ทหารม้า
ทหารม้า (อังกฤษ: Cavalry, จากคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสคำว่า cavalerie สืบทอดจากตัวของมันเองจากคำว่า "cheval" หมายถึง "ม้า") เป็นทหารหรือนักรบที่ต่อสู้รบด้วยการขี่บนหลังม้า ในเมื่อครั้งอดีต ทหารม้าเป็นหน่วยกองกำลังรบที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบาในบทบาทของการลาดตระเวน การคุ้มกัน(Screening) และการรบปะทะที่เล็กน้อย(harassing) ในหลายกองทัพ หรือจะเป็นทหารม้าหนักสำหรับการโจมตีที่เด็ดขาดในกองทัพอื่นๆ ทหารแต่ละคนในกองทหารม้าเป็นที่รู้จักกันโดยชื่อที่ถูกตั้งให้เป็นจำนวนมากซึ่งขึ้นอยู่กับยุคสมัยและกลยุทธ์ เช่น พลทหารม้า นักขี่ม้า ทรูปเปอร์ คาตาฟรัค ฮุสซาร์ แลนเซอร์ หรือดรากูน การกำหนดชื่อของทหารม้าโดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้กำหนดให้กับกองกำลังทหารที่ใช้สัตว์อื่นมาเป็นพาหนะ เช่น อูฐ หรือช้าง ทหาราบผู้ที่ซึ่งเคลื่อนไหวบนหลังม้า แต่เมื่อลงจากหลังม้าเพื่อเข้าต่อสู้รบบนทางเท้า เป็นที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 17 และช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 คือ ดรากูน ซึ่งเป็นกลุ่มทหารราบที่ขี่บนหลังม้าซึ่งกองทัพส่วนใหญ่ในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็นทหารม้าแบบมาตรฐาน ในขณะที่ยังคงรักษาชื่อที่ถูกกำหนดไว้ในประวัติศาสตร์ ทหารม้านั้นมีข้อได้เปรียบในเรื่องความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น และทหารที่ต่อสู้รบจากหลังม้าก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความสูงและความเร็วที่ดีกว่า และมวลเฉื่อยที่มีมากกว่าคู่ต่อสู้บนทางเท้า องค์ประกอบอีกประการหนึ่งของการทำสงครามบนหลังม้าคือ ผลกระทบทางจิตใจของทหารที่ขี่บนหลังม้าสามารถทำลายล้างคู่ต่อสู้ได้ ด้วยความเร็ว ความคล่องแคล่ว และค่าที่ทำให้เกิดความสะดุ้งหวาดกลัวของทหารม้าได้รับความชื่นชมและใช้ประโยชน์อย่างมากในกองทัพในยุคโบราณและยุคกลาง กองกำลังบางส่วนส่วนใหญ่เป็นทหารม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนเผ่าเร่ร่อนของเอเชีย ที่เด่นที่สุดคือ ชาวฮันของอัตติลาและต่อมาเป็นกองทัพมองโกล ในทวีปยุโรป ทหารม้าได้รับการติดตั้งด้วยการหุ้มเกราะที่มากขึ้น(หนัก) และท้ายที่สุดก็พัฒนาเป็นอัศวินที่ขี่บนหลังม้าในยุคกลาง ในช่วงศตวรรษที่ 17 ทหารม้าในทวีปยุโรปได้สูญเสียเกราะส่วนใหญ่ไป ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมากนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปืนคาบศิลาและปืนใหญ่ที่นำเข้ามาใช้งาน และในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ชุดเกราะส่วนใหญ่ต่างได้ยกเลิกใช้ไปหมดแล้ว แม้ว่าบางหน่วยทหารจะยังคงมีการใช้เสื้อเกราะขนาดเล็กที่มีความหนามากขึ้นที่สามารถใช้ในการป้องกันหอกและดาบและบางครั้งก็ป้องกันกระสุนได้ด้วย ในช่วงสมัยระหว่างของสงครามโลก ทหารม้าหลายหน่วยต่างได้ถูกเปลี่ยนเป็นหน่วยทหารราบยานยนต์และหน่วยทหารราบยานเกราะ หรือเปลี่ยนมาเป็นพลขับรถถัง อย่างไรก็ตาม ทหารม้าบางส่วนยังคงทำหน้าที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เด่นมากที่สุดคือ กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียต กองทัพประชาชนมองโกเลีย กองทัพบกราชอาณาจักรอิตาลี กองทัพโรมาเนีย กองทัพบกโปแลนด์ และหน่วยทหารลาดตระเวนเบาภายในหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส หน่วยทหารม้าส่วนใหญ่ที่ขี่บนหลังม้าในกองทัพสมัยใหม่นั้นได้ทำหน้าที่ในพิธีทางการอย่างสง่าผ่าเผย หรือทหารราบที่ขี่ม้าในภูมิประเทศที่มีความยากลำบาก เช่น ภูเขา หรือพื้นที่ป่าทึบ การใช้คำศัพท์สมัยใหม่โดยทั่วไปหมายถึงหน่วยทหารที่ทำหน้าที่บทบาทของการลาดตระเวน การเฝ้าระวัง และการได้มาซึ่งเป้าหมาย (reconnaissance, surveillance, and target acquisition, RSTA) คุณลักษณะของทหารม้าทหารม้าต้องประกอบด้วยคุณลักษณะที่จำเป็นและสำคัญของเหล่าคือ
ขีดจำกัดของทหารม้าอย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดของทหารม้าคือการรบในระยะประชิดตัว และการรบในป่าทึบ เนื่องจากข้อจำกัดด้านอาวุธที่ติดตั้ง โดยเฉพาะเมื่อถูกโจมตีจากด้านหลัง อีกทั้งวิสัยทัศน์การมองของพลประจำรถถังเองก็ถูกจำกัด สงครามเวียดนามเป็นเหตุการณ์ หนี่งที่ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดนี้ได้อย่างชัดเจน โดยทหารราบเวียดกง ทำการต่อกรกับทหารม้ารถถังอเมริกัน ด้วยการซุ่มอยู่ข้างทางในป่าทึบ แล้วใช้หลักการ คานดีดคานงัด เข้างัดรถถังอเมริกันให้พลิกคว่ำ เพื่อเป็นการชดเชยข้อจำกัดของทหารม้า จึงมักจะทำการรบในลักษณะของกองกำลังผสมระหว่างทหารม้าและทหารราบ ภารกิจของทหารม้าทหารม้าเป็นกำลังรบหลักส่วนหนึ่งของกองทัพบก ซึ่งสามารถมอบภารกิจให้ทำการรบโดยลำพังหรือผสมเหล่าได้เป็นอย่างดี ซึ่งภารกิจในการรบที่หน่วยทหารม้ารับผิดชอบได้แก่ ภารกิจดังต่อไปนี้
ทหารม้าในประเทศไทยประวัติทหารม้าไทยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจเรกองทัพบก เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 ได้จัดให้มีกิจการจเรทหารม้าอยู่ในการจัดกองทัพ ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยทหารม้า เป็นยุคแรกของทหารม้าสมัยใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประกาศแก้ไขกิจการทหารม้าใหม่ เปลี่ยนเป็น “กระทรวงกลาโหม” มีกรมจเรกองทัพบกเป็นกรมหนึ่งในครั้งนี้และมีหน่วยขึ้นตรงของกรมนี้แบ่งเป็น 5 แผนก มีแผนกที่ 2 เป็นแผนกจเรทหารม้า ซึ่งมีพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่น อินทรโยธิน) เป็นผู้บัญชาการท่านแรก และต่อมามีคำสั่งกระทรวงกลาโหมเปลี่ยนชื่อหน่วยอีกหลายครั้ง คือ เปลี่ยนเป็น“กรมจเรทหารม้า” “กรมจเรทหารม้าและสัตว์พาหนะ” กรมจเรสัตว์พาหนะทหารบกและทหารม้า” เมื่อปีพ.ศ. 2460 ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช เป็นผู้บังคับบัญชา และขอพระราชทานนามพระองค์เป็นชื่อค่าย “อดิศร” ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 44/12291 ลงวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2497 ให้เปลี่ยนชื่อจากกรมการทหารม้า เปลียนเป็น ศูนย์การทหารม้า ถือว่าวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสถาปนาศูนย์การทหารม้า ปัจจุบันกองทัพบกไทยตั้งวันที่ 4 มกราคมของทุกปี เป็นวันทหารม้า และยกย่องให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็น“พระบิดาแห่งการทหารม้าไทย”[1][2] การแบ่งประเภทของทหารม้าศูนย์การทหารม้า ได้กำหนดหลักนิยมและรูปแบบการจัดหน่วยทหารม้าโดยแบ่งประเภทของทหารม้าไว้ดังนี้
หน่วยทหารม้าในปัจจุบันของไทยหน่วยทหารม้าที่เป็นกำลังรบในปัจจุบัน ทั้งที่จัดตั้งแล้วและยังอยู่ในการดำเนินการจัดตั้งมีอยู่ 3 กองพล, 7 กรม, 31 กองพัน และ 5 กองร้อยอิสระ มีที่ตั้งอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ จังหวัดที่มีหน่วยทหารม้าอยู่ นอกจากกรุงเทพมหานคร และ ได้แก่ สระบุรี, ปราจีนบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์, พิษณุโลก, น่าน, อุตรดิตถ์, แพร่, กาญจนบุรี, นครศรีธรรมราช, ร้อยเอ็ด และปัตตานี ทหารม้าชาวไทยที่มีชื่อเสียง
อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ทหารม้า Information related to ทหารม้า |