แมคดอนเนลล์ดักลาส เอ็มดี-80
แมคดอนเนลล์ดักลาส เอ็มดี-80 ซีรีส์ (McDonnell Douglas MD-80 series) เป็นเครื่องบินเจ็ต แบบลำตัวแคบ มี 2 เครื่องยนต์ เครื่องบินรุ่นเอ็มดี-80 มีการปรับปรุงทำให้ความยาวของเครื่องเพิ่มขึ้นจากรุ่น แมคดอนเนลล์ ดักลาส ดีซี-9 สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 130–172 คน แต่โดยปกติในสายการบินราคาปกติจะรองรับผู้โดยสาร 140 คน และ 165 คนในสายการบินราคาประหยัด เอ็มดี-80 เปิดตัวเมื่อ ตุลาคม พ.ศ. 2523 โดยสายการบิน Swissair ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่องเป็นรุ่น เอ็มดี-90 ในปี พ.ศ. 2532 และ เอ็มดี-95 หรือ โบอิง 717 ในปี พ.ศ. 2541[1] การออกแบบและการพัฒนาเครื่องบินดักลาส พัฒนามาจากรุ่น ดีซี-9 ในทศวรรษ 1960s ซึ่งมีขนาดยาวกว่า ดีซี-8 โดย ดีซี-9 ได้มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหลังของลำตัวเครื่องบิน และหาง โดย ดีซี-9 มีลำตัวที่แคบ โดยมีที่นั่งผู้โดยสั่งฝั่งละ 5 ที่นั่ง และรองรับผู้โดยสารได้ 80–135 คน ขึ้นอยู่กับการจัดการที่นั่งของผู้โดยสารและเครื่องบินในแต่ละเวอร์ชัน รุ่น เอ็มดี-80 เป็นเครื่องบินรุ่นที่สองของ ดีซี-90 ชื่อเดิมของ เอ็มดี-80 มีชื่อเรียกว่า ดีซี-9-80 หรือ ดีซี-9 ซูปเปอร์ 80 และให้บริการในปี 1980 เอ็มดี-80 ที่พัฒนามาจาก เอ็มดี-90 ให้บริการในปี 1955 การพัฒนาเปลี่ยนแปลงครั้งสุดทายของตระกูล ดีซี-9 คือ เอ็มดี-95 และได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น โบอิ้ง 717-200 หลังจาก แมคคอนเนลล์ดักลาส ได้ขายกิจการใน โบอิ้ง ในปี 1997 ตระกูล ดีซี-9 เป็นหนึ่งในเครื่องบินเจ็ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยสร้างได้มากกว่า 2,400 ลำ เป็นอันดับที่สาม รองมาจาก ตระกูล แอร์บัส เอ-320 ลำดับที่สอง ซึ่งสร้างได้มากกว่า 3,000 ลำ และ โบอิ้ง 737 เป็นอันดับที่หนึ่ง ซึ่งสร้างได้มากกว่า 5,000 ลำ เอ็มดี-80 ซีรีส์เอ็มดี-80 ซีรีส์ เป็นเครื่องบินขนาดกลาง เปิดตัวในปี 1980 เป็นเครื่องบินรุ่นที่สองของ ตระกูล ดีซี-9 ซึ่งมีเครื่องยนต์ เทอร์โบแฟน ขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางตอนหลังของลำตัวเครื่องบิน มีปีกที่มีประสิทธิภาพสูง และมีหางอยู่ด้านบนในส่วนตอนหลัง (T-tail) เครื่องบินรุ่นนี้มีจุดเด่นคือ มีที่นั่งผู้โดยสารฝั่งละ 5 คน และทำให้ลำตัวเครื่องบินมีความยาวออกไปมากกว่า เอ็มดี-9-50 และสามารถ Take off ได้โดยขณะที่เครื่องบินมีน้ำหนักมาก และมีความสามารถในการบรรทุกน้ำมัน เครื่องบินรุ่นนี้ออกแบบมาสำหรับการใช้งานบ่อย ๆ การเดินทางหรือการขนส่งที่สั้น โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 130–172 คนต่อเที่ยวบิน ขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของเครื่องบินและการจัดการที่นั่งของแต่ละสายการบิน การพัฒนาเครื่องบินรุ่น เอ็มดี-80 เริ่มพัฒนาขึ้นในปี 1970 ขณะที่ยังมีการขยายตัวและเพิ่มขึ้นของเครื่องบินรุ่น ดีซี-9 ซีรีส์ 50 Pratt & Whitney JT8D เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องบินรุ่น ดีซี-9 ซีรีส์ 55 ซีรีส์ 50 และ ซีรีส์ 60 ในการออกแบบมีความพยายามที่จะติดตั้งให้กับเครื่องบินรุ่น ดีซี-9 ซีรีส์ 55 ในเดือน สิงหาคม 1977 และใช้งานได้จริงในปี 1980 จากการออกแบบในครั้งนี้ ทำให้สายการบินมีความต้องการเป็นจำนวนมาก ทำให้สายการบิน Swissair ได้ปล่อยเครื่องบิน ซีรีส์ 80 ออกมาในเดือน ตุลาคม 1977 และมีคำสั่งซื้อมากกว่า 15 ลำ ซีรีส์ 80 มีความยาวของลำตัวซึ่งยาวกว่า ดีซี-9-50 14 ฟุต 3 นิ้ว ปีกของ ดีซี-9 มีการออกแบบใหม่ โดยเพิ่มความยาวของปีกหลักและจุดปลายสุดของปีกอีก 28% ซีรีส์ 80 เริ่มบินครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1979 หลังจากให้บริการปี 1980 โดยเริ่มแรกมีการรับรองเครื่องบินเวอร์ชันของ ดีซี-9 แต่มีการเปลี่ยนเป็น เอ็มดี-80 ในเดือนกรกฎาคม 1983 ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท เวอร์ชันใหม่ของซีรีส์ 80 คือ เอ็มดี-81/82/83 และล่าสุดคือ เอ็มดี-87 อย่างไรก็ตาม ดีซี-90-81/82 และรุ่นอื่น ๆ ก็ได้รับใบรับรอง โดยเฉพาะ เอ็มดี-88 ได้มีการให้ใบรับรองชื่อว่า "เอ็มดี" และรวมถึง เอ็มดี-90 ด้วย ข้อมูลจำเพาะ
ที่มา: ข้อมูลอย่างเป็นทางการของ MD-80 [2] รายงานท่าอากาศยานสำหรับ MD-80 (Airport Report) [3] ข้อมูลจำเพาะของ MD-80[4] อ้างอิง
|