คาเมรอน ดิแอซ
คาเมรอน มิเชลล์ ดิแอซ (อังกฤษ: Cameron Michelle Díaz, เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1972) เป็นอดีตนักแสดง, อดีตนักเดินแบบชาวอเมริกัน และเป็นภรรยาของเบนจี แมดเดน มือกีตาร์วงกู้ดชาร์ลอตต์ เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 4 ครั้ง, เข้าชิงรางวัลสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ 3 ครั้ง และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแบฟตา 1 ครั้ง โดยคาเมรอน ดิแอซ เคยได้รับการบันทึกให้เป็นนักแสดงฮอลลีวูดหญิงที่อายุเกิน 40 ปี ที่มีค่าตัวมากที่สุด[1] ในปี ค.ศ. 2018 มีการเปิดเผยจากบ็อกซ์ออฟฟิสว่าภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยคาเมรอน ดิแอซ สามารถทำรายได้รวมกันเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกามากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เธอเป็นนักแสดงเพศหญิงที่ทำรายได้ให้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดสูงที่สุดลำดับ 6 โดยอยู่เหนือลูพีตา ญองอ และ จูเลีย โรเบิตส์[2] นอกจากจะเป็นที่รู้จักในบทบาทนักแสดงแล้ว ดิแอซยังมีผลงานการเขียนหนังสือ โดยหนังสือ The Body Book ที่เธอเขียนในปี ค.ศ. 2013 อยู่ในอันดับที่ 2 ของอันดับหนังสือขายดีเดอะนิวยอร์กไทมส์ [3] และงานเขียนหนังสือเรื่องต่อมาของเธอคือ The Longevity Book วางจำหน่ายในเดือน มิถุนายน 2016.[4][5]ปัจจุบันหลังจากแสดงภาพยนตร์เรื่อง Annie - หนูน้อยแอนนี ในปี ค.ศ. 2014 คาเมรอน ดิแอซ ได้ประกาศยุติบทบาทการแสดงในภาพยนตร์ต่างๆ[6] โดยในปี ค.ศ. 2018 เธอได้เริ่มมีรายการวิทยุชื่อ Town Hall with Cameron Diaz ซึ่งได้รับคำแนะนำในช่วงแรกจาก นิโคล ริชชี ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นคู่สะใภ้ (สามีของนิโคล ริชชี และ สามีของคาเมรอน ดิแอซ เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน) ต่อมาในปี ค.ศ. 2020 ดิแอซให้กำเนิดบุตรสาวคนแรกชื่อว่า "แรดดิกซ์ ดิแอซ-แมดเดน" (เกิดเมื่อปี 2020) ประวัติ1972–1993: วัยเด็กและการเป็นนางแบบคาเมรอน ดิแอซ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1972 [7] ที่เมืองแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ปู่ทวดและย่าทวดของเธอเป็นชาวคิวบา ที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และให้กำเนิดปู่ของเธอ เอมีลีโอ กาดิซ ดิอัซ ยูนิออร์ ที่รัฐฟลอริดา ทำให้ปู่ของเธอเป็นชาวอเมริกัน-คิวบา รุ่นแรกของครอบครัว ต่อมาปู่ของเธอได้ย้ายออกจากรัฐฟลอริดามาอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และให้กำเนิดพ่อของเธอ เอมีลีโอ ลุยส์ ดิอัซ ที่รัฐนี้โดยพ่อของเธอมีอาชีพเป็นหัวหน้าคนงานของบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย[8][9] ส่วนแม่ของเธอ บิลลี (นามสกุลเดิม เออร์ลี)[10]มีเชื้อสายอังกฤษ-เยอรมัน และกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน (เผ่าเชอโรกี) มีอาชีพเป็นตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า คาเมรอน ดิแอซ มีพี่สาวชื่อว่า คิเมเน ดิแอซ หลังจากเธอเกิด เธอได้ย้ายจากเมืองแซนดีเอโก มาที่ลองบีช ลอสแอนเจลิส และเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนประถมลอสเซอริทอส ก่อนจะต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมลองบีชโพลีเทคนิค[11] โดยในสมัยเรียนนั้นเธอเป็นเพื่อนห้องเดียวกันกับสนูป ด็อกก์ และได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบกับบริษัทอีลิท โมเดล แมเนจเมนต์ ตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยเธอได้ถ่ายแบบให้กับบริษัทคาลวิน ไคล์น และลีวายส์ [12]จากนั้นพออายุได้ 17 ปี เธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารเซเวนทีน และได้เป็นนางแบบช่วงสั้นๆที่ประเทศออสเตรเลียรวมถึงได้เป็นนางเอกโฆษณาเครื่องดื่มโคคา-โคล่า ในปี ค.ศ. 1991[13][14][15] ปี ค.ศ.1992 ขณะอายุ 19 ปี คาเมรอน ดิแอซ ได้รับงานถ่ายแบบให้กับชุดชั้นในสตรีแนวซาดิสม์และมาโซคิสม์ ซึ่งเป็นการใส่ชุดชั้นในหนังแบบเปิดเต้านม โดยมีการถ่ายภาพนิ่งและบันทึกไว้เป็นวิดีโอ โดยจอห์น รัทเทอร์[16][17][18][19][20]อย่างไรก็ตามภาพชุดและวิดีโอดังกล่าวไม่ได้มีการเผยแพร่ออกไปในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 ที่เธอมีชื่อเสียงโด่งดังในฮอลลีวูด จอห์น รัทเทอร์ จึงติดต่อและเสนอขายภาพและวิดีโอที่บันทึกการถ่ายแบบชุดนั้นให้กับเธอ ในช่วงก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง นางฟ้าชาร์ลี: เสน่ห์เข้มทะลุพิกัด กำลังจะออกฉาย โดยรัทเทอร์เสนอขายภาพชุดดังกล่าวให้กับเธอในราคา 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเธอไม่ซื้อเขาจะขายให้คนอื่น ทางด้านดิแอซ มองว่าเธอกำลังถูกแบล็คเมล์จากภาพในอดีตจึงฟ้องร้องรัทเทอร์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 หลังจากภาพยนตร์เรื่อง นางฟ้าชาร์ลี: เสน่ห์เข้มทะลุพิกัด ออกฉายและประสบความสำเร็จทำรายได้ไปกว่า 259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้มีคลิปวิดีโอการถ่ายแบบเปลือยอกของเธอในอดีตความยาว 30 นาที เผยแพร่ในเวปไซต์ของรัสเซีย[21][22][23][24]ในชื่อคลิปว่า She's No Angel หรือ เธอไม่ใช่นางฟ้า โดยรัทเทอร์ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่คลิปวีดีโอ[25]ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 รัทเทอร์ถูกตัดสินให้มีความผิดและถูกศาลสูงแห่งลอสแอนเจลิสพิพากษาให้จำคุก 3 ปี 8 เดือน[26] 1994–1998: ภาพยนตร์เรื่องแรกและการประสบความสำเร็จเมื่ออายุ 21 ปี ดิแอซได้ไปสมัครคัดเลือกเพื่อเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง The Mask - หน้ากากเทวดา ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่บริษัทเอลิท ที่เธอทำงานเป็นนางแบบอยู่ โดยเธอสมัครคัดเลือกในบทบาทนักแสดงนำซึ่งต้องเล่นคู่กับจิม แคร์รี่ย์ นักแสดงเจ้าบทบาทที่โด่งดังมาจากเรื่อง เอซ เวนทูร่า นักสืบซูเปอร์เก๊ก และด้วยความไม่มีประสบการณ์ทางการแสดงภาพยนตร์มาก่อน เธอจึงเริ่มฝึกการแสดงเป็นครั้งแรกก่อนจะทำการคัดเลือกเพื่อแสดงในบทบาทนี้ [27] ต่อมาเมื่อเธอผ่านการคัดเลือกจึงได้รับบท ทีนา คาร์ไลล์ นักร้องเพลงแจ๊สซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง และจากการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จโดยทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ คาเมรอน ดิแอซ ได้รับการจับตามองในฐานะนางเอกคนใหม่ของวงการฮอลลีวูดที่มีภาพลักษณ์เซ็กซี ซึ่งนับตั้งแต่เธอโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องแรก ชื่อเสียงของเธอกลับดูเงียบหายไป โดยในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1995–1996 ผลงานการแสดงของเธอไม่ประสบความสำเร็จโดยในปี ค.ศ. 1995 เธอได้ตกลงแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง มอร์ทัลคอมแบท ซึ่งส่วนหนึ่งของภาพยนตร์มีการถ่ายทำที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย และเธอได้รับบทเป็น ซอนย่า เบลด ทหารหญิงหน่วยกรีนเบอเรต์ของกองทัพบกสหรัฐ แต่ระหว่างฝึกซ้อมบทเธอได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อมือจนไม่สามารถแสดงต่อได้ ทำให้ต้องถอนตัวออกจากการแสดง[28] หลังจากพลาดจากการแสดงเรื่อง Mortal Kombat เธอจึงหันไปเล่นภาพยนตร์แนวเสียดสีสังคมฟอร์มเล็กๆที่ใช้ต้นทุนต่ำเรื่อง The Last Supper โดยรับบทเป็นหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่มีความเชื่อฝ่ายเสรีนิยม ที่จะชวนผู้ที่มีความเชื่อแบบการเมืองฝ่ายขวาจัด มาทานอาหารค่ำที่บ้านและทำการฆาตกรรมทีละคนๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ แต่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์[29] และแม้ในปี ค.ศ. 1996 ดิแอซจะได้รับบทบาทนักแสดงนำในภาพยนตร์ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ She's the One - เพียงเธอเป็นหัวใจของเรา ภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดีที่ได้แสดงร่วมกับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน, ภาพยนตร์เรื่อง Feeling Minnesota - กอดเธอฝ่านรก ที่ได้แสดงคู่กับเคอานู รีฟส์ และ Head Above Water ภาพยนตร์ตลก-ระทึกขวัญ ที่เป็นการนำภาพยนตร์จากประเทศนอร์เวย์เรื่อง Hodet over vannet กลับมาสร้างใหม่ โดยภาพยนตร์ของเธอทั้ง 3 เรื่องไม่ประสบความสำเร็จ และทำรายได้ 3 เรื่องรวมกันไม่ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะเรื่อง Head Above Water ที่ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิสเพียงแค่ 3 หมื่นดอลลาร์ จนในปี ค.ศ. 1997 ดิแอซมีผลงานในภาพยนตร์กระแสหลักและกลับมาโด่งดังอีกครั้งในภาพยนตร์ของค่ายไตรสตาร์พิคเจอร์สเรื่อง My Best Friend’s Wedding - เจอกลเกลอ วิวาห์อลเวง ที่ต้องแสดงประชันบทบาทกับนางเอกรุ่นพี่อย่างจูเลีย โรเบิตส์ และประสบความสำเร็จเมื่อทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[30]โดยติดสิบอันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดในปี ค.ศ. 1997 รวมทั้งได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดีที่ดีที่สุดตลอดกาล[31][32] ต่อมาในปีเดียวกันได้แสดงร่วมกับยวน แม็คเกรเกอร์ ใน A Life Less Ordinary - รักสะดุดฉุดเธอมากอด ในปี ค.ศ. 1998 คาเมรอน ดิแอซ มีผลงานการแสดงภาพยนตร์ตลกเรื่อง There’s Something About Mary - มะรุมมะตุ้มรุมรักแมรี่ และประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของปี 1998 และเป็นภาพยนตร์แนวตลกที่ทำรายได้สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือในปีดังกล่าว โดยทำรายได้ทั่วโลกถึง 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[33] จากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์เพลงหรือภาพยนตร์ตลก[34] แม้สุดท้ายรางวัลจะตกเป็นของกวินเน็ธ พัลโทรว์นักแสดงนำจากเรื่องShakespeare in Love - กำเนิดรักก้องโลก แต่เธอก็ยังได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเอ็มทีวีมูวีแอนด์ทีวีอะวอดส์และนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของกลุ่มนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งนิวยอร์ก นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1998 เธอยังมีผลงานภาพยนตร์แนวตลกร้ายเรื่อง Very Bad Things - แต่งเถอะค่ะ อย่ากลัวสะบักสะบอม ที่แสดงคู่กับจอน แฟฟโรว์ โดยหลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก มะรุมมะตุ้มรุมรักแมรี่ ดิแอซได้คบหากับแม็ตต์ ดิลลอนที่เป็นหนึ่งในนักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว[35]ก่อนที่ในปีต่อมาเธอได้มาคบกับจาเรด เลโท[36]โดยทั้งคู่คบหากันนานถึง 4 ปี และเลิกรากันไปในปี ค.ศ. 2003 ต่อมาในปี 1999 แสดงใน Being John Malkovich ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลายตัวด้วย ในปีเดียวกับเธอแสดงใน Any Given Sunday ต่อมาในปีถัดมา แสดงภาพยนตร์ที่สร้างจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 70 เรื่อง Charlie’s Angels และยังมีภาคต่อใน Charlie’s Angels: Full Throttle เธอยังมีผลงานเรื่อง Shrek และได้แสดงร่วมกับทอม ครูซใน Vanilla Sky และในภาพยนตร์เรื่อง The Sweetest Thing เธอได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ต่อมาปี 2002 เธอรับบทเป็นนักวิ่งราวตามถนนในเรื่อง Gangs of New York[37] อ้างอิง
|