โรคคอตีบ
โรคคอตีบ (อังกฤษ: diphtheria) เป็นโรคติดเชื้ออย่างหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Corynebacterium diphtheriae[2] อาการมีได้หลากหลายตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง[1] ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-5 วัน[2] ในช่วงแรกมักมีอาการเจ็บคอและมีไข้[1] หากเป็นรุนแรงผู้ป่วยจะมีแผ่นเนื้อเยื่อสีขาวหรือสีเทาที่คอหอย[2][1] ซึ่งอาจอุดกั้นทางหายใจและทำให้เกิดอาการไอเสียงก้องเหมือนในโรคกล่องเสียงอักเสบ (ครุป) ได้[1] อาจมีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต ทำให้มีคอบวม[2] เชื้อนี้นอกจากทำให้มีอาการที่คอแล้วยังทำให้มีอาการที่ระบบอื่น เช่น ผิวหนัง ตา หรืออวัยวะเพศ ได้อีกด้วย[2][1] ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ ไตอักเสบ เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น[2] เชื้อคอตีบสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสโดยตรง ผ่านวัตถุที่เปื้อนเชื้อ หรือผ่านอากาศ[2][5][2] ผู้รับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการ แต่มีเชื้อในร่างกาย และสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้[2] เชื้อ C. diphtheriae มีชนิดย่อยอยู่ 3 ชนิด แต่ละชนิดอาจทำให้มีอาการรุนแรงแตกต่างกัน[2] อาการของโรคส่วนใหญ่เกิดจากพิษที่สร้างโดยเชื้อนี้ การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจร่างกายดูลักษณะของคอหอยของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจยืนยันด้วยการเพาะเชื้อ[1] การหายจากเชื้อนี้จะไม่ได้ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อครั้งถัดไป[1] วัคซีนโรคคอตีบเป็นวิธีป้องกันโรคนี้ที่ได้ผลดี และมีให้ใช้ในหลายรูปแบบ[2] ส่วนใหญ่แนะนำให้เด็กทั่วไปได้รับวัคซีนนี้ร่วมกับวัคซีนโรคบาดทะยักและไอกรน 3-4 ครั้ง[2] หลังจากนั้นควรได้รับวัคซีนคอตีบและบาดทะยักร่วมกันทุก ๆ 10 ปี[2] สามารถตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในเลือดเพื่อยืนยันการมีภูมิคุ้มกันได้[2] การรักษาทำได้โดยให้ยาปฏิชีวนะเช่นอีริโทรมัยซิน หรือเบนซิลเพนิซิลลิน[2] ยาปฏิชีวนะเหล่านี้นอกจากใช้รักษาโรคแล้วยังใช้ป้องกันการเกิดโรคในผู้ที่สงสัยว่าจะได้รับเชื้อได้ด้วย[2] ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงบางรายอาจมีทางเดินหายใจอุดกั้นรุนแรงจนต้องรับการรักษาด้วยการเจาะคอ[1] ในปี ค.ศ. 2015 มีรายงานผู้ป่วยโรคคอตีบทั่วโลกรวมกัน 4,500 ราย ลดลงจากสถิติปี ค.ศ. 1980 ที่จำนวน 100,000 ราย[3] ก่อนปี 1980 เชื่อว่าแต่ละปีอาจมีผู้ป่วยถึงหนึ่งล้านรายทั่วโลก[1] ปัจจุบันโรคนี้ยังพบได้ในแอฟริกาใต้สะฮารา ประเทศอินเดีย และประเทศอินโดนีเซีย[1][6] จำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2015 อยู่ที่ 2,100 ราย ลดลงจากสถิติทศวรรษ 1980 ที่ 8,000 ราย[4][7] ในพื้นที่ที่ยังมีการระบาดจะพบผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเด็ก[1] โรคนี้พบได้น้อยในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเนื่องจากมีการให้วัคซีนกันอย่างกว้างขวาง[1] เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปี 2004 มีผู้ป่วยรวมกันเพียง 57 ราย[2] ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิต 5-10%[2] โรคนี้ได้รับการบรรยายไว้ครั้งแรกตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยฮิปโปคราเตส[2] ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคถูกค้นพบเมื่อปี 1882 โดยเอดวิน เคลบส์[2] อาการและอาการแสดงผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการของโรคคอตีบหลังจากได้รับเชื้อมาประมาณ 2-7 วัน อาการเหล่านี้ ได้แก่ ไข้สูง (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) หนาวสั่น อ่อนเพลีย ผิวหนังเขียว (cyanosis) เจ็บคอ เสียงแหบ ไอ ปวดศีรษะ กลืนลำบาก กลืนแล้วเจ็บ หายใจลำบาก หายใจเร็ว น้ำมูกมีกลิ่นเหม็นหรือมีเลือดปน และมีต่อมน้ำเหลืองโต[8][9] พิษของเชื้ออาจทำลายเนื้อเยื่อของระบบหายใจได้ภายใน 2-3 วัน เนื้อเยื่อที่ตายแล้วเหล่านี้จะหลุดลอกออกมา กลายเป็นแผ่นเนื้อเยื่อหนาสีขาวหรือสีเทา เรียกว่า ซูโดเมมเบรน (อังกฤษ: pseudomembrane, "แผ่นเยื่อเทียม") และสามารถสะสมจนอุดตันช่องจมูก คอหอย หรือหลอดลมได้ ทำให้เกิดอาการหายใจลำบากและกลืนลำบาก[10] เป็นที่มาของชื่อโรค "คอตีบ" อาการอื่น ๆ ที่พบได้เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เส้นประสาทอักเสบและเป็นอัมพาต เป็นต้น สรุปจากโรคคอตีบการเกิดโรคคอตีบที่กล่องเสียงอาจทำให้มีอาการคอบวมได้ ผู้ป่วยจะมีอาการไอเสียงก้องคล้ายเสียงสุนัขเห่า หายใจมีเสียงดัง เสียงแหบ หายใจลำบาก ภาวะนี้แต่เดิมเรียกว่าครุป[11][12][13][14] ปัจจุบันครุปจากโรคคอตีบพบได้น้อยมาก เนื่องจากมีการให้วัคซีนโรคคอตีบอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันคำว่าครุปจึงมักหมายถึงภาวะครุปจากเชื้อไวรัส ซึ่งทำให้มีอาการคล้ายคลึงกันแต่อาจไม่รุนแรงเท่าครุปจากโรคคอตีบ[15] การแพร่เชื้อเชื้อโรคคอตีบติดต่อจากคนสู่คนผ่านอากาศที่มีเชื้อซึ่งออกมาจากการไอหรือจามของผู้ป่วย เมื่อคนทั่วไปหายใจเอาอากาศที่มีละอองเชื้อนี้เข้าไปก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้[16] การสัมผัสรอยโรคบนผิวหนังของผู้ป่วยก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งของการรับเชื้อ แต่พบได้น้อยกว่า[17] การติดเชื้อทางอ้อมอาจเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้ป่วยไปสัมผัสพื้นผิวหรือวัตถุ แล้วเชื้อแบคทีเรียเกิดตกค้างอยู่บนพื้นผิวนั้น แล้วมีคนมาสัมผัสต่อ หลักฐานบางแหล่งสนับสนุนว่าเชื้อแบคทีเรียอาจติดต่อไปยังสัตว์และติดต่อกลับมายังคนได้ เนื่องจากพบว่ามีเชื้อ Corynebacterium ulcerans ในสัตว์บางชนิด[18] แต่สมมติฐานนี้ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน การวินิจฉัยการวินิจฉัยโรคคอตีบในปัจจุบันอาศัยนิยามทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยที่กำหนดโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของประเทศสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี) ซึ่งนิยามนี้อาศัยเกณฑ์ผสมผสานทั้งอาการทางคลินิกและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ นิยามจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
นิยามจากอาการทางคลินิก
การจำแนกกรณีผู้ป่วย
การรักษาโรคนี้โดยส่วนใหญ่ถือว่าเป็นโรคที่รักษาได้ แต่ในบางรายที่มีอาการรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองที่คออาจโตมาก จนทำให้หายใจลำบากและกลืนลำบาก จะรักษาค่อนข้างยาก ผู้ป่วยในระยะนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยอาจจำเป็นต้องได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือการเจาะคอเพื่อเปิดทางหายใจ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดเส้นประสาทอักเสบในบางตำแหน่ง ทำให้กล้ามเนื้อบางมัด เช่น กล้ามเนื้อตา คอ คอหอย หรือกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจเป็นอัมพาตได้ ผู้ป่วยอาการรุนแรงเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) และต้องได้รับสารต้านพิษคอตีบ (diphtheria antitoxin) อย่างไรก็ดีสารต้านพิษเหล่านี้ไม่สามารถไปต้านพิษที่จับกับเนื้อเยื่อไปแล้วได้ จึงจำเป็นต้องให้โดยเร็วที่สุด หากให้ช้าผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น ดังนั้นการตัดสินใจเพื่อให้สารต้านพิษนี้ต้องตัดสินใจจากอาการแสดงทางคลินิก โดยไม่รอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งมักใช้เวลานาน ยาปฏิชีวนะมักไม่ช่วยทำให้รอยโรคติดเชื้อหายเร็วขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารต้านพิษแล้ว แต่จะมีบทบาทมากในผู้ที่เป็นพาหะ (ผู้ที่ไม่มีอาการ แต่มีเชื้อและสามารถแพร่ให้คนอื่นได้) เพื่อกำจัดเชื้อให้หมดไปไม่ให้แพร่เชื้อต่อได้ อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|