาร์เซนอลได้ในนาทีที่ 82 และเล่นได้อย่างโดดเด่นมาก ผลปรากฏว่าอาร์เซนอลชนะไป 2-0 รวมแล้วทั้งหมดซันเชซยิงได้ในทุกรายการ ณ ขณะนั้น 16 ประตู

ในเอฟเอคัพ 2014–15 รอบรองชนะเลิศ ที่อาร์เซนอลพบกับเรดิง ที่สนามเวมบลีย์ ซันเชซเป็นผู้ยิง 2 ประตูให้กับอาร์เซนอล ในนาทีที่ 39 และช่วงทดเวลาพิเศษ 120 นาที ในนาที 115 ทำให้อาร์เซนอลเอาชนะไปได้ 2-1 และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ[15] ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศ ซันเชซเป็นผู้ทำประตูที่ 2 ให้อาร์เซนอล ด้วยการยิงไกลระยะราว 30 หลา ในนาทีที่ 50 เมื่อจบการแข่งขันอาร์เซนอลเอาชนะ แอสตันวิลลา ไปได้ถึง 4-0 สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์รายการนี้มากที่สุด คือ 12 ครั้ง [16]

ในฤดูกาล 2014–15 ที่ซันเชซย้ายมาเล่นที่อังกฤษเป็นฤดูกาลแรก ซันเชซเล่นได้อย่างโดดเด่นมากและสามารถยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ จึงทำให้มีรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ[17] และเมื่อจบฤดูกาลได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก จากการลงคะแนนของบรรดาแฟนฟุตบอล[18] โดยรวมทุกรายการ ซันเชซลงเล่นให้กับอาร์เซนอลไปทั้งหมด 52 นัด และยิงไปได้ทั้งหมด 72 ประตู

ในฟุตบอลโกปาอาเมริกา 2015 ที่ชิลีเป็นเจ้าภาพ ในนัดชิงชนะเลิศ ที่ชิลีพบกับอาร์เจนตินา เมื่อครบ 120 นาที รวมถึงการต่อเวลาพิเศษแล้ว ก็ยังไม่มีการทำประตูกันได้ จึงต้องยิงลูกจุดโทษตัดสิน ซันเชซเป็นผู้ยิงประตูที่ 4 ให้แก่ชิลี ซันเชซยิงอย่างเนิบ ๆ แบบอันโตนิน ปาเนียกา อดีตนักฟุตบอลชาวเชก ซึ่งเป็นประตูที่ตัดสินให้ชิลีชนะอาร์เจนตินาไปในที่สุด ได้ครองแชมป์โกปาอาเมริกาเป็นสมัยแรก

ในฤดูกาล 2015–16 ซันเชซยิงประตูแรกในฤดูกาลได้ ด้วยการทำแฮททริกในพรีเมียร์ลีกนัดที่ 7 ของฤดูกาล ที่อาร์เซนอลบุกไปเยือน เลสเตอร์ซิตี ที่สนามคิงเพาเวอร์สเตเดียม ในนาทีที่ 33, 58 และ 81 ทำให้อาร์เซนอลชนะไป 2-5 และทำให้เลสเตอร์ซิตีแพ้เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ด้วย และยิงได้อีก 2 ลูกในนัดถัดมา ที่อาร์เซนอลพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ในนาทีที่ 6 และ 20 ทำให้อาร์เซนอลชนะไป 3-0 และแซงหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดขึ้นไปเป็นทีมอันดับสองในตารางคะแนนด้วยลูกได้เสียที่ดีกว่า ซึ่งมีคะแนนตามหลังทีมนำ คือ แมนเชสเตอร์ซิตี แค่ 2 คะแนน [19] และยังได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมทช์อีกด้วย[20]

ในฟุตบอลโกปาอาเมริกา 2016 ที่จัดเป็นการพิเศษที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งชิลีเป็นแชมป์ไปในที่สุด ซันเชซได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และได้รับรางวัลลูกทองคำ[21]

ในฤดูกาล 2016–17 ซันเชซได้ถูกอาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการสโมสรและหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้เปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นเป็นกองหน้า เนื่องจากกองหน้าตัวจริง คือ ออลีวีเย ฌีรู ได้รับบาดเจ็บ ในระยะแรกได้รับเสียงวิจารณ์ว่าไม่เหมาะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน อาร์เซนอลมีผลงานที่ดีขึ้น ซ้ำซันเชซยังยิงได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งในนัดที่ 10 ที่ไปเยือนซันเดอร์แลนด์ ที่สนามสเตเดียมออฟไลฟ์ ซันเชซทำประตูได้ 2 ประตู ในครึ่งแรกด้วยการโหม่ง ในนาทีที่ 19 และลูกสุดท้าย ในนาทีที่ 78 ซึ่งนับเป็นลูกที่ 50 ที่ทำให้กับอาร์เซนอลด้วย ผลการแข่งขัน อาร์เซนอลชนะไปถึง 1-4 และทำให้ขึ้นเป็นผู้นำในตารางคะแนนในขณะนั้น[22][23]

ในต้นปี ค.ศ. 2018 ระหว่างฤดูกาล 2017–2018 ซันเชซซึ่งเหลือสัญญากับอาร์เซนอลเพียง 6 เดือน อาร์เซนอลพยายามจะต่อสัญญากับซันเชซมาโดยตลอด แต่ซันเชซไม่ยอมต่อสัญญา จนเมื่อการซื้อขายตัวผู้เล่นเปิดขึ้นอีกครั้ง อาร์เซนอลได้ปล่อยตัวซันเชซไปยังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยการแลกเปลี่ยนตัวกับแฮนริค มะคีทาเรียน ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยเซ็นสัญญา 4 ปีครึ่ง ด้วยค่าเหนื่อยประมาณ 600,000 ปอนด์ (ประมาณ 26 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ แบ่งเป็นค่าจ้างปกติ 350,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) ลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ 100,000 ปอนด์ (ประมาณ 4.4 ล้านบาท) และโบนัส 144,000 ปอนด์ (ประมาณ 6.3 ล้านบาท) ทำให้ซันเชซกลายเป็นผู้เล่นที่ได้รับค่าจ้างสูงสุดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[24]

เกียรติประวัติ

โคโล่ โคโล่
  • ชิลี พรีเมร่า ดิวิชั่น: 2006 2007
ริเวอร์เพลท
  • ปริเมราดิบิซิออน: 2008
บาร์เซโลนา
อาร์เซนอล
อินเตอร์มิลาน
ทีมชาติชิลี
รางวัลส่วนบุคคล
  • ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือน (เซเรียอา) : กุมภาพันธ์ 2011
  • ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือน (พรีเมียร์ลีก): ตุลาคม 2014, ตุลาคม 2015
  • ผู้เล่นอาร์เซนอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล: 2014-15, 2016–17
  • PFA ทีมยอดเยี่ยมแห่งปี: พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014–15
  • BBC ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน: ตุลาคม 2015
  • PFA Fans' ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี: 2015
  • Football Supporters' Federation ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี: 2015
  • Facebook FA Premier League ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี: 2015
  • FIFPro World XI ทีมอันดับที่ 4: 2015, 2016, 2017
  • Kids' Choice Awards Favorite UK Footballer: 2015
  • โกปาอาเมริกา ลูกบอลทองคำ : 2016
  • โกปาอาเมริกา ทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์: 2016
  • ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ลูกบอลเงิน: 2017

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 "Alexis Alejandro Sánchez Sánchez". soccerway.com. สืบค้นเมื่อ 25 July 2011.
  2. 2.0 2.1 "Alexis Sanchez Profile". Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 17 July 2014.
  3. "Barcelona Stars Show Support for Tocopilla". I Love Chile. 6 August 2013. สืบค้นเมื่อ 23 June 2014.
  4. "Alexis Sánchez Profile". UEFA. สืบค้นเมื่อ 7 February 2015.
  5. "Alexis Sánchez Profile". ESPN FC. สืบค้นเมื่อ 7 February 2015.
  6. "2014 FIFA World Cup squadlists" (PDF). FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-08-06. สืบค้นเมื่อ 7 February 2015.
  7. "Alexis sánchez el niño maravilla". Jaja.cl. สืบค้นเมื่อ 2009-06-13.
  8. "Goal.com Profile". Goal.com. สืบค้นเมื่อ 2009-06-13.
  9. Ives Galarcep (2007-11-28). "The 50 most exciting teenagers in soccer". Soccer by Ives. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-05. สืบค้นเมื่อ 2009-06-13.
  10. "Top 50 Most Exciting Teen Footballers (2007)". Soccerlens. 2007-11-29. สืบค้นเมื่อ 2009-06-13.
  11. "10 นักเตะ!วิ่งไปกับบอลได้เร็วที่สุดในโลกปี 2015". 90min.com. 31 March 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-04. สืบค้นเมื่อ 27 September 2015.
  12. 12.0 12.1 "อเล็กซิสรับวัยเด็กยากจนต้องตีลังกาโชว์แลกเงิน". สนุกดอตคอม. 2014-10-09. สืบค้นเมื่อ 2015-01-04.
  13. "อเล็กซิสซัด!ปืนซิวเบซิคตัสหืด1-0ลิ่วแบ่งกลุ่ม". สยามสปอร์ต. 2014-08-28. สืบค้นเมื่อ 2014-08-28.
  14. "แฟนเซ็ง "ปืนโต" ฝืดเจ๊าจิ้งจอก 1-1". ผู้จัดการออนไลน์. 2014-09-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-01. สืบค้นเมื่อ 2014-09-01.
  15. "ปืนต่อเวลาเฉือนเรดดิ้งลิ่วชิงเอฟเอ คัพ 'อเล็กซิส' ฮีโร่กดเบิ้ล". ข่าวสดออนไลน์. 2015-04-19. สืบค้นเมื่อ 2015-04-19.
  16. ""ปืน" ถล่มวิลลา 4-0 ซิวเอฟเอสูงสุด 12 สมัย". ผู้จัดการออนไลน์. 2015-05-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-01. สืบค้นเมื่อ 2015-05-31.
  17. "มาเต็ม! 'เด เคอา-คอสตา' ติดโผชิงแข้งยอดเยี่ยมพีเอฟเอ". ไทยรัฐออนไลน์. 2015-04-17. สืบค้นเมื่อ 2015-04-19.
  18. "เทพกว่านี้มีอีกไหม! อเล็กซิสคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี". arsenal.in.th. 2015-05-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-27. สืบค้นเมื่อ 2015-05-27.
  19. "คลิปไฮไลท์พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 3-0 แมนยู Arsenal 3-0 Manchester United". football-fun.net. 2015-10-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-05. สืบค้นเมื่อ 2015-10-05.
  20. "คะแนนนักเตะ อาร์เซนอล รัวโหดผีแดง 3-0". arsenal.in.th. 5 October 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 5 October 2015.
  21. "อเล็กซิส คว้ารางวัล รองเท้าทองคำ". Arsenal .in.th. 27 June 2016. สืบค้นเมื่อ 27 June 2016.
  22. "Sunderland 1- 4 Arsenal: Alexis Sanchez stars". Daily Mirror.co.uk.
  23. "Alexis Sanchez reaches 50 goals in all competitions for the Gunners". Metro.co.uk.
  24. "สิ้นสุดการรอ "อเล็กซิส" ซบผีใส่เบอร์ 7 "มิคกี" ย้ายข้ามฟาก". ผู้จัดการออนไลน์. 2018-01-23. สืบค้นเมื่อ 2018-01-23.

แหล่งข้อมูลอื่น

Kembali kehalaman sebelumnya