Share to:

 

เวอร์ชวลบอย

เครื่องเล่น เวอร์ชวลบอย

เวอร์ชวลบอย เป็นเครื่องเล่นเกม 3 มิติที่นินเทนโดผลิตออกมาวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ผู้เล่นต้องมองผ่านดิสเพลย์ที่มีรูปร่างเหมือนแว่นซึ่งตั้งบนขาวาง โดยภาพของเกมจะเป็นภาพ 3 มิติ โดยการหลอกสายตาให้มองเห็นภาพ 2 มิติดูมีมิติแบบภาพ 3 มิติ ออกวางขายครั้งแรกในญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1995 เครื่องเวอร์ชวลบอยถูกวิจารณ์ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของนินเทนโดในวงการอุตสาหกรรมเกม

ประวัติและการพัฒนา

ช่วงหลังยุคเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม นินเทนโดต้องการสานต่อความสำเร็จของเครื่องเกมพกพาของตนที่ชื่อ "เกมบอย" ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม นินเทนโดมองว่าภาพของเครื่องเกมบอยที่เป็นภาพขาวดำความละเอียดต่ำนั้นล้าสมัยไปแล้ว จึงมีความต้องการจะพัฒนาเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่มาแทนที่

นินเทนโดได้มอบหมายให้ กุนเป โยโคอิ นักพัฒนาเกมผู้มีชื่อเสียงผู้ให้กำเนิดเครื่องเกมพกพาที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง "เกม แอนด์ วอช" และ "เกมบอย" และผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์ "เมทรอยด์" เป็นผู้พัฒนาเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่นี้ โยโคอิได้พัฒนาเครื่องเกมที่อาศัยหลักการมองภาพ 3 มิติของดวงตา โดยผู้เล่นจะต้องมองเข้าไปในกล้องเหมือนสวมแว่นประดาน้ำ และในเครื่องจะมีหน้าจอ 2 ชุดสำหรับดวงตาซ้ายและขวา ภาพจากจอทั้ง 2 จะถูกมองแยกต่างหากจากดวงตาแต่ละข้าง ผลที่ได้คือเกิดภาพลวงตาที่ทำให้ดูเหมือนภาพมีมิติแบบภาพ 3 มิติ

อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยการพัฒนากินเวลามากเกินไป และนินเทนโดต้องการรีบหันไปให้ความสนใจกับการพัฒนาเครื่องนินเทนโด 64 มากกว่า เครื่องเวอร์ชวลบอยจึงออกวางจำหน่ายทั้งๆที่โยโคอิยังพัฒนามันไม่เสร็จสมบูรณ์ ผลที่ได้คือเครื่องที่มีขนาดเทอะทะ มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นเครื่องเกมพกพา หนำซ้ำเวลาเล่นต้องหาพื้นที่วางเครื่องที่มั่นคง เพราะไม่มีอะไรตรึงตัวเครื่องติดไว้กับหัว ทำให้ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเป็นจำนวนมาก

คำวิจารณ์

เครื่องเวอร์ชวลบอยนั้นเป็นที่ผิดหวังของแฟนๆ นักเล่นเกมที่รอคอยเครื่องเกมนี้ตั้งแต่ครั้งที่นินเทนโดประกาศจะผลิตเครื่องเกม 3 มิติเป็นครั้งแรก และนินเทนโดยังโฆษณาประสิทธิภาพของเครื่องเอาไว้เกินความเป็นจริงเป็นอย่างมาก[1] เมื่อตัวเครื่องจริงออกมาไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ จึงสร้างความผิดหวังและมีคำวิจารณ์ในแง่ลบเป็นจำนวนมาก

ทางนินเทนโดกล่าวหาว่านายโยโคอิผู้ให้กำเนิดเครื่องเป็นต้นเหตุของความล้มเหลวครั้งใหญ่นี้ กล่าวกันว่าทางบริษัทเริ่มจะเหินห่างจากนายโยโคอิ[2] ภายหลังนายโยโคอิจึงลาออกจากบริษัทไปผลิตเกมให้บริษัทบันได เครื่องเวอร์ชวลบอยได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเป็นอย่างมาก ในปี 2007 นิตยสาร "PC World" จัดอันดับให้เครื่องเวอร์ชวลบอยอยู่ที่อันดับ 5 ในอันดับ "สินค้าเทคโนโลยีที่น่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์"[3]

ถึงแม้จะถูกจัดอันดับว่าเป็นเครื่องเกมที่มีคุณภาพแย่และถือเป็นความล้มเหลว ทำให้ผลิตออกมาเพียง 80,000 เครื่อง แต่ด้วยจำนวนที่น้อยและหายากนี้ ทำให้เครื่องเวอร์ชวลบอยกลายเป็นของสะสมหายากของบรรดาแฟนๆ นินเทนโด และสามารถขายได้ผ่านทางการประมูลในราคาแพง ในเมืองดูไบ มีการค้นพบเครื่องเวอร์ชวลบอย 100 เครื่องถูกเก็บลืมไว้ในลังไม้ที่เก็บไว้ในโกดัง เป็นเครื่องเวอร์ชวลบอยที่ขายไม่ออกและถูกเก็บลืมไว้ โดยที่เจ้าของคนปัจจุบันไม่รู้เลยว่ายังมีเครื่องพวกนี้อยู่ในโกดังจนกระทั่งถูกค้นพบในภายหลัง[4]

เกม

เครื่องเวอร์ชวลบอยถือเป็นหนึ่งในเครื่องเกมที่มีเกมน้อยที่สุด มีเกมออกมาเพียง 22 เกมเท่านั้น[5]

อ้างอิง

  1. http://register.nintendo.com/systemsclassic?type=vb
  2. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2004-04-04. สืบค้นเมื่อ 2009-02-22.
  3. http://www.pcworld.idg.com.au/article/195577/ugliest_products_tech_history?img=1226&ssid=1[ลิงก์เสีย]
  4. http://blog.wired.com/games/2008/09/lost-virtual-bo.html
  5. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-23. สืบค้นเมื่อ 2009-02-22.


Kembali kehalaman sebelumnya