จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เป็นชื่อเรียกเอกสารที่หอสมุดวชิรญาณได้รับมาจากวังหน้า โดยเนื้อหาเป็นการบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปี พ.ศ. 2310 จนถึงปี พ.ศ. 2363[1] ในปี พ.ศ. 2451 (ร.ศ.127) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่าเนื้อหาของเอกสารมีความแปลกจึงได้คัดสำเนาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ รัชกาลที่ 5 ได้ทอดพระเนตร ทรงมีพระบรมวินิจฉัยว่าผู้เขียนจดหมายบันทึกความทรงจำนี้ คงจะเป็น "พระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี" พระกนิษฐาต่างพระชนนี (น้องสาวต่างแม่) ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ด้วยทรงเห็นว่าเป็นเอกสารที่บันทึกจากความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ยังได้มีพระราชวิจารณ์ประกอบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในงานไหวพระประจำปีวัดเบญจมบพิตรในปีเดียวกัน[1] ที่มาต้นฉบับจดหมายเหตุความทรงจำนี้มี 2 ฉบับ คือ
เนื้อหา[3]
ข้อสันนิฐานผู้แต่งธรรมเนียมเดิมที่ "ผู้แต่ง" ไม่ได้รับความสำคัญเท่ากับ "ผู้คัดลอก"[2] ซึ่งเป็นผู้เอามาบอกต่อหรือเผยแพร่ ทำให้ไม่มีการระบุนามผู้แต่งไว้ รัชกาลที่ 5 จึงทรงสืบค้นว่าผู้ใดเป็นผู้แต่งจดหมายความทรงจำนี้ โดยทรงระบุถึงข้อบ่งชี้ถึงผู้แต่งไว้ 3 ประการคือ[2]
ดังพระราชวิจารณ์ความว่า "หนังสือที่จดลงนี้ ปรากฎโดยโวหารแลทางดำเนินความ ใช้ถ้อยคำเปนสำนวนจดหมายผู้หญิง คงจะเปนเจ้านาย แต่จะเปนเจ้านายเก่าฤๅเจ้านายใหม่ซึ่งเปนราชตระกูลนี้ แต่เนื่องในเชื้อวงษ์เจ้ากรุงธนบุรี ฤๅจะมีเกี่ยวข้องในเชื้อวงษ์เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งได้เปนตระกูลในเวลานั้นคราวหนึ่งก็อาจจะเปนได้" [4] อาจเป็น พระองค์เจ้าประชุมวงษ์ พระองค์เจ้าปัญจปาปี (คุณสำลี) หรือ พระองค์เจ้าอรุณ [4] ทั้งนี้ ทรงอธิบายต่อไปถึงส่วนที่ข้อบ่งชี้ถึงผู้แต่ง ซึ่งมิใช่เจ้านายทั้งสามพระองค์ที่ทรงสันนิฐานไว้ตอนต้น โดยมาจากข้อความที่กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุนทรเทพ ความว่า [4]
และการสิ้นพระชนม์ของกรมหมื่นนริทรพิทักษ์ ความว่า[4]
การที่ผู้บันทึกใช้คำว่า "สิ้นชนมายุ" ต่างจากการบันทึกเรื่องของเจ้านายองค์อื่น เช่น เจ้าฟ้ากรมพระสุนทรที่ใช้คำว่าสิ้นชนม์ และคำว่า "ประชุมเพลิง" แทนคำว่าถวายพระเพลิง อีกทั้งยังบันทึกว่า "กรมหมื่น" ไว้ห้วน ๆ แสดงถึงความคุ้นเคยกับกรมหมื่นนริทรพิทักษ์ จึงใช้คำเรียกอย่างสามัญ[2] ประกอบกับผู้ที่เก็บอากรตลาด ในช่วงที่เจ้าฟ้ากรมพระสุนทรที่ใช้คำว่าสิ้นชนม์ คือ "พระองค์เจ้ากุ" พระกนิษฐาต่างพระชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อีกทั้งมีกรมหมื่นนริทรพิทักษ์เป็นพระสวามี ดังนั้น ผู้ที่บันทึกคงจะเป็น "กรมหลวงนรินทรเทวี" (พระองค์เจ้ากุ) นั้นเอง[4] โดยขณะเรียบเรียงจดหมายนี้ คงจะมีอายุราว 70 ปีแล้ว[3] จึงแก้ชื่อเดิมที่ผู้คัดลอกตั้งไว้ คือ "จดหมายเหตุตั้งแต่กรุงเก่าเสียแล้วเจ้าตากมาตั้งกรุงธนบุรี” เป็น "จดหมายความทรงจำ ของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) ตั้งแต่จุลศักราช 1129 ถึงจุลศักราช 1182 เปนเวลา 53 ปี" [4] หลังจากพระราชวิจารณ์ถึงผู้แต่งจดหมายนี้ ล่วงไปได้ 8 ปี ในปี พ.ศ. 2459 หอสมุดวชิรญาณได้รับจดหมายเหตุความทรงจำอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์เพิ่มเติมจากส่วนแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2381 ซึ่งเป็นการบันทึกภายหลังจากที่กรมหลวงนรินทรเทวี (พระองค์เจ้ากุ) สิ้นพระชนม์ไปแล้วถึง 11 ปี[2] แต่เมื่อพิจารณาแล้ว พบว่าสำนวนที่บันทึกในส่วนหลังนี้ แตกต่างจากสำนวนในส่วนแรกซึ่งรัชกาลที่ 5 มีพระราชวิจารณ์ว่าผู้ที่บันทึกคือ "กรมหลวงนรินทรเทวี" คงจะเป็นการบันทึกเพิ่มเติมของเจ้านายวังหน้าอีกพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้คัดลอกเพิ่มเติมเข้าไป และไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงว่าผู้แต่งจดหมายเหตุความทรงจำนี้ มิใช่กรมหลวงนรินทรเทวี[2] ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนพระองค์เจ้าศรีสังข์ลี้ภัยไปฮาเตียน
ในจดหมายเหตุความทรงจำ ระบุว่าเจ้าศรีสงข์ พระโอรสในเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้งกุ้ง) โดยได้เข้าร่วมกับกรมหมื่นเทพพิพิธ เมื่อครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธตั้งก๊กเจ้าพิมาย ต่อมาเมื่อกรมหมื่นเทพพิพิธพ่ายต่อพระเจ้าตากและสำเร็จโทษแล้ว เจ้าศรีสังข์จึงหลบหนีไปยังเมืองพุทไธมาศ (ฮาเตียน)[2] อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากเอกสารของบาทหลวงฝรั่งเศสและเอกสารเวียดนาม พบว่าเจ้าศรีสงข์ไปยังเมืองฮาเตียนช่วงกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 โดยมิได้มีการเข้าร่วมกับกรมหมื่นเทพพิพิธแต่อย่างใด[2][5] พระเจ้าตากสู่ขอพระราชธิดาเจ้ากรุงจีน
ข้อความส่วนนี้ ไม่สอดคล้องกับเอกสารจดหมายเหตุจีน สมัยราชวงศ์ชิง (ชิงสือลู่) มีลักษณะเป็นการบอกเล่าแบบปากต่อปาก [2] อนึ่ง เนื่องจากเอกสารฉบับนี้ เป็นการบันทึกเหตุการณ์ตามความทรงจำ จึงมีรายะเอียดของ "เลขศักราช" คลาดเคลื่อน ในส่วนนี้รัชกาลที่ 5 ได้พระราชวิจารณ์ไว้โดยละเอียดแล้ว[2] ความสำคัญรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่า บันทึกนี้ "ท่านไม่ได้มุ่งหมายที่จะเรียงเปนพงษาวดารฤๅจดหมายเหตุให้ผู้อื่นอ่าน เปนแต่ลูกหลานพี่น้องไปไต่ถามการเก่า ๆ ก็เล่าให้ฟังแล้วเขียนลงไว้" [4] ด้วยความที่เจ้านายฝ่ายหญิงทักจะมีบทบาทในการเล่าพระราชพงศาวดารถวายพระราชวงศ์[2] จึงเป็นการบันทึกแบบ "วงใน" หรือพงศาวดารกระซิบ ทำให้ได้ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การที่พระเจ้ากรุงธนบุรีถูกคาดโทษในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก เนื่องจากยิงปืนใหญ่โดยไม่ได้บอกกล่าวแก่ศาลาลูกขุนก่อน หรือ การนางห้ามในพระเจ้ากรุงธนบุรี ประสูติพระราชโอรส แต่ทรงระแวงว่าจะมิใช่ลูกของพระองค์ เพราะถวายงานเพียง “หนเดียว” [3] การบันทึกของกรมหลวงนรินทรเทวีนี้จัดได้ว่าเป็นบันทึกตามประเพณีบอกเล่า (Oral tradition) แต่ก็ไม่ปรากฏการบอกเล่าเรื่องในลักษณะที่เหนือจริง[2] เป็นการรวบรวมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ในช่วงกรุงธนบุรีถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังเป็นการบันทึกโดยผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ อาจกล่าวได้ว่าจดหมายเหตุความทรงจำนี้เป็น “พงศาวดารนอกกรอบ” ก่อนที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) จะรวบรวมและจัดทำพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 1 - 3 ซึ่งเป็น “พงศาวดารในกรอบ”[2] ประการสำคัญคือ ข้อเขียนนี้ต่อประเด็นของพระเจ้ากรุงธนบุรี นับเป็นความต่างเมื่อเปรียบเทียบกับ “พงศาวดารในกรอบ” ที่มักเป็นงานประวัติศาสตร์เพื่อผู้ชนะในขณะที่ “พงศาวดารนอกกรอบ” อย่างของกรมหลวงนรินทรเทวีนั้นเป็นงานประวัติศาสตร์ที่มีมุมมองต่อผู้แพ้อย่างเห็นอกเห็นใจมากกว่าจะทับถมผลิตซ้ําหรือปิดหูปิดตาต่อความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น [2] และยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทของผู้หญิงในหน้าประวัติศาสตร์ เช่นกรณีของหม่อมฉิมกับหม่อมอุบล เผยให้เห็นลักษณะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนของบุคคลในประวัติศาสตร์[2] ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการศึกษาประวัติศาสตร์ เอกสารฉบับนี้ แม้จะผ่านการคัดลอกมา แต่ไม่ได้ผ่านการ "ชำระ" มาก่อน ดังคำบรรยายในการเรียบเรียงหนังสือเมื่อ ร.ศ. 127 ใจความว่า [2]
ประกอบกับพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงอธิบายเพิ่มเติมทำให้รายละเอียดในเอกสารนี้ถูกต้องยิ่งขึ้น เป็นหนังสือที่ครบถ้วนกระบวนความ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในระหว่างสร้างบ้านแปลงเมืองช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์[3] การตีพิมพ์
ดูเพิ่มอ้างอิง
|