ช็อน ดู-ฮวัน
พลเอก ช็อน ดู-ฮวัน (อักษรโรมัน: Chun Doo-hwan; 18 มกราคม พ.ศ. 2474 – 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564) คืออดีตนักการเมืองและนายทหารประจำกองทัพสาธารณรัฐเกาหลี เป็นอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระหว่าง พ.ศ. 2523 - 2531 ช็อนได้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2539 เนื่องจากการจัดการกับผู้ชุมนุมในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูอย่างเข้มงวดและรุนแรงเกินเหตุ แต่ในเวลาต่อมาได้รับอภัยโทษจากประธานาธิบดีคิม ย็อง-ซัมด้วยคำแนะนำของประธานาธิบดีคนต่อมาคิม แด-จุง ซึ่งเคยถูกช็อน ดู-ฮวันตัดสินประหารชีวิตเมื่อ 20 ปีก่อน ชีวิตในช่วงเริ่มแรกช็อน ดู-ฮวันเกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2474 ที่ยูลกอกมยอง ในหมู่บ้านเกษตรกรที่ยากจนในเมืองฮับช็อน จังหวัดคยองซานใต้ ระหว่างการยึดครองเกาหลีของจักรวรรดิญี่ปุ่น ช็อนเป็นบุตรชายคนที่สี่ของ ช็อน ซางอูและคิม จองมุน[2] ช็อนมีพี่ชาย 2 คน คือ ยอลฮวาน และ คยูกอน ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่ยังเป็นทารก ฉะนั้นเมื่อเติบโตขึ้นช็อนจึงยังรู้จักและสนิทกับพี่ชายคือ กิฮวาน และ น้องชายคยองฮวาน ประมาณ พ.ศ. 2479 ครอบครัวของช็อนย้ายไปยัง แดกู ที่ช็อนได้เริ่มเข้าศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาโฮรัน พ่อของช็อนเคยทะเลาะกับตำรวจของญี่ปุ่น (เก็มเปไต) และพ่อของเขาได้ฆาตกรรมกัปตันของตำรวจญี่ปุ่นในฤดูหนาว พ.ศ. 2482[2] ทำให้ครอบครัวของเขาต้องหลบหนีไปยังมณฑลจี๋หลิน ประเทศจีน เป็นเวลา 2 ปีจึงได้กลับเกาหลี ซึ่งทำให้เขาได้หยุดเรียนหนังสือไป 2-3 ปี ใน พ.ศ. 2490 ช็อน ดู-ฮวันได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมต้นอาชีวศึกษาแดกู ซึ่งห่างจากบ้านของเขาถึง 25 กิโลเมตร[2]และเขาได้ย้ายไปยังโรงเรียนมัธยมปลายอาชีวะศึกษาแดกู ได้รับยกเว้นผลการเรียนเมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้น ประวัติการรับราชการทหารภายหลังสำเร็จการศึกษาจากชั้นมัธยมปลายใน พ.ศ. 2494 ช็อน ดู-ฮวัน ได้เข้าไปในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงคือ โรงเรียนนายร้อยทหารบกเกาหลี (Korea Military Academy) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้ผูกมิตรไว้กับหลายคนระหว่างนักเรียนด้วยกัน ซึ่งต่อมาจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เขาทำการยึดอำนาจในอีกหลายปีต่อมา เขาสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2498 และได้รับการแต่งตั้งยศร้อยตรี โดยสำเสร็จการศึกษาในรุ่น 11[3] ในขณะที่ช็อน มียศร้อยเอก เขาได้เป็นผู้นำการชุมนุมที่โรงเรียนกองทัพบกเกาหลีระหว่างการรัฐประหารวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 เพื่อสนับสนุนพัก จองฮี ในการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อมาเขาถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสภาสูงสุดเพื่อการฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติ[3] ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขึ้นโดยตรงกับประธานาธิบดีพัก และช็อนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันตรีอย่างรวดเร็วใน พ.ศ. 2505 ซึ่งเขายังได้สร้างฐานอำนาจให้กับเพื่อนและคนรู้จักอย่างต่อเนื่อง และช็อนยังได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองบัญชาการและต่อมาก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งที่สภาสูงสุดเพื่อการฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติในตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายกิจการพลเรือน ใน พ.ศ. 2506 ช็อนได้รับตำแหน่งในองค์การประมวลข่าวกรองเกาหลีใต้ ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล ใน พ.ศ. 2512 เขาก็ได้เป็นที่ปรึกษาเสนาธิการทหาร ใน พ.ศ. 2513 ช็อนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันเอก เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการประจำกรมทหารที่ 29 กองทหารราบที่ 9 และมีส่วนร่วมในสงครามเวียดนาม ภายหลังได้กลับมายังเกาหลีใต้ใน พ.ศ. 2514 เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษกองพลน้อยที่ 1 (กองขนส่งทางอากาศ) และต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลระดับ 1 (1성 장군) และใน พ.ศ. 2519 ได้รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการหน่วยงานความมั่นคงสำนักประธานาธิบดี และได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นนายพลระดับ 2 (2성 장군) ใช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และใน พ.ศ. 2521 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทหารราบที่ 1[3] และใน พ.ศ. 2522 ช็อนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการในกองบัญชาการรักษาความมั่นคง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดของเขาในขณะนั้น ขึ้นสู่อำนาจฮานาเฮวช็อนจัดตั้งกลุ่มฮานาเฮว ซึ่งเป็นชมรมลับของเหล่าทหาร ตั้งขึ้นไม่นานหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งนายพล สมาชิกกลุ่มส่วนมากอยู่ในรุ่น 11 ของโรงเรียนนายร้อยทหารบกเกาหลี,เพื่อนกลุ่มอื่นๆและผู้สนับสนุนของเขา เหตุการณ์การสังหารประธานาธิบดี พัก จองฮีในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ประธานาธิบดีพัก จองฮีถูกลอบสังหารโดย คิม เจคยู ผู้อำนายการสำนักข่าวกรองกลางเกาหลี ในขณะที่อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ คิมได้เชิญนายพล จอง เซิงฮวา เสนาธิการทหารบก และ คิม จองโซบ รองผู้อำนวยการข่าวกรองกลางเกาหลี มารับประทานอาหารค่ำอย่างลับๆในห้องอื่นเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่า จอง เซิงฮวา จะปฏิเสธว่าไม่ได้ปรากฏตัวและมีส่วนข้องกับการสังหารประธานาธิบดีพัก แต่ความเกี่ยวข้องของเขาก็เป็นข้อพิสูจน์ว่ามีความสำคัญอย่างมากในเวลาต่อมา ในชั่วโมงแห่งความโกลาหล คิม เจคยูก็ไม่ได้ถูกจับเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพราะรายละเอียดในขั้นต้นยังไม่ชัดแจ้ง เมื่อผ่านชั่วเวลาแห่งความสับสน ในกระบวนการตามรัฐธรรมนูญเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี เช กิวฮา ขึ้นรักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่นานหลังจากนั้น นายพลจอง ซึงฮวาภายใต้ชื่อกองบัญชาการรักษาความมั่นคงของช็อนได้มุ่งทำการสืบสวนการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ช็อนได้มีคำสั่งอย่างทันทีให้ผู้ใต้บังคับบัญชาร่างแผนที่จะให้มีอำนาจเต็มใน "กองบัญชาการการสืบสวนร่วม"[4] วันที่ 27 ตุลาคม ช็อนจัดประชุมที่กองบัญชาการของเขา ได้เชิญบุคคลสำคัญ 4 คนซึ่งรับผิดชอบในเรื่องของหน่วยข่าวกรองทั่วประเทศได้แก่ รองผู้บัญชาการฝ่ายต่างประเทศสำนักงานข่าวกรองกลาง,รองผู้บัญชาการฝ่ายกิจการภายในสำนักข่าวกรองกลาง,อัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ[4] ช็อนให้แต่ละคนค้นหาข้อมูลที่ประตูที่เขาเข้ามา ก่อนที่จะให้พวกเขานั่งและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตายของประธานาธิบดี ช็อนประกาศว่าหน่วยข่าวกรองกลางต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ให้เหตุการณ์การสังหารประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นจึงต้องสอบสวนเหตุการณ์นี้ ช็อนประกาศว่าจะไม่ให้หน่วยงานข่าวกรองกลางมีอำนาจบริหารงบประมาณเป็นของตัวเองอีกต่อไป
ช็อนยังได้มีคำสั่งต่อจากนั้นให้หน่วยข่าวกรองทุกหน่วยรายงานไปยังสำนักงานของเขาทุกวันเวลา 08.00 น. และเวลา 17.00 น. ทุกวัน ดังนั้นช็อนจึงสามารถตัดสินใจว่าข้อมูลอะไรที่ทำให้เขาสามารถบัญชาการได้มากขึ้น ในอีกก้าวหนึ่ง ช็อนได้ควบคุมหน่วยงานข่าวกรองทุกหน่วยทั่วทั้งประเทศ และช็อนได้ตั้งรองผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองด้านต่างประเทศให้ดูแลรับผิดชอบกิจการของหน่วยข่าวกรองกลางในแต่ละวัน พันตรี พัก จุนกวาง ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของช็อนในเวลานั้นได้วิจารณ์ว่า
รัฐประหาร 12 ธันวาคมในเดือนธันวาคม ช็อน ดู-ฮวันพร้อมกับโนห์ แทวู,จอง โฮยอง,ยู ฮักซอง,ฮโย ซัมซูและเพื่อนร่วมรุ่น 11 ของโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยอาศัยความได้เปรียบจากสถานการณ์การเมืองที่บอบบางและการเติบโตขึ้นของกลุ่มฮานาเฮว การได้ตัวผู้บัญชาการคนสำคัญและการล้มล้างกลุ่มองค์กรของหน่วยข่าวกรองของชาติ ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ช็อนออกคำสั่งโดยไม่ได้รับมอบอำนาจจากประธานาธิบดี ชเว คยูฮา โดยการออกคำสั่งโดยมิชอบให้จับกุมตัวผู้บัญชาการทหารบก จอง ซึงฮวาในฐานสมคบคิดกับคิม เจคยูสังหารประธานาธิบดี ระหว่างการจับกุมมีการปะทะกันเกิดขึ้น พันตรี คิม โอราง ที่ปรึกษาของนายพลจอง ได้เสียชีวิตระหว่างการปะทะ การรวมอำนาจต้นปี พ.ศ. 2523 ช็อนได้รับการเลื่อนยศเป็น พลโท และเขาได้เริ่มเข้ามาสนใจในตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลาง ในวันที่ 14 เมษายน ช็อนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลาง ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจู และ การใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 ช็อนได้ทำการขยายเขตการใช้กฎอัยการศึกไปทั่วประเทศ โดยกล่าวหาว่ามีข่าวลือว่าเกาหลีเหนือจะแทรกซึมเข้าสู่เกาหลีใต้ เพื่อบังคับใช้กฎอัยการศึก กำลังทหารจะถูกส่งไปยังหลายๆส่วนของประเทศ สำนักงานหน่วยข่าวกรองกลางซึ่งจัดการข่าวลือเหล่านี้ภายใต้คำสั่งของช็อน นายพลวิกแฮม (กองทัพอเมริกันที่ประจำการในเกาหลี) รายงานว่า การมองโลกในแง่ร้ายของช็อนในการประเมินสถานการณ์ภายในประเทศและความตึงเครียดของเขาในเรื่องการคุกคามของเกาหลีเหนือดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างในการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี[5] การขยายกฎอัยการศึกในการปิดมหาวิทยาลัย ห้ามการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง การเพิ่มข้อจำกัดกับฝูงชน เหตุการณ์ในวันที่ 17 พฤษภาคมจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้อำนาจเผด็จการทหาร ชาวเมืองหลายคนมีความไม่พอใจเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการที่กองกำลังทหารมาตั้งอยู่ในเมือง ในวันที่ 18 พฤษภาคม ประชาชนเมืองกวางจูได้จัดการเคลื่อนไหวซึ่งได้เป็นที่รู้จักกันในเหตุการณ์ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจู ช็อนมีคำสั่งให้หยุดยั้งเหตุการณ์นี้และได้ส่งกองกำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในเมือง และนำไปสู่การฆาตกรรมหมู่ตลอดระยะเวลาสองวัน ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยและความตายของนักเคลื่อนไหวในเมืองกวางจูนับร้อยคน เส้นทางสู่ประธานาธิบดีในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2523 ช็อนมีคำสั่งยุบสภาแห่งชาติ ลำดับต่อมาได้ก่อตั้งคณะกรรมการนโยบายป้องกันชาติฉุกเฉินขึ้น และตั้งตัวเองเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนั้น ในวันที่ 17 กรกฎาคม ช็อนลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง และก็ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการในคณะกรรมการที่ตนตั้งขึ้นเท่านั้น วันที่ 5 สิงหาคม ช็อนได้เลื่อนยศเป็นนายพลผู้มีอำนาจเต็ม ในวันที่ 22 สิงหาคม ช็อนได้รับอนุญาตให้กลับจากหน้าที่สู่ทหารกองหนุน สาธารณรัฐเกาหลีที่ 5ประธานาธิบดีวาระที่ 11 ของเกาหลีใต้ (2523-2524)ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2523 ประธานาธิบดี เช กิวฮา ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันที่ 27 สิงหาคม สภาแห่งชาติเพื่อการรวมประเทศ ในขณะนั้นถูกควบคุมโดยคณะผู้เลือกตั้งแห่งเกาหลีใต้ ได้ลงคะแนนเลือกนายช็อนเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เพราะนายช็อนเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2523 เป็นประธานาธิบดีวาระที่ 11 ของสาธารณรัฐเกาหลี วันที่ 17 ตุลาคม ช็อนได้ใช้อำนาจสั่งการยุบพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึง "พรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตย" ซึ่งได้จัดไว้เป็นฐานอำนาจของ พัก จองฮี ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2524 ช็อนได้ร่างพรรคการเมืองของตนขึ้นมาคือ พรรคยุติธรรมประชาธิปไตย (ดีเจพี) อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจและเจตนาทั้งหมดก็คงเป็นพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตยแต่อยู่ในชื่ออื่นเท่านั้น ภายหลังจากนั้นไม่นาน ช็อนได้รับเอารัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ยังมีความเป็นเผด็จการน้อยกว่ารัฐธรรมนูญยูซินของพัก ซึ่งยังคงให้อำนาจในการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างยุติธรรม ช็อนเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งเป็นสิทธิของเขา และกลายเป็นประธานาธิบดีวาระที่ 12 ของสาธารณรัฐเกาหลี "บันทึกข้อความเกี่ยวกับขีปนาวุธ"ใน พ.ศ. 2523 ในขณะที่เผชิญความตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมทาวทหารของช็อน ประธานาธิบดีช็อนได้ออกบันทึกข้อความว่าประเทศเกาหลีใต้จะไม่พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลเกินกว่า 180 กิโลเมตรหรือความสามารถของหัวรบที่หนักกว่า 453 กิโลกรัม ภายหลังจากได้รับคำสัญญานั้น รัฐบาลของโรนัลด์ เรแกน ก็ได้ให้การรับรองรัฐบาลทหารของช็อน ในปลายทศวรรษที่ 90 เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาได้คุยกับในเรื่องบันทึกข้อความเกี่ยวกับขีปนาวุธ แทนที่จะทำให้บันทึกข้อความนี้สมบูรณ์อย่างเต็มที่ ทั้งสองประเทศได้ตกลงอนุญาตขยายให้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลได้ 300 กิโลเมตร และมีความสามารถของหัวรบ 500 กิโลกรัม ข้อสัญญานี้จะมีผลในปี พ.ศ. 2544 ภายใต้ชื่อระบบควบคุมเทคโนโลยีขีปนาวุธ ประธานาธิบดีวาระที่ 12 ของเกาหลีใต้ (2524-2531)ภายหลังจากได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีลำดับที่ 12 ของสาธารณรัฐเกาหลีในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ช็อนได้ปฏิเสธความเป็นประธานาธิบดีของพัก จองฮี ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงต่อการโจมตีจากการอ้างอิงจากเรื่องการปฏิวัติเดือนเมษายนของพักที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ช็อนประกาศว่าจะฟื้นฟูความยุติธรรมกลับมาสู่รัฐบาลก็กำจัดความฉ้อฉลและการฉ้อราษฎร์บังหลวงของประธานาธิบดีพัก จองฮี[6] เป็นการเริ่มต้นด้วยการล้มล้างเป็นการฝึกฝนที่จะเป็นประธานาธิบดีมากกว่าหนึ่งสมัย และขยายสมัยของประธานาธิบดีเป็นเจ็ดปี ช็อนได้สรุปส่วนสำคัญว่าเป้าหมายของเขาคือโปรแกรมช่วยเหลือสวัสดิการสังคม,ตรึงราคาสินค้า,กำจัดอาชญากร,พัฒนาเศรษฐกิจ,ประสบความสำเร็จในการจัดงานโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1988 ที่เกาหลีจะเป็นเจ้าภาพ,และภาพรวมการค้าระหว่างประเทศเป็นไปได้ด้วยดี ช็อนบริหารประเทศแบบเผด็จการ อย่างไรก็ตาม เขาก็มีอำนาจน้อยเมื่อเทียบกับพัก สมัยพักเป็นประธานาธิบดี ในการใช้อำนาจในหลายๆส่วนของช็อนค่อนข้างจะอ่อนแอ แผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ทฤษฎีที่ว่าประธานาธิบดีช็อนพยายามที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และได้ล้มเลิกโครงการไปตามคำกล่าวอ้างของสหรัฐอเมริกา รัฐบาลของช็อนไม่ได้มีอิทธิพลทางการเมืองที่สำคัญเหมือนอย่างในสมัยที่พักเป็นประธานาธิบดี รัฐบาลของเขาไม่อาจละเลยความต้องการของสหรัฐอเมริกา และเขาไม่มีทางเลือกจึงต้องยุติการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์[7][8] ช็อนกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และอเมริกา ซึ่งอาจนำมาซึ่งจุดจบอย่างสำคัญของอำนาจเผด็จการอย่างยาวนานของพัก จองฮี และชุนอยากได้การรับรองอย่างถูกต้องของรัฐบาลของเขาตามกฎหมายจากสหรัฐอเมริกา การปฏิรูปการเมืองภายหลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ช็อนจำกัดการติวนอกโรงเรียนและห้ามการสอนตัวต่อตัวหรือการติวแบบตัวต่อตัว ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2523 ช็อนได้ยกเลิก กฎหมายที่กำหนดความผิดของการรวมกลุ่มสมาคม ใน พ.ศ. 2524 ช็อนได้ออกกฎหมาย "แคร์แอนคัสทูดี" (Care and Custody) ช็อนเชื่อว่า อาชญากรที่พึ่งพ้นจากคุกมาจะไม่กระทำผิดซ้ำอีกทันทีที่กลับเข้าสู่สังคม ในฤดูหนาวปี พ.ศ. 2527 ก่อนที่ช็อนจะประกาศหยุดพักการชำระหนี้ของเกาหลีใต้ ช็อนได้ไปเยือนญี่ปุ่นและขอกู้ยืมเงินหกพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการรัฐประหารยึดอำนาจและการปะทะหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วประเทศ การเมืองภาคพลเมืองมีความต้องการที่จะไม่ใส่ใจ และในวิถีทางนโยบาย 3เอสคือ เอส-เซ้กส์,เอส-สกรีนและเอส-สปอร์ต นั่นผ่านความเห็นชอบ บนพื้นฐานในทางที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของนักกิจกรรมชาวญี่ปุ่น เซจิมะ เรียวโจ โดยช็อนพยายามที่จะดึงดูดประชาชนเพื่อที่จะเป็นการรับประกันว่าการเตรียมการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนใน พ.ศ. 2531 จะประสบความสำเร็จ ช็อนได้ออกกฎหมายหลายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อทำสิ่งนี้ให้เสร็จสิ้น เช่น ร่างลีกเบสบอล,ฟุตบอลอาชีพ,เริ่มถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์สีให้ครอบคลุมทั่วประเทศบรรเทาการเซ็นเซอร์ที่อยู่ในภาพยนตร์และละคร,สร้างเครื่องแบบนักเรียนและอื่นๆ ใน พ.ศ. 2524 ช็อนได้จัดการเทศกาล "โคเรียน บรีซ" อย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากรประชาชน ความพยายามลอบสังหารความพยายามลอบสังการเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2526 โดยสายลับชาวเกาหลีเหนือ ระหว่างช็อนไปเยือนพม่า ระเบิดในครั้งนั้นได้ทำให้ผู้ติดตามของช็อน 17 คน รวมถึงคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ชาวพม่า 4 คน[9] นโยบายด้านต่างประเทศช็อน ดู-ฮวันเป็นประธานาธิบดีในช่วงที่สงครามเย็นถึงจุดสูงสุด และนโยบายทางด้านการต่างประเทศของเขาทำให้มีการยุติกับประเทศคอมมิวนิสต์ไปรอบบริเวณ ไม่เพียงจากเกาหลีเหนือ อีกด้วย หลังจากนั้นเริ่มสถาปนาทางการทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาสหรัฐอเมริกาได้กดดันให้เกาหลีใต้ยุติแผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่นได้รายงานอย่างกว้างขวางว่าช็อนเป็นผู้นำโดยพฤตินัย ของประเทศหนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวสู่การเป็นประธานาธิบดี ความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือใน พ.ศ. 2525 ช็อนได้ประกาศ "โครงการการรวมชาติอย่างสันติของประชาชนชาวเกาหลี" แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากเกาหลีเหนือว่าโครงการนี้ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นได้ ความสัมพันธ์กับฟิลิปปินส์จาก พ.ศ. 2529 ถึง 2531 ช็อนและประธานาธิบดีคอราซอน อากีโนของฟิลิปปินส์ ได้พูดคุยกันระหว่างสองประเทศเพื่อที่จะสร้างเศรษฐกิจของประเทศฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งทางด้านสังคมและความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ การสิ้นสุดสาธารณรัฐที่ 5โน ชินยองจากจุดเริ่มต้นในการเป็นประธานาธิบดีของช็อนได้จัดเตรียมการให้ โน ชินยองเป็นผู้สืบทอดอำนาจของเขา ใน พ.ศ. 2523 ขณะที่เป็นเอกอัครราชทูตประจำอยู่ที่เจเนวา โนชินยองได้ถูกเรียกกลับ และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2525 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และใน พ.ศ. 2528 ก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเรื่องนี้เป็นที่แพร่หลาย ผู้สนับสนุนช็อนได้ทำการวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการเลือกผู้สืบทอดอำนาจ ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีส่วนกับกองทัพ ซึ่งเชื่อว่าผู้สืบทอดอำนาจของช็อนก็ต้องมาจากกองทัพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่มาจากตำแหน่งทางการเมือง และในที่สุดแล้วช็อนก็ได้ทำให้กระจ่างโดยการเปลี่ยนตำแหน่งของโน ไม่ให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจของเขา ถนนสู่ประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญปี 2524 ได้กำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นได้หนึ่งสมัย สมัยละ 7 ปี ในขณะที่ช็อนไม่พยายามที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนั้นช็อนสามารถที่จะกลับมาทำงานได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2530 ทำให้เขามีข้ออ้างในการต่อต้านประชาธิปไตย ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2530 ช็อนได้กล่าวสุนทรพจน์ "การปกป้องรัฐธรรมนูญ" เขาประกาศว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เขาสามารถที่จะจัดการกับอำนาจเหนือกองทัพที่สนับสนุนเขาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 บนพื้นฐานของการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยทางอ้อมคล้ายกับการเลือกตั้งของช็อนเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา คำประกาศดังกล่าวทำให้ผู้รักประชาธิปไตยในเกาหลีใต้โกรธแค้น และในการทำเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่องที่กระทำร่วมกันของรัฐบาลช็อนในปีนั้น ทำให้ผู้ประท้วงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เริ่มด้วยการประกาศสุนทรพจน์ที่โบสถ์โซลอีพิสคะเพิลแอนเจลลิก และในที่สุดก็นำไปสู่การเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยในเดือนมิถุนายน เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้ รัฐบาลของช็อนจึงต้องประนีประนอม และในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2531 เขาประกาศว่าโนห์ แทวู เป็นตัวแทนจากพรรคยุติธรรมประชาธิปไตย (ดีเจพี) และนี่จะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในรอบ 30 ปีของเกาหลี ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ช็อนประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคดีเจพี เหลือเพียงตำแหน่งประธานผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ก็ยังให้เป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการที่จะสามารถควบคุมการเลือกตั้งที่จะมาถึงของ โนห์ การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2530ครบสมัยการเป็นประธานาธิบดีของช็อน และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 โนห์ชนะการเลือกตั้งในการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกในรอบ 30 ปีของเกาหลี โดยชนะคู่แข่งอย่าง คิม แดจุง และ คิม ยองซัม ชีวิตหลังจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ในการลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีเพราะสิ้นสุดสมัยของเขา ช็อนยังมีชื่อเป็นประธานของคณะกรรมการรัฐบุรุษแห่งชาติ และจากตำแหน่งนี้ทำให้เขายังมีอิทธิพลในการเมืองระดับชาติอยู่ และในปีนั้นพรรคดีเจพีเสียที่นั่งในการเลือกตั้งสภาระดับชาติให้กับฝ่ายค้านหลายที่นั่ง ปูทางไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "การไต่สวนสาธารณรัฐที่ 5" การไต่สวนนี้รัฐสภาได้จุดประกายเรื่องเหตุการณ์ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูและจะเป็นผู้รับผิดชอบอย่างไรกับการฆาตกรรมหมู่ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ช็อนได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อหน้าสาธารณชนทั่วประเทศ และให้เงินของเขากลับคืนสู่ประเทศช็อนลาออกจากทั้งตำแหน่งประธานคณะกรรมการรัฐบุรุษแห่งชาติและตำแหน่งในพรรคดีเจพี โน แทอูช็อนเป็นผู้ให้การสนับหลักในการเป็นประธานาธิบดีของโนห์ แทวู คิม ยองซัมภายหลังคิม ยองซัมทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีใน พ.ศ. 2536 คิมประกาศว่าระหว่างสมัยของ ช็อน ดู-ฮวัน กับสมัยของ โนห์ แทวู นั้นมีการรับสินบนถึง 4 แสนล้านวอน และพวกเขาต้องถูกควบคุมตัวเพื่อไต่สวนพิสูจน์ความจริง การสืบสวน ช็อนและโนห์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ประชาชนพากันร้องไห้อย่างเสียงดัง ในเรื่องเกี่ยวกับการรัฐประหาร 12 ธันวาคม พ.ศ. 2521 และเหตุการณ์นองเลือดในกวางจู ดังนั้น คิม ยองซัมได้ประกาศเริ่มต้นการเคลื่อนไหวออกกฎหมายเอาผิดย้อนหลัง ที่มีชื่อว่า ร่างรัฐบัญญัติพิเศษ 5-18 การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญประกาศว่าการกระทำของช็อนขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้พนักงานอัยการเริ่มทำการสืบสวนอีกครั้ง ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ช็อนและอีก 16 คนถูกจับกุมในข้อหาสมคบคิดและก่อการกบฏ ในเวลาเดียวกันการสืบสวนในเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 การไต่สวนต่อสาธารณชนก็เริ่มต้นขึ้น วันที่ 26 สิงหาคม ศาลเขตกรุงโซลก็มีคำพิพากษาประหารชีวิต ต่อมาในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ศาลสูงเขตกรุงโซลได้ออกคำพิพากษาให้จำคุกและจ่ายค่าปรับคำนวณ 220,500,000,000 วอน ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2540 การตัดสินคดีได้มาถึงที่ศาลสูง ช็อนได้ถูกพิพากษาว่ามีความผิด เป็นผู้นำในการก่อการจลาจล,สมคบคิดในการก่อจลาจล,เข้าไปมีส่วนร่วมในการจลาจล,ออกคำสั่งเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยมิชอบ,ละทิ้งหน้าที่ระหว่างกฎอัยการศึก,ฆาตกรรมข้าราชการระดับสูง,พยายามฆาตกรรมข้าราชการระดับสูง,ฆาตกรรมนายทหารผู้ใต้บังคับบัญชา,เป็นผู้นำในการก่อการกบฏ,สมคบคิดในการก่อกบฏ,เข้าไปมีส่วนร่วมในการกบฏ,ฆาตกรรมโดยมีเหตุจูงใจเพื่อก่อกบฏและอาชญากรรมอย่างหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบน ภายหลังศาลได้อ่านคำพิพากษา ช็อนเริ่มต้นชีวิตในเรือนจำ ในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2540 คำพิพากษาของช็อนได้รับการลดโทษโดยประธานาธิบดี คิม ยองซัม ด้วยคำแนะนำของคิม แดจุง แต่ช็อนไม่ได้รับการลดโทษในส่วนที่เกี่ยวกับค่าปรับ เขาได้จ่ายจ่ายเพียง 53,200,000,000 วอน ไม่ถึงหนึ่งในสี่ส่วนของค่าปรับทั้งหมดที่ศาลพิพากษา ช็อนได้กล่าวคำพูดที่มีชื่อเสียง โดยกล่าวว่า "ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีเงินเพียง 25,000 วอนเท่านั้นที่อยู่ในชื่อของฉัน" ที่เหลืออีก 167,300,000,000 วอนนั้น ช็อนไม่เคยได้จ่ายเลย การเรียกคืนเหรียญตราทางทหารจากกฎหมาย "รัฐบัญญัติพิเศษ 18 พฤษภาคม" เหรียญตราทั้งหมดสำหรับทหารในการเข้าแทรกแซงขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูได้ถูกเรียกกลับคืนสู่รัฐบาล แต่ก็ยังเหลืออีก 9 เหรียญที่ยังไม่ได้คืนให้รัฐบาล เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|