โทษประหารชีวิตในประเทศไทยโทษประหารชีวิตในประเทศไทย เป็นบทลงโทษผู้กระทำความผิดขั้นสูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญาไทย ในปี พ.ศ. 2567 ไทยเป็นหนึ่งใน 53 ประเทศที่ยังคงโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ[note 1] ส่วนชาติสมาชิกอาเซียนมีกัมพูชาและฟิลิปปินส์ที่บัญญัติให้การประหารชีวิตขัดกฎหมาย ในขณะที่ลาวและบรูไนไม่มีประหารชีวิตในทางพฤตินัย[1] แม้ประเทศไทยยังคงโทษประหารชีวิตในกฎหมาย แต่ดำเนินการบังคับใช้โทษดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เท่านั้น นับตั้งแต่ พ.ศ. 2478 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกประหารชีวิต 326 คน แบ่งเป็นการประหารด้วยการยิงเป้า 319 คน[note 2] และการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาให้ตาย 7 คน[2] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 กรมราชทัณฑ์รายงานว่ามีผู้ต้องขัง 325 คนต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตและอยู่ในเรือนจำ[3] กฎหมายไทยอนุญาตให้ลงโทษประหารชีวิตแก่อาชญากรรม 35 รูปแบบ ซึ่งรวมถึงการกบฏ ฆาตกรรม และการค้าสารเสพติด[4] ความเป็นมาและวิธีการการประหารชีวิตในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นกฎหมายตราสามดวงซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมกฎหมายนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีไว้ด้วยกัน ได้กล่าวถึงวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ประหารชีวิตผู้ต้องโทษตามลักษณะความผิดต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น พระไอยการลักษรโจร ได้ระบุว่าผู้ลักพระพุทธรูปเอาไปล้างหรือเผาสำรอกเอาทอง หรือเอาพระบท (พระคัมภีร์) ไปสำรอกแช่น้ำ หรือเอาไปเผา ให้ต้องโทษประหารโดยนำผู้นั้นใส่เตาเพลิงสูบเผาไฟ ถ้าขุดทำลายพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์บ่อยครั้ง ให้นำผู้นั้นไปตระเวนบก 3 วัน ตระเวนเรือ 3 วัน แล้วตัดศีรษะและผ่าอก [5] ส่วนในพระไอยการกระบดศึกตอนหนึ่ง ระบุว่าผู้ต้องที่รุนแรง เช่น กบฏ, ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์, ปล้นเผาเมือง จวน พระราชวัง ยุ้งฉาง คลังหลวง หรือวัด, ทารุณกรรมต่อพระและชาวบ้าน, ฆ่าบิดา มารดา ครู พระอุปัชฌาย์, เหยียบย่ำทำลามกต่อพระพุทธรูป, ตัดมือตัดเท้าตัดคอเด็กเพื่อเอาเครื่องประดับ จะต้องถูกประหารโดยสถานใดสถานหนึ่งในลักษณะโทษทวะดึงษกรรมกร 32 ประการ เฉพาะในสถานที่มีโทษถึงตาย 21 สถาน ดังนี้[5][note 3]
ผู้ก่อการกบฏ คิดร้ายต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ สอดแนมแก่อริราชศัตรู ต้องด้วยอุกฤษฏ์โทษ 3 สถาน คือ ริบราชบาตรฆ่าทั้งตระกูล ริบราชบาตรฆ่าเจ็ดชั่วโคตร และริบราชบาตรแล้วฆ่าทั้งตระกูล โดยการประหารชีวิตให้กระทำถึง 7 วันจนถึงแก่ชีวิตแล้วลอยแพลงแหล่งน้ำไม่ให้เลือดหรือร่างต้องแผ่นดิน[5] การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เป็นวิธีการประหารชีวิตที่สงวนไว้เฉพาะพระราชวงศ์โดยใช้ท่อนจันทน์ปลงพระชนม์ ไม่ปรากฎชัดว่าเริ่มมีการใช้วิธีการดังกล่าวเมื่อใด แต่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในกฎหมายตราสามดวงว่าด้วยกฎมณเทียรบาล[6] วิธีการนี้ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการเมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายลักษณอาญา โดยกำหนดให้ประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะเพียงวิธีเดียว[7] การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะการประหารด้วยการตัดศีรษะ บ้างก็เรียกว่า การกุดหัว เป็นวิธีการที่ใช้มาอย่างยาวนาน แต่ยังมิอาจค้นพบได้ว่าเริ่มใช้ครั้งแรกในสมัยใด พบการกล่าวถึงการประหารด้วยวิธีการนี้ในทางกฎหมายครั้งแรกในกฎหมายลักษณะอาญา[7] กระทั่งได้เปลี่ยนวิธีการประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2478[8] ขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติกฎหมายลักษณะอาญาได้บัญญัติว่าเมื่อมีการพิพากษาโทษประหารชีวิตผู้ใด เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จะต้องนำความดังกล่าวขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัย หากทรงมีพระบรมราชานุญาต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงจะดำเนินการประหารชีวิตได้[7] เมื่อมีกำหนดจะประหารชีวิต เจ้าพนักงานจะเตรียมปะรำพิธีสำหรับกระทำพิธีทางศาสนา และลานประหาร โดยส่วนมากมักใช้พื้นที่ของวัด กลางลานมีหลักไม้สูงพอจับคนนั่งยึดติดได้ เบื้องหลังมีประตูป่าผูกทำขึ้นด้วยไม้หลัก 3 ไม้ที่ปักลงบนพื้นดินจนแน่นและสุมด้วยกิ่งไม้จนไม่เห็นทางเข้า หลังประตูมีอาสนะยกพื้นสูงสำหรับพระสงฆ์นั่งและวางบาตรบรรจุน้ำมนต์ธรณีสารใหญ่ 2 บาตร ล้อมลานประหารด้วยสายมงคลกันวิญญาณผีตายโหงที่ต้องใช้มีดที่ทำขึ้นเฉพาะตัดสายนี้เท่านั้น ตั้งศาลเพียงตาขึ้นสองขึ้นติดกัน ชั้นบนวางอาหารสำหรับสังเวย สำหรับหนึ่งประกอบด้วยถาดทองเหลืองมีเชิงและวาดลาย ชุดถ้วยกระเบื้องบรรจุอาหารเครื่องเซ่น ได้แก่ หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาแป๊ะซะพร้อมน้ำจิ้ม บายศรี กล้วยน้ำไทย มะพร้าวอ่อน ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ขนมอื่น ๆ เหล้าโรง ดอกไม้พร้อมธูปซองหนึ่งและเทียน 9 เล่ม อีกสำรับเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของนักโทษประหารจัดวางในชุดถ้วยดินเคลือบเผา ทั้งสองสำรับครอบด้วยฝาชี ชั้นล่างวางดาบประหาร ครูเพชฌฆาตทำพิธีบวงสรวงเทพยดาและภูตผีปีศาจจนเสร็จสิ้นการบริกรรม เพชฌฆาตเข้าร่วมพิธีบวงสรวง ครูเพชฌฆาตเจิมหน้าเพชฌฆาตด้วยแป้งกระแจะแล้วมอบดาบให้เพชฌฆาต[9] เมื่อถึงเวลาเช้ามืด เจ้าหน้าที่เบิกตัวผู้ต้องโทษไปเฆี่ยน 3 ยก ยกละ 30 ที รวม 90 ที จากนั้นจัดกระบวนแห่นักโทษที่อยู่ในลักษณะจองจำครบ 5 ประการ[note 4] โดยเพชฌฆาตรั้งท้ายขบวนจากคุกไปยังลานประหาร เมื่อถึงลานนั้นแล้ว จัดอาหารมื้อสุดท้ายให้นักโทษรับประทานและประกอบศาสนกิจ ในกรณีที่ผู้นั้นเป็นพุทธศาสนิกชนจะนิมนต์พระสงฆ์มาโปรดเทศนา เจ้าหน้าที่ผูกปิดตานักโทษ เพชฌฆาตเข้าขออโหสิกรรม แล้วนำตัวนักโทษไปตรึงให้นั่งติดกับด้วยหลักไม้ในท่ากาจับหลัก นำดินเหนียวอุดหูและปาก และกำหนดจุดที่จะตัดศีรษะบริเวณต้นคอด้วยดินเหนียวหรือปูนเคี้ยวหมาก เพชฌฆาตกระทำมนต์พิธีและสะกดดวงวิญญาณผีตายโหงตามความเชื่อหลังประตูป่า เมื่อได้เวลาแล้วพระธามรงค์แจ้งผู้แทนพระองค์ในการเริ่มพิธีการตัดศีรษะ ปี่หลวงบรรเลงเพลงไหว้ครูในลักษณะที่โหยหวน เพชฌฆาตสำรอง (ดาบสอง) เข้ามายังลานประหารแล้วรำดาบหน้าผู้ต้องโทษเพื่อสงบจิตใจโดยวนไปซ้ายตามความเชื่อให้เกิดความอัปมงคลแก่ตัวผู้รับโทษ เพชฌฆาตหลัก (ดาบที่หนึ่ง) แหวกประตูป่าดู ตั้งจิตใจจนมั่นคงแล้วพุ่งเข้ามาในลักษณะย่างสามขุมอย่างแผ่วเบาและเงื้อดาบขึ้นจนสุดเพื่อตัดศีรษะจากข้างหลังผู้ต้องโทษไปข้างหน้า หากศีรษะไม่ขาดจากตัวเพชฌฆาตสำรอง (ดาบสองและดาบสามตามลำดับ) จะลงดาบอีกครั้งหรือจิกศีรษะนั้นขึ้นเพื่อเชือดคอจนศีรษะหลุดจากบ่า เพชฌฆาตดาบหนึ่งกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ยกดาบขึ้นและเลียเลือดปลายดาบเพื่อข่มวิญญาณ แล้วหันหลังวิ่งเข้าประตูป่าอย่างระวังและรวดเร็ว ห้ามหันกลับไปมองผู้ถูกตัดคอ เมื่อเพชฌฆาตพ้นประตูป่าแล้วพระสงฆ์รดน้ำมนต์สองบาตรแก่เพชฌฆาต[10] ส่วนเจ้าหน้าที่ในการประหารนำตรวนข้อเท้าออกจากผู้ถูกประหารชีวิตโดยใช้มีดตัดส้นเท้าหรือไขกุญแจตรวนเท้า แล้วนำศีรษะนั้นไปเสียบประจานและแล่เนื้อส่วนอื่นให้สัตว์[9] หากมีญาติมารับศพให้มอบศพนั้นไปและห้ามจัดการศพนั้นอย่างเอิกเกริก[7] อนึ่ง มีการระบุว่าในกรณีที่ผู้ต้องโทษนั้นมีอาคมแกร่งกล้าจนไม่สามารถตัดศีรษะด้วยดาบได้ เจ้าพนักงานจะนำน้ำผสมสิ่งอัปมงคลแล้วราดใส่นักโทษนั้นก่อนตัดศีรษะอีกครั้ง หากไม่สำเร็จเจ้าหน้าจะใช้ไม้รวกสวนทวารก่อนประหารซ้ำ หากยังไม่ถึงแก่ความตายอีกจะตอกนักโทษด้วยตะลุมพุกหรือนำตัวไปต้มในน้ำเดือดจนตาย[10] เพชฌฆาตตัดศีรษะเพชฌฆาตเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแก่ผู้ที่มีความเหมาะสมทั้งในทางโหราศาสตร์ โดยโหราจารย์จะต้องนำดวงชะตาผู้นั้นไปคำนวณอย่างละเอียด มีความชำนาญในทักษะของดาบ เช่น ความรู้เรื่องดาบ การใช้ดาบ เพลงดาบ ตลอดจนมีความรู้ด้านมนต์คาถา เช่น คาถาสวดวิญญาณผีตายโหง อาคมก่อนหยิบดาบเพชฌฆาต การแก้อาถรรพณ์ผู้ถูกประหารที่มีคาถาคุ้มกันชีวิต เพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัยแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งดังกล่าว ด้วยความเชื่อว่าการฆ่าคนเป็นกรรมหนัก ผู้ทำหน้าที่ต้องเป็นผู้ที่สามารถคุ้มกันชะตาตนเองได้ เมื่อมีกำหนดการให้ประหารชีวิตจะอยู่ประจำเรือนจำและเตรียมความพร้อมในการประหารชีวิต รวมถึงการเชิญดาบไปยังลานประหาร[10] เพชฌฆาตมีเครื่องแบบที่เด่นชัด คือ เสื้อทรงกั๊กลงยันต์อำนาจมหาเดช นุ่งผ้าอย่างหยักรั้ง อาจผูกผ้าคาดศีรษะที่ลงยันต์ไว้ด้วยก็ได้ ทั้งหมดนี้ทำด้วยผ้าเตี่ยวสีแดงสด[10] เพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิตครั้งหนึ่งมี 3 คน คือ ดาบที่หนึ่ง และสำรองอีก 2 คน คือ ดาบสอง และดาบสาม โดยเพชฌฆาตลำดับรองจะลงดาบในกรณีที่เพชฌฆาตดาบแรกตัดศีรษะไม่หลุดจากบ่า[9] ดาบเพชฌฆาตดาบเพชฌฆาตเป็นดาบที่ใช้ในการตัดศีรษะเพื่อประหารชีวิต มีทั้งแบบปลายแหลม หัวตัด หรือหัวปลาไหล สุดแท้แต่เพชฌฆาตจะเลือกใช้[9] ทำด้วยด้วยเหล็กน้ำพี้อย่างดี ตีดาบขึ้นในฤกษ์เพชฌฆาต ขึ้นรูปในให้ได้ตามลักษณะที่เหมาะสมและคมดาบ นิยมถือยามยมขันธ์[note 5]เป็นหลัก ในเวลาปกติดาบได้รับการรักษาในห้องพิเศษในคุกหลวงอย่างดี งดการสัมผัสโดยไม่มีเหตุอันควร และจัดการบวงสรวงสังเวยดาบด้วยเหล้าและไก่ต้มทุกวันเสาร์ มีความเชื่อว่าหากดาบสั่นเหมือนถูกเขย่าจะต้องเกิดการประหารชีวิตภายใน 7 วัน ดาบนี้ยกเลิกการใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีการบันทึกการใช้ดาบในการประหารชีวิตอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่ามีผู้ถูกตัดศีรษะด้วยดาบนับพันราย[10] การยิงเป้าประหารชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2477 มีการแก้ไขกฎหมายลักษณะอาญาโดยเปลี่ยนวิธีการประหารชีวิตจากการตัดศีรษะเป็นการยิงด้วยปืน และเปลี่ยนผู้มีอำนาจการสั่งโทษจากพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่[note 6] โดยประกาศใช้กฎหมายนั้นเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2478[8] ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาในปี พ.ศ. 2499 ยังคงให้ใช้การยิงด้วยปืนเป็นวิธีการประหารชีวิต[12] กระทั่งมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในปี พ.ศ. 2546 จึงเป็นอันยุติการประหารชีวิตด้วยการยิง[13] ขั้นตอนการประหารชีวิตตามแนวปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ เมื่อเรือนจำกลางบางขวางในฐานะหน่วยงานของกรมราชทัณฑ์ที่ดำเนินการประหารชีวิตได้รับคำสั่งให้ประหารชีวิตผู้ใด[note 7] ฝ่ายทะเบียนประวัติตรวจสอบชื่อผู้ที่จะถูกประหารชีวิตกับแฟ้มข้อมูลที่เก็บรักษาไว้เพื่อตรวจพิสูจน์บุคคล จากนั้นเรือนจำแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในเรือนจำขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบหัวหน้าชุด เจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องโทษ (พี่เลี้ยง) 3 คนเป็นอย่างน้อย เจ้าหน้าที่บันทึกภาพ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทัณฑปฏิบัติ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พลเล็งปืน และเพชฌฆาต เพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่ดำเนินการเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์และสถานที่ พร้อมทั้งเชิญกรรมการพยาน ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการจังหวัด อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ ผู้กำกับการตำรวจในพื้นที่ และเชิญเจ้าหน้าที่จากกองทะเบียนประวัติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อร่วมตรวจพิสูจน์บุคคลผู้ต้องโทษ โดยจะต้องปกปิดคำสั่งและการปฏิบัติงานเป็นความลับไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องทราบก่อนเพื่อป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ อาจจะนิมนต์พระสงฆ์หรือเชิญผู้นำทางศาสนามาประกอบพิธีทางศาสนาด้วยก็ได้[note 8] เมื่อถึงเวลาดำเนินการ พี่เลี้ยงพร้อมเจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเบิกตัวผู้รับโทษจากห้องขังไปยังสถานที่ธุรการเพื่อตรวจสอบประวัติ ตำหนิแผลเป็น และพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบบุคคลระหว่างผู้ถูกเบิกตัวกับทะเบียนประวัติที่เรือนจำกับทะเบียนประวัติของตำรวจ เมื่อพิสูจน์ได้ว่าตรงกัน เจ้าหน้าที่อาวุโสอ่านคำสั่งประหารชีวิต นักโทษลงนามหรือพิมพ์ลายนิ้วมือรับทราบคำสั่งนั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ผู้ต้องโทษเขียนจดหมายหรือทำพินัยกรรมได้ตามความต้องการ พร้อมขอช่องทางการติดต่อญาติผู้ต้องโทษเพื่อประสานงานภายหลังการประหารชีวิต จากนั้นเจ้าหน้าที่นำอาหารมื้อสุดท้ายมาให้รับประทาน[note 9] แล้วนิมนต์พระสงฆ์หรือเชิญผู้นำศาสนามาประกอบศาสนกิจแก่ผู้ต้องโทษหรืออนุญาตให้ผู้นั้นประกอบศาสนพิธีได้ตามสมควร[note 10] เมื่อเสร็จพิธีพี่เลี้ยงพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนำตัวผู้ต้องโทษไปยังสถานที่ประหารชีวิต[note 11] แล้วนำผ้าด้ายดิบผูกผิดตาผู้รับโทษ พยุงผู้นั้นเข้าหลักประหาร นั่งคร่อมเดือยไม้ให้เท้าลอยเหนือพื้น หันหลังให้แท่นวางปืน หันหน้าเข้าหลักไม้ แขนกางไปตามกางเขนแล้วพับศอกเข้าในท่าพนมมือ ผูกผ้าด้ายดิบที่ศอกและแขนทั้งสองข้าง อก และเอวตรึงกับหลักไม้ และผูกมือให้อยู่ในท่าพนมมือกำดอกไม้ธูปเทียน เมื่อพันธนาการผู้นั้นจนแน่นดีแล้วเจ้าหน้าที่กำหนดจุดยิงโดยใช้ชอล์กขีดบนเสื้อตำแหน่งที่ตรงหัวใจของผู้รับโทษจากข้างหลัง นำฉากกั้นที่ขึงผ้าวางระหว่างหลักประหารกับปืนให้ห่างจากหลักประหารประมาณ 1 ฟุตเพื่อบังไม่ให้เพชฌฆาตเห็นผู้ถูกยิง เลื่อนไม้เล็งที่ฉากให้เดือยไม้ด้านหนึ่งชี้จุดกำหนดยิง แล้วเลื่อนผ้าหรือเป้ากระดาษบนผ้าที่ขึงกับฉากจนเป้าเล็งตรงกับเดือยไม้นั้นแล้วเลื่อนไม้เล็งออกไป โรยทรายแห้งรอบหลักประหารเพื่อซับเลือด จากนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนจะปล่อยให้ผู้รับโทษอยู่กับหลัก[note 12] พลเล็งปืนเข้าบรรจุกระสุนและปรับทางปืนที่ติดตั้งบนแท่นปืนให้ศูนย์ปืนเล็งไปที่เป้า แล้วถอยให้เพชฌฆาตเข้าประจำปืนเพื่อตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้งแล้วปลดห้ามไกปืน เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่หัวหน้าชุดประหารชีวิตโบกธงสีแดงลงเพื่อให้สัญญาณ เพชฌฆาตลั่นไกปืนยิงกระสุนชุดแรกประมาณ 8 — 9 นัด สิ้นเสียงปืนแล้วสังเกตอาการผู้ถูกยิง หากพบว่ายังมีชีวิตและคาดว่าจะไม่ถึงแก่ความตายโดยง่าย เช่น ร้องโอดครวญ สะบัดตัว เพชฌฆาตจะยิงกระสุนอีกชุด เมื่อเห็นว่าไม่ต้องยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่พร้อมแพทย์และพยานจะเข้าตรวจสอบผู้ถูกยิงหลังจากนั้นประมาณ 3 นาทีเพื่อยืนยันการตาย แล้วนำร่างลงจากหลักอย่างระมัดระวังในลักษณะนอนคว่ำ เจ้าหน้าที่ทะเบียนประวัติและตำรวจพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบบุคคลอีกครั้งเพื่อยืนยันการประหารชีวิต[note 13] เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วจะเก็บรักษาศพไว้ตามที่ระเบียบกำหนด (ส่วนมากจะเก็บศพไว้ 1 คืน) วันต่อมาให้ผู้ต้องขังชั้นเยี่ยมที่สมัครใจเข้าเปิดล้างห้องประหาร ตัดโซ่ตรวนออกจากขาศพ อาบน้ำและแต่งตัวศพ แล้วบรรจุร่างลงหีบศพ เขียนชื่อและเลขประจำตัวผู้ต้องโทษไว้ที่ผนังหีบฝั่งหัว แล้วลำเลียงหีบนั้นออกทางประตูนำศพออกที่เชื่อมกับวัดบางแพรกใต้[14] ทั้งนี้ ในกรณีที่ประหารชีวิตในท้องที่ที่เกิดเหตุด้วยทหารหรือตำรวจจะมีขั้นตอนที่เปลี่ยนไป เช่น ใช้ผู้ยิงมากกว่า 1 คน มัดผู้รับโทษให้หันหน้าเข้าหาปืน หันหลังติดหลัก ผูกผ้าปิดปากผู้ต้องโทษ ใช้พื้นที่โล่งแจ้งเป็นลานประหาร อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปร่วมสังเกตการณ์และรับฟังคำสั่งให้ประหารชีวิตก่อนยิง ปืนที่ใช้สำหรับประหารชีวิตกรมราชทัณฑ์ใช้ปืนกลมือเบิร์กมันน์ เอ็มเพ 18 ตั้งแต่การประหารชีวิตครั้งแรกในปี พ.ศ. 2478 และเปลี่ยนเป็นปืนกลมือเฮคแลร์อุนด์คอค เอ็มเพ5 ในปี พ.ศ. 2527[9] อุปกรณ์อื่นที่ใช้ในการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า
เพชฌฆาตด้วยการยิงเป้าในการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า กรมราชทัณฑ์จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ยิงขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ โดยมีผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้มาแล้ว 11 คน ดังมีรายชื่อต่อไปนี้[15]
จำนวนผู้ที่รับโทษนับตั้งแต่การเปลี่ยนการประหารจากการตัดคอมาเป็นการยิงเป้าในปี พ.ศ. 2478 จนถึง พ.ศ. 2546 มีนักโทษถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า 319 คน เป็นชาย 316 คน หญิง 3 คน[note 2][17] ผู้ที่รับโทษยิงเป้าที่มีความโดดเด่น
การประหารชีวิตด้วยการฉีดยาในปี พ.ศ. 2546 มีการแก้ประมวลกฎหมายอาญาให้เปลี่ยนวิธีการประหารชีวิตจากการยิงด้วยปืนเป็นการฉีดยาตายและงดเว้นโทษประหารและชีวิตและจำคุกตลอดชีวิตแก่ผู้ที่กระทำผิดขณะอายุต่ำกว่า 18 ปี[13] ขั้นตอนการประหารชีวิต
ขั้นตอนการดำเนินการมีกระบวนการที่คล้ายกัน แต่มีการปรับเปลี่ยนสถานที่และวิธีการให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ ดังนี้[18] เมื่อเรือนจำกลางบางขวางในฐานะหน่วยงานของกรมราชทัณฑ์ที่ดำเนินการประหารชีวิตได้รับคำสั่งให้ประหารชีวิตผู้ใด[note 7] เรือนจำจะมอบหมายให้ฝ่ายทะเบียนประวัติตรวจสอบชื่อผู้ที่จะถูกประหารชีวิตกับแฟ้มข้อมูลที่เก็บรักษาไว้เพื่อตรวจพิสูจน์บุคคล จากนั้นเรือนจำแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในเรือนจำขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบหัวหน้าชุด เจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องโทษ (พี่เลี้ยง) เจ้าหน้าที่บันทึกภาพ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทัณฑปฏิบัติ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รับยาและสารพิษ และเจ้าหน้าที่ฉีดยาและสารพิษ เพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่ดำเนินการเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์และสถานที่ พร้อมทั้งเชิญกรรมการพยาน ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรืออัยการจังหวัด อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ ผู้กำกับการตำรวจในพื้นที่ และเชิญเจ้าหน้าที่จากกองทะเบียนประวัติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อร่วมตรวจพิสูจน์บุคคลผู้ต้องโทษ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดเบิกยาและสารพิษพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปรับยาและสารพิษที่สถานพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ โดยจะต้องปกปิดคำสั่งและการปฏิบัติงานเป็นความลับไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องทราบก่อนเพื่อป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ อาจจะนิมนต์พระสงฆ์หรือเชิญผู้นำทางศาสนามาช่วยประกอบศาสนพิธีด้วยก็ได้ เมื่อถึงเวลาดำเนินการ พี่เลี้ยงพร้อมเจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเบิกตัวผู้รับโทษจากห้องขังไปยังสถานที่ธุรการเพื่อตรวจสอบประวัติ ตำหนิแผลเป็น และพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบบุคคลระหว่างผู้ถูกเบิกตัวกับทะเบียนประวัติที่เรือนจำกับทะเบียนประวัติของตำรวจ เมื่อพิสูจน์ได้ว่าตรงกัน เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ผู้ต้องโทษโทรศัพท์ติดต่อญาติ เขียนจดหมายหรือทำพินัยกรรมได้ตามความต้องการ พร้อมขอช่องทางการติดต่อญาติผู้ต้องโทษเพื่อประสานงานภายหลังการประหารชีวิต เมื่อเสร็จการแล้วเจ้าหน้าที่อาวุโสอ่านคำสั่งประหารชีวิต นักโทษลงนามหรือพิมพ์ลายนิ้วมือรับทราบคำสั่งนั้น แล้วนำตัวไปยังอาคารประหารชีวิตแบบฉีดสารพิษเพื่อเตรียมการในขั้นตอนต่อไป เมื่อผู้รับโทษเข้าอาคารประหารชีวิตแล้ว พี่เลี้ยงจะนำตัวเข้าห้องย่อยรายคนโดยมีพี่เลี้ยงเข้าไปในห้องดังกล่าวด้วย ภายในห้องย่อยดังกล่าวเข้าได้ทางเดียว ผนังฝั่งตรงข้ามมีช่องหน้าต่างติดลูกกรงไปยังห้องประกอบศาสนพิธี โดยห้องย่อยดังกล่าวเรือนจำจัดอาหารมื้อสุดท้ายไว้ให้ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วนักโทษจะฟังเทศนาจากพระสงฆ์ที่ประทับในห้องประกอบศาสนพิธี หากเป็นมุสลิมเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ละหมาด เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนาแล้วจะปิดตาด้วยผ้าปิดตาสำหรับนอนและเบิกนำตัวผู้รับโทษไปยังห้องฉีดสารพิษครั้งละ 2 คน ตามจำนวนเตียงที่มี ผู้รับโทษนอนบนเตียงและกางแขนตามรูปเตียงที่มีกางเขนออกมาจากตัวเตียงแล้วพันทนาการร่างกับเตียงด้วยเข็มขัดที่หน้าผาก อก ท้อง มือ ต้นแขน ขาและข้อเท้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมจะหาหลอดเลือดดำบนแขนแล้วแทงเข็มที่ต่อกับถุงสารน้ำและเครื่องฉีดยาหรือหลอดฉีดยาที่บรรจุสารพิษไว้ โดยเปิดให้สารพิษเข้าตัวผู้รับโทษก่อน และติดตั้งเครื่องตรวจวัดชีพจรผู้รับโทษแล้วหันหน้าจอแสดงผลให้สักขีพยานเห็น เมื่อหัวหน้าเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณเริ่มการประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ฉีดสารพิษที่คอยอีกห้องหนึ่งจะปิดท่อให้สารน้ำและเปิดท่อให้สารพิษแก่ผู้รับโทษ โดยฉีดสารทีละชนิดและเปิดสัญญาณไฟให้สักขีพยานทราบว่ากำลังฉีดสารใด ตามลำดับ ดังนี้
เมื่อฉีดสารลำดับสุดท้าย สัญญาณชีพจรจะค่อย ๆ ลดลงจนหยุดไป เจ้าหน้าที่จะปล่อยร่างไว้อย่างน้อย 5 — 10 นาที แล้วเชิญแพทย์ตรวจสอบการตาย จากนั้นเจ้าหน้าที่นำร่างบรรจุบนถาดอลูมิเนียม เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือทั้งฝ่ายเรือนจำหรือฝ่ายตำรวจพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบบุคคล แล้วบรรจุร่างพร้อมถาดในซองเก็บศพอุณหภูมิเย็นจัดไว้อย่างน้อย 12 ชั่วโมง จากนั้นเชิญผู้บัญชาการเรือนจำและแพทย์ที่รับราชการร่วมกันยืนยันความตาย นักโทษชั้นดีขึ้นไปที่อาสานำร่างดังกล่าวถอดตรวน อาบน้ำและแต่งตัวศพใหม่ มัดตราสังข์แล้วบรรจุหีบศพแล้วนำศพออกจากเรือนจำเพื่อมอบให้ญาติ หรือจัดการศพตามสมควรหากไม่มีผู้ใดมารับร่างไป[14] สารที่ใช้ในการประหารชีวิตกรมราชทัณฑ์กำหนดให้ใช้สารในการประหารชีวิต ดังนี้[20]
เจ้าหน้าที่ฉีดสารพิษแม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะมิได้เปิดเผยรายชื่อผู้ทำหน้าที่ดังกล่าว แต่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในฐานะผู้ฉีดยา ดังนี้ จำนวนผู้ที่รับโทษนับตั้งแต่การเปลี่ยนการประหารชีวิตจากการยิงเป้าเป็นการฉีดยาในปี พ.ศ. 2546 มีนักโทษถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาตาย 7 คน ในจำนวนนี้เป็นชายทั้งหมด ขั้นตอนการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องภายหลังการพิพากษาให้ประหารชีวิตเมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ประหารชีวิตแล้วส่งตัวผู้ต้องโทษนั้นเข้าคุมขังในเรือนจำแล้ว ให้เจ้าหน้าที่เรือนจำที่คุมขังทำแฟ้มภาพนักโทษ 6 ชุด แต่ละชุดมีรูปถ่ายหน้าตรงและด้านข้าง ชื่อ ฐานความผิด หมายเลขคดีแดง ชื่อศาลที่พิพากษา และวันที่บันทึกภาพ พร้อมลงนามรับรองบนรูป และพิมพ์ลายนิ้วมือนักโทษไว้ 3 ชุด แล้วส่งเอกสารไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้
หากคดีเป็นอันถึงที่สุดแล้วก็ให้ดำเนินการเช่นเดียวกัน โดยระบุตำหนิรูปพรรณ วันพิพากษาและชั้นศาลที่สิ้นสุดคดี แต่ส่งให้กรมราชทัณฑ์ไปตรวจสอบกับแฟ้มประวัติก่อนหน้าแทนการส่งไปเก็บรักษา เมื่อแต่ละหน่วยงานได้ตรวจสอบแล้วให้แจ้งผลการตรวจสอบให้กรมราชทัณฑ์ทราบ นอกจากนี้ให้ตรวจสุขภาพจิตและการตั้งครรภ์ พร้อมทั้งแจ้งสิทธิการขอพระราชทานอภัยโทษให้ทราบ หากผู้ต้องโทษประสงค์จะใช้สิทธินั้นให้เรือนจำช่วยดำเนินการ แล้วแจ้งการใช้หรือไม่ใช้สิทธิให้กรมราชทัณฑ์โดยด่วน[18] ภายหลังการประหารชีวิตภายหลังการดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติเสร็จสิ้นแล้ว หากญาติมาติดต่อเรือนจำจะมอบร่างนั้นไปบำเพ็ญกุศลและปลงศพ หากไม่มีผู้ใดมารับศพหรือติดต่อญาติไม่ได้ในวันถัดไปหรือหลังระยะเวลาที่กำหนดจะนำร่างนั้นเก็บไว้ที่สุสานเพื่อรอญาติมาติดต่อรับ (กรณีที่ประหารในเรือนจำกลางบางขวาง จะนำศพออกทางประตูนำศพออกที่เชื่อมระหว่างเรือนจำกับวัดบางแพรกใต้ แล้วนำศพบรรจุในช่องเก็บศพที่สร้างเฉพาะผู้ต้องโทษประหารชีวิตในวัดบางแพรกใต้) แจ้งผลการประหารชีวิตและผลการตรวจสอบความตายให้กระทรวงยุติธรรมทราบ และแจ้งการตายต่อเจ้าพนักงานปกครองออกมรณบัตร หากล่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วไม่มีผู้ใดมารับศพไป กรมราชทัณฑ์จะนำศพนั้นไปบำเพ็ญกุศลและปลงศพตามประเพณี[14] เช่น ซีอุยที่กรมราชทัณฑ์ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลได้นำร่างไปบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจในปี พ.ศ. 2563[24] ประตูนำศพออกของเรือนจำกลางบางขวางมักเรียกว่าประตูแดง เนื่องจากทาสีแดงตัดกับรั้วเรือนจำที่ทาสีขาว หรือประตูผี เนื่องจากประตูนี้ไม่เปิดใช้ในสถานการณ์อื่นนอกจากการนำศพผู้ต้องโทษประหารชีวิตออกมาจากเรือนจำ ประตูนี้เปิดครั้งล่าสุดในการประหารชีวิตบัณฑิต เจริญวานิชและจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์เมื่อ พ.ศ. 2552[25] เชิงอรรถ
ดูเพิ่มวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ โทษประหารชีวิตในประเทศไทย อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|