เดชา สุวรรณสุก
เดชา สุวรรณสุก (เกิด พ.ศ. 2492/2493 - 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2542) เป็นฆาตกรและผู้ข่มขืนเด็กที่ถูกตัดสินประหารชีวิตและถูกประหารชีวิตโดยประเทศไทย ในข้อหาข่มขืนและสังหารเด็กหญิงสุกัญญา สุวรรณสุข หรือน้องนุ่น อายุ 4 ขวบ[1] ซึ่งเป็นลูกสาวของเขาในปี พ.ศ. 2539[2] ซึ่งจากผลตรวจดีเอ็นเอในภายหลังจากคดีฆาตกรรมพบว่าสุกัญญาไม่ใช่ลูกของเขา[3][4] ประวัติเดชาเคยถูกจับกุมในความผิดฐานลักทรัพย์ในพื้นที่อำเภอเมืองอุบลราชธานีเมื่อปี พ.ศ.2510 และยังเคยถูกจับกุมในความผิดฐานชิงทรัพย์ในพื้นที่อำเภอวารินชำราบเมื่อปี พ.ศ. 2513[5] โดยเขาจบการศึกษาระดับอนุปริญญาจากจังหวัดอุบลราชธานี เขาได้มีลูกกับภรรยาเก่า 1 คน และมีลูกกับภรรยาคนใหม่ 2 คน เป็นลูกชาย 1 คน และลูกสาว 1 คน คือสุกัญญา สุวรรณสุข โดยเขาเป็นคนที่ชอบดื่มสุราและจะทำร้ายลูกและภรรยาเมื่อเขาเมาสุรา และจะทำร้ายร่างกายภรรยาอย่างรุนแรงจนบอบช้ำ ก่อนจะมีเพศสัมพันธ์[6] โดยก่อนที่สุกัญญาจะเกิดมานั้น เขาเคยจับได้ว่าภรรยาไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่โรงแรม ขณะที่ทั้งคู่กำลังนุ่งผ้าขนหนูอยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นไม่นานภรรยาของเขาก็ตั้งท้องและคลอดออกมาเป็นสุกัญญา ซึ่งเขาเชื่อว่าสุกัญญาไม่ใช่ลูกของเขา เขาจึงทุบตีและเกลียดชังเธอมาโดยตลอด [7] การฆาตกรรมเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม พ.ศ. 2539 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่าพบศพเด็กหญิงสุกัญญา สุวรรณสุก อายุ 4 ขวบ ในบ้านพักคนงานของบริษัทเท็กซ์โก้ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง จำกัด โดยสภาพศพมีรอยฟกช้ำ มีรอยกัดที่แก้มขวาและมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดและทวารหนัก และพบ ยาหม่อง 1 ตลับที่ข้างศพ[8][9] การสืบสวนหลังจากการเสียชีวิต เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน เนื่องจากมีพยานยืนยันว่าเขาเป็นคนติดสุราและจะทำร้ายสุกัญญาอย่างรุนแรงเมื่อเมาสุรา ซึ่งเขาได้ปฎิเสธในการก่อคดีโดยอ้างว่า สาเหตุที่ร่างกายของสุกัญญามีรอยฟกช้ำเพราะเธอเพิ่งตกบันไดเมื่อ 2 วันก่อนและเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ลูกชายของเขาอยู่กับสุกัญญาเพียงลำพัง ซึ่งหลังจากเขากลับจากที่ทำงาน เขาก็ถามลูกชายว่าทำไมถึงมีเลือดไหลจากอวัยวะเพศของสุกัญญา แต่ลูกชายไม่ยอมตอบ เขาจึงไปซื้อยาแก้ปวดและเธอก็เสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น จากนั้นตำรวจได้ให้เดชาถอดกางเกงพิสูจน์ โดยที่อวัยวะเพศของเขามีรอยถลอกและยังพบรอยขีดข่วนที่มือซ้ายและหน้าอก ซึ่งเขาอ้างว่ารอยถลอกนั้นมาจากการสำเร็จความไคร่ด้วยตนเอง หลังจากนั้นตำรวจได้นำเขาไปตรวจพิสูจน์ในทางการแพทย์ โดยเขาได้พูดกับนักข่าวว่า เขาไม่เชื่อผลพิสูจน์ในทางการแพทย์และไม่ใช่คนร้าย เขาสารภาพเพราะถูกตำรวจใช้กระบองไฟฟ้าจี้ให้สารภาพ[10] ในวันถัดมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำเขาและลูกชาย โดยลูกชายของเขาได้ตื่นกลัวและร้องไห้ตลอดเวลาที่เจาะเลือดเพื่อตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งผลการตรวจร่างกายของเดชาไม่พบร่องรอยของการถูกกระบองไฟฟ้าจี้ ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม ผลการตรวจร่างกายของเขาและลูกชาย โดยพบว่าบาดแผลที่อวัยวะเพศของเขาเป็นแผลที่เพิ่งถลอกไหม่ และรอยกัดที่ใบหน้าของสุกัญญาตรงกับรอยฟันของเดชา ส่วนลูกชายของเขาแพทย์ได้ยืนยันว่าเขาไม่ใช่คนร้ายเพราะอวัยวะเพศยังไม่พัฒนาเต็มที่ รวมถึงยังไม่พบบาดแผลบนร่างกายและรอยกัดที่พบบนศพไม่ตรงกับรอยฟัน[11] ในวันที่ 24 กรกฎาคม เขารับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุข่มขืน โดยแรงจูงใจของเขาคือความกดดันจากปัญหาครอบครัว โดยก่อนการก่อเหตุเขาดื่มเหล้าขาวกับเพื่อนจนเมา ต่อมาเวลา 21.00 น. เขากลับมาที่บ้านและลงมือข่มขืนสุกัญญาเพราะแค้นที่ภรรยาหนีไปกับชายอื่นขณะตั้งครรภ์[12] หลังจากนั้นเขาก็พาเธอไปล้างตัว ก่อนจะข่มขืนอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นและพบกับเลือดไหลจากอวัยวะเพศ แต่เขาไม่สนใจเพราะคิดว่าบาดแผลไม่เป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต จึงไม่พาไปหาหมอ หลังจากนั้นเธอจึงเสียชีวิต หลังจากนั้นตำรวจได้นำเขาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งระหว่างการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เขาสารภาพว่า เขาจำไม่ได้ว่าข่มขืนเธอวันไหนและไม่ได้ยินเสียกรีดร้องของเธอเพราะเขาเมามาก[13] โดยแรงจูงใจคือภรรยาไปมีชู้ ซึ่งเขาไม่เชื่อว่าเธอคือลูกของเขา[14] โดยผลการตรวจดีเอ็นเอในเวลาต่อมายืนยันว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเขา[15] การพิจารณาคดีและการประหารชีวิตศาลชั้นต้นได้ตัดสินประหารชีวิตเขาและย้ายเขาไปที่เรือนจำกลางบางขวาง หลังจากนั้นเขาได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เขาจึงยื่นฎีกาต่อศาลและศาลฎีกาก็พิพากษายืนประหารชีวิตตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เขาจึงทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2541[16][17] แต่ก็ถูกยกฎีกาเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์โหดเหี้ยมสะเทือนขวัญประชาชน[18] ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เมื่อเวลา 16.10 น. เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงและหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางได้เบิกตัวเขาจากแดนประหาร ซึ่งเขาได้ลุกขึ้นยืนมาหาเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยง ก่อนจะมีการเรียกชื่อ เพราะเขาคิดไว้แล้วล่วงหน้าว่าเขาจะถูกประหารชีวิต เนื่องจากคดีของเขาไม่ต่างจากคดีของพันธ์ สายทอง และเขาได้พูดเสริมว่า"แต่หัวหน้าเชื่อไหมครับผมไม่ได้ทำน้องนุ่นจริงๆ ผมไม่ได้ทำน้องนุ่นและความยุติธรรมไปอยู่ที่ไหนหมดก็ไม่รู้" หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจองทะเบียนประวัติอาชญากรและฝ่ายทะเบียนผู้ต้องขังได้เข้ามาพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติอาชญากร เขาได้ขอเหล้าเป็นอาหารมื้อสุดท้ายเพราะก่อนที่จะก่อคดีฆาตกรรมเขาได้ดื่มเหล้าเป็นประจำจึงต้องการดื่มเหล้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถูกประหารชีวิต แต่ก็ถูกปฎิเสธเนื่องจากผิดกฎระเบียบของเรือนจำ เขาจึงขอกาแฟเข้มๆ 1 แก้ว กับ ทุเรียนก้านยาว 1 ลูกแทน หลังจากที่มีการอ่านคำสั่งยกฎีกา หลังจากนั้นเขาก็ได้รับอนุญาตให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย ซึ่งเขาไม่ขอทำพินัยกรรมและเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่โดยมีเนื้อความหนึ่งเขียนว่า"ความยุติธรรมไม่มีในโลกนี้ ขอให้ชาติหน้าเกิดเป็นลูกพ่อแม่ใหม่" อาหารมื้อสุดท้ายของเขาประกอบด้วยข้าวเปล่า แกงจืดเต้าหู้หมูสับ น้ำพริกกะปิ ผักต้ม น้ำเปล่า ทุเรียนก้านยาวและกาแฟ เขาถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าเมื่อเวลา 17.45 น.[19][20][21] โดยเพชรฆาตเชาวเรศน์ จารุบุณย์[22] หลังจากนั้น 3 นาที แพทย์ได้เข้าไปตรวจสอบร่างกายของเขาและยืนยันการเสียชีวิตของเขา[23] โดยคำพูดสุดท้ายของเขาคือ"ผมขออโหสิกรรมให้ทุกคน รวมทั้งตำรวจที่มาจับกุมผมด้วย ผมไม่ขอมีเวรกรรมกับใครอีก แต่ผมขอยืนยันครั้งสุดท้ายว่าไม่ได้ทำน้องนุ่น"[24] อ้างอิง
|