กองทัพพายัพ
กองทัพพายัพ เป็นกองกำลังของกองทัพไทยซึ่งเคลื่อนพลเข้าตีรัฐฉานของพม่าเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ระหว่างการทัพพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ประวัติระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ประเทศไทยได้ทำข้อตกลงลับกับประเทศญี่ปุ่นหนึ่งข้อ คือจะให้ไทยบุกขึ้นไปยึดพื้นที่ของรัฐฉานของพม่าเพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย และช่วยเป็นปีกขวาให้กับกองทัพญี่ปุ่นระหว่างการบุกพม่า ประเทศไทยจึงได้ก่อตั้งกองทัพพายัพขึ้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ประกอบด้วยกำลังพลประมาณ 35,000 นายจากพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลาง เพื่อรุกจากพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงรายไปยังเมืองเชียงตุงและเมืองในพื้นที่ของรัฐฉานจรดกับพรมแดนประเทศจีน[1] ไทยได้เคลื่อนกำลังจำนวน 3 กองพลโดยมีจุดนัดพบคือเมืองเชียงตุง ซึ่งเวลานั้นอังกฤษได้ถอนกำลังออกไปและส่งมอบให้กองทัพจีนเข้ามาตั้งรับแทน เส้นทางการเคลื่อนพลเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย เนื่องจากภูมิประเทศที่กลายเป็นดินโคลนจากฤดูฝน ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า รวมถึงการระเบิดภูเขาเพื่อปิดช่องทางการเคลื่อนพลของฝ่ายตรงข้าม และโรคภัยไข้เจ็บระหว่างการเคลื่อนพลคือไข้ป่า เวชภัณฑ์ที่มีก็เพียงแค่ยาควินินเม็ด การส่งกำลังบำรุงประสบปัญหาทำให้ขาดเสบียง ทำให้กำลังพลต้องหาของป่าเพื่อประทังชีวิตระหว่างเคลื่อนพลไป[1] ในที่สุดทั้ง 3 กองพลของไทยได้เคลื่อนกำลังไปจนถึงเมืองเชียงตุง โดยกองพลแรกที่ไปถึงคือ กองพลที่ 3 ภายใต้การบังคับบัญชาของ พลตรีหลวงชำนาญยุทธศาสตร์ (ผิน ชุณหะวัณ) สามารถเข้าตีและยึดป้อมปืนที่ใช้ในการป้องกันเมืองได้โดยปฏิบัติการร่วมกับอากาศยาน 10 ลำจากกองบินน้อยลำปางที่ช่วยทิ้งระเบิดเพื่อเปิดทาง[1] หลังจากเคลื่อนพลมาครบทั้ง 3 กองพลแล้ว กองพลที่ 3 ได้รับมอบหมายให้เข้าครองเมืองเชียงตุง และได้มอบหมายให้กองพลอีก 2 กองพลรุกขึ้นไปต่อจนประชิดกับเขตแดนประเทศจีน และยึดครองพื้นที่รัฐฉานได้ทั้งหมด และถอนกำลังกลับมายังที่ตั้งคือลำปางและเชียงราย[1] รัฐบาลไทยได้สถาปนารัฐฉานหรือสหรัฐไทยใหญ่เป็น สหรัฐไทยเดิม และแต่งตั้งให้ พลตรีผิน ชุณหะวัณ เป็นข้าหลวงประจำอยู่ และเลื่อนยศให้เป็นพลโท ซึ่งไทยได้ฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองที่เสียหายจากสงคราม จัดระเบียบการปกครอง ตั้งศาลขึ้นมาจำนวน 3 แห่ง ณ เมืองเชียงตุง เมืองสาด และเมืองหาง และให้ตำรวจสนามคอยรักษาความสงบเรียบร้อย[1] ในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2486 จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้ลงนามร่วมกับเอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงเทพมหานคร เพื่อยอมรับการรวมสหรัฐไทยเดิมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย พร้อมกันกับ กลันตัน ตรังกานู เคด้า ปะลิส และเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ในปกครองของแต่ละรัฐข้างต้น ซึ่งจอมพล โตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เดินทางมาร่วมพิธีด้วยตนเองที่ทำเนียบรัฐบาลไทย ทำให้เวลานั้นไทยได้ดินแดนที่เคยเสียไปในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 คืนกลับมาทั้งหมด หลังจากสงครามสิ้นสุดจากการยอมแพ้ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ส่งผลให้ไทยในขณะนั้นรีบเร่งในการประกาศสันติภาพ ส่งผลให้ดินแดนที่ได้คืนมาทั้งหมดต้องถูกส่งคืนกลับไปยังเจ้าอาณานิคมเดิม คืออังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้กระทรวงกลาโหมต้องดำเนินการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ต่าง ๆ รวมไปถึงสหรัฐไทยเดิมที่กองทัพพายัพวางกำลังไว้อยู่ โดยมีการกำหนดตารางสำหรับขนย้ายกำลังพลเพื่อถอนกำลังออกมาทางรถไฟ แต่ในเวลานั้นอังกฤษต้องการใช้รถไฟทุกขบวน และยานพาหนะทุกประเภทเพื่อขนย้ายเชลยศึกชาวญี่ปุ่นออกมาก่อน[1] เดินนับไม้หมอนรถไฟมีการปลดกลางอากาศของกำลังพลในกองทัพพายัพ ทั้งระดับพลทหารไปจนถึงนายทหาร โดยไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน หรือค่าพาหนะในการเดินทางใด ๆ[1] ส่งผลให้กำลังพลในพื้นที่ที่ต้องถอนกำลังกลับมาบางส่วนจำเป็นต้องเดินเท้าตามเส้นทางรถไฟเพื่อกลับไปยังต้นสังกัดหรือภูมิลำเนา[2] เนื่องจากขบวนรถไฟของไทยถูกนำไปใช้ในการขนส่งเชลยศึกชาวญี่ปุ่น ทำให้กำลังพลต้องเดินเท้าตามทางรถไฟจากเชียงตุงมารอรถไฟต่อที่ลำปาง[1] แต่หลังจากนั้นกลับไม่มีขบวนรถไฟ รวมถึงเส้นทางรถไฟต่าง ๆ ถูกระเบิดทำลายสะพานทำให้ไม่สามารถใช้การได้ ถึงแม้ในตัวเมืองลำปางจะมีค่ายทหารที่สามารถไปพักแรมได้ แต่กำลังพลส่วนใหญ่ต้องการกลับไปยังภูมิลำเนา จึงเลือกที่จะเดินกลับลงมาตามทางรถไฟแม้จะใช้เวลานานเป็นเดือน ประทังชีวิตด้วยการขออาหารจากชาวบ้านตามแนวทางรถไฟกิน บางส่วนก็เสียชีวิตก่อนจะถึงที่หมาย จึงทำให้เกิดวลีว่า เดินนับไม้หมอน[1] ขณะที่กำลังพลบางส่วนที่ตัดสินใจปักหลักอยู่ที่ลำปาง ก็หางานและอาชีพทำให้พื้นที่นั้น รวมไปถึงทหารบางส่วนที่ปักหลักอยู่ที่เมืองเชียงตุงและสร้างครอบครัวอยู่กับประชาชนในพื้นที่นั้น[1] หลวงกาจสงคราม ได้บรรยายถึงความรู้สึกของเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเต็มไปด้วยความโหดร้ายและทารุณ เนื่องจากการปลดกลางอากาศระหว่างกำลังนำกำลังพลเดินทางบนทางหลวงระหว่างลำปางและเชียงราย ทหารบางนายถูกสังหารจากการปล้นบนรถเมล์ระหว่างเดินทางกลับ บางนายได้รับบาดเจ็บระหว่างทางและมาเสียชีวิตที่กรุงเทพมหานคร เป็นการถอนทัพออกมาอย่างไม่ดีนัก ขณะที่ประชาชนบางส่วนมองทหารไทยในสถานะที่ไม่ต่างกันกับทหารญี่ปุ่นที่ตกเป็นเชลยศึกหลังจากสงครามสิ้นสุด สภาพทหารไทยในเวลานั้นสวมเสื้อและนุ่งกางเกงที่ขาดรุ่งริ่งกลับมายังที่ตั้งเดิมของหน่วยตนเอง แต่ไม่สามารถเบิกเงินเดือนหรือเบี้ยเลี้ยงได้ เนื่องจากรัฐบาลขณะนั้นไม่มีเงินจ่าย ทำให้กองทหารต่าง ๆ ต่างมีสภาพเหมือนแค่ในนาม แต่ไม่สามารถปกครองหรือดูแลกำลังพลของตนได้[2] ผลสืบเนื่องขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลในเวลานั้นทอดทิ้งทหารไทย หรือ ลอยแพ แต่เนื่องจากในเวลานั้นสถานภาพทางการเงินของไทยอยู่ในขั้นถดถอยที่สุด เนื่องจากต้องดูแลทหารของสหประชาชาติที่เข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ดูแลทหารเชลยศึกชาวญี่ปุ่น และดูแลคนงานที่ญี่ปุ่นเกณฑ์มาใช้แรงงานจากประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยขณะนั้นตกต่ำถึงขีดสุด จาก 11 บาทต่อ 1 ปอนด์ กลายเป็น 80 บาทต่อ 1 ปอนด์ ส่งผลให้ไม่มีเงินในการจ่ายเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และเงินต่าง ๆ ให้กับทหารที่ถูกปลดกลางอากาศ[1] บางข้อมูลระบุว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาดูแลประเทศหลังสงครามสิ้นสุดนั้นต้องการที่จะเอาในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมที่ปกครองรัฐฉานในพม่าซึ่งถูกไทยยึดครอง และยังเป็นตัวแทนของสัมพันธมิตรในการดูแลพื้นที่ ได้พยายามพลิกสถานะของไทยให้ตกไปเป็นผู้แพ้สงคราม ทำให้รัฐบาลได้แสดงท่าทีว่าไม่ได้เห็นด้วยกับการนำกำลังไปยึดรัฐฉานในปกครองของอังกฤษ ทำให้ไทยต้องรีบปลดทหารทั้งหมด และทำให้กองทัพพายัพกลายเป็นจำเลยรับผิดไป[1] สืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว กองทัพบกไทยได้ถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามโดยบุคคลในเสรีไทยบางคน เนื่องจากมองว่าทหารบกเป็นเครื่องมือของเผด็จการในช่วงเวลาที่ผ่านมา และบางส่วนได้วิพากษ์ว่ากองทัพบกได้ก่อตั้งมาถึง 50 ปี แต่มีผลงานไม่เท่ากับเสรีไทยที่ก่อตั้งมาเพียงแค่ 2 ปี[2] และจากการเมืองภายในประเทศเวลานั้น เป็นผลสืบเนื่องให้เกิดการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490[2] นอกจากนี้ การยุบกองทัพพายัพและเหตุการณ์เดินนับไม้หมอนได้เป็นอีกเหตุผลในการก่อตั้ง องค์การทหารผ่านศึก เมื่อปี พ.ศ. 2491 โดยที่ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น[1] การจัดกำลังรบกำลังรบ ณ พ.ศ. 2485กองทัพพายัพ มี พลโท จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ เป็นแม่ทัพ ตั้งกองบัญชาการกองทัพพายัพครั้งแรกที่จังหวัดลำปาง หลังจากกองทัพพายัพบุกเข้ายึดเมืองเชียงตุงและรัฐฉานได้แล้ว จึงมีการย้ายกองบัญชาการกองทัพพายัพมาตั้งที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 และย้ายพลโท จิร วิชิตสงคราม เสนาธิการทหารบก มารับหน้าที่แม่ทัพพายัพแทน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 กำลังรบที่ขึ้นตรงต่อกองทัพพายัพมีดังนี้
การปรับกำลังระหว่างการรบ กองทัพพายัพได้จัดกำลังผสมเพิ่มเติมในกองทัพดังนี้
สภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายเป็นปัจจัยบังคับให้ต้องยุบกองพลทหารม้าเร็วกว่าที่ควร และย้ายกรมทหารม้าที่ 31 ไปยังจังหวัดร้อยเอ็ด กับย้ายกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (กองพันทหารม้าใช้ม้า) กลับไปยังกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม กองทัพบกไทยก็ได้จัดตั้งหน่วยทหารทดแทนหน่วยทหารม้าขึ้นในกองทัพพายัพ ดังนี้
กองทัพที่ 2หลังจากฟื้นฟูความสงบในเมืองเชียงตุงได้ ในปี พ.ศ. 2486 กองทัพบกไทยจึงถอนกำลังของกองทัพพายัพบางส่วน และจัดตั้งกองทัพที่ 2 ขึ้นเป็นกำลังรบสำรอง โดยมีกองบัญชาการอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ประกอบด้วย
กองพลที่ 37ในปี พ.ศ. 2488 กองทัพบกไทยได้จัดตั้งหน่วยทหารเพื่อช่วยฝึกด้านยุทธวิธีแก่ขบวนการเสรีไทย ดังนี้
การยุบหน่วยหลังการประกาศสันติภาพเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หน่วยต่างๆ ของกองทัพได้ถูกยุบเลิกและสลายกำลัง ดังนี้
การปรับกำลังหลังสิ้นสุดสงครามหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2489 กองทัพบกไทยได้ปรับกำลังใหม่ดังนี้
กองทัพอากาศสนาม
กองบินผสมที่ 90 - ไม่ทราบจำนวนอากาศยาน
ดูเพิ่มอ้างอิง
|