ซาตาน
ตามคติศาสนาอับราฮัม ซาตาน (ฮีบรู: שָּׂטָן; อังกฤษ: Satan หมายถึง "ศัตรู" หรือ "ปฏิปักษ์"; อาหรับ: الشَّيطان ชัยฏอน หมายถึง "หลงผิด") หรือ ซามาเอล (Samael) เป็นสิ่งที่นำพาความชั่วร้ายและเป็นผู้ชักจูงมวลมนุษย์ไปในทางที่ผิด[1][2] ในบางศาสนาสอนว่าซาตานคือทูตสวรรค์ที่เคยเปี่ยมด้วยความงดงามและเป็นที่เคารพ คัมภีร์ของหลายศาสนาล้วนบอกตรงกันว่าซาตานเป็นผู้ทำให้เกิดสงครามบนสวรรค์จนตัวเองตกจากสวรรค์ คำเรียกอื่นของซาตานได้แก่ ทูตของพระยาห์เวห์, ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ขัดขวาง หรือ ผู้ต่อต้าน, งูดึกดำบรรพ์, นาค, มังกร, มารร้าย, และซามาเอล (ที่แปลว่า พิษของพระผู้เป็นเจ้า) คัมภีร์ฮีบรูในคัมภีร์ฮีบรูมีการกล่าวถึงซาตานในฐานะทูตสวรรค์ โดยเรียกว่า "ทูตของพระยาห์เวห์"[3] หรือ "ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า" หนังสือกันดารวิถีมีการเล่าเรื่องตอนซาตานยืนรอฆ่าชายที่ชื่อบาลาอัม เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระยาห์เวห์ "พระเจ้ากริ้วบาลาอัม...ดังนั้นทูตของพระยาห์เวห์มายืนขวางทางเป็นผู้ขัดขวางบาลาอัม ส่วนบาลาอัมขี่ลา เมื่อลานั้นเห็นทูตของพระยาห์เวห์ถือดาบในมือยืนขวางทางอยู่ ลาก็เลี้ยวออกจากทางและเดินเข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปตามทางเดิน" ซาตานขวางทางลาถึงสามครั้ง (บาลาอัมไม่เห็น แต่ลาเห็น) เมื่อลาพยายามเดินไปทางอื่น บาลาอัมก็จะตีลาของตนเอง เมื่อบาลาอัมตีลาครั้งที่สาม พระยาห์เวห์เปิดเนตรของบาลาอัมให้มองเห็นซาตาน บาลาอัมเห็นซาตานก็ก้มลงกราบ ซาตานถามว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง? ดูซิ เรามาขัดขวางเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา ลาได้เห็นเรา และหลีกไปจากหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันไม่ได้หลีกไปจากหน้าเรา เราคงฆ่าเจ้าแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่"[4] บาลาอัมพูดกับซาตานว่า "ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนขวางทางต้านข้าพเจ้าอยู่ บัดนี้ถ้าท่านไม่เห็นชอบ ข้าพเจ้าก็จะกลับไป" หนังสือของซามูเอลมีการกล่าวถึงตอนที่ซาตานรับบัญชาพระเจ้านำพาโรคระบาดทำลายชาวอิสราเอล "อีกครั้งหนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอล...ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกิดโรคระบาดในอิสราเอลตั้งแต่เช้าวันนั้นจนครบกำหนด จากดานจดเบเออร์เชบา มีผู้เสียชีวิตเจ็ดหมื่นคน เมื่อทูตสวรรค์เงื้อมือขึ้นจะทำลายล้างกรุงเยรูซาเลม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทุกข์พระทัยเนื่องด้วยภัยพิบัตินั้น จึงตรัสกับทูตนั้นว่า “พอแล้ว! ยั้งมือเถิด”"[5] หนังสือของโยบมีการเล่าถึงตอนซาตานโจมตีคุณธรรมของชายชื่อโยบ "วันหนึ่งบรรดาทูตสวรรค์มาชุมนุมกันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ซาตานก็มาด้วย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากที่ไหน?” ซาตานทูลตอบองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่องเที่ยวไปมาในโลกพระเจ้าข้า”[6] พระยาเวห์ชวนคุยเรื่องข้ารับใช้ที่ชื่อโยบ ทรงชมว่าเป็นคนดีต่างๆนา ซาตานได้ฟังดังนั้นก็ทูลว่า "โยบยำเกรงพระเจ้าโดยไม่หวังอะไรเลยหรือ?...ลองพระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกทำลายทรัพย์สินทุกอย่างของเขาสิ รับรองว่าเขาจะแช่งด่าพระองค์ต่อหน้าเลยทีเดียว”[6] พระผู้เป็นเจ้าจึงอนุญาตให้ซาตานทำอะไรก็ได้กับทุกสิ่งที่โยบมี แต่ห้ามแตะต้องตัวเขาเป็นอันขาด ซาตานจึงเริ่มเล่นงานโยบอย่างหนักจนสูญสิ้นทรัพย์สินและลูกทั้งสิบคน กระนั้นโยบก็หาได้แช่งด่าพระผู้เป็นเจ้าดั่งที่ซาตานคิด และยังคงสรรเสริญพระองค์ ในการประชุมทูตสวรรค์อีกครั้ง พระผู้เป็นเจ้าทรงชมโยบว่าซื่อสัตย์ทั้งที่ถูกซาตานเล่นงานสารพัด ซาตานจึงทูลว่า "ลองพระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกทำลายเลือดเนื้อร่างกายของเขาสิ รับรองว่าเขาจะแช่งด่าพระองค์" พระผู้เป็นเจ้ายอมให้ซาตานทำอะไรก็ได้กับตัวโยบแต่ไม่ให้ถึงตายเป็นอันขาด ในที่สุดโยบป่วยเป็นโรคร้ายที่ทรมาณมาก ภรรยาของโยบถึงกับพูดว่า “ยังจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่อีกหรือ? แช่งด่าพระเจ้าแล้วตาย ๆ ไปเถอะ!”[7] โยบตอบว่า "เราจะเอาแต่อะไรดี ๆ จากพระเจ้าเที่ยงแท้ แล้วอะไรที่ไม่ดีจะไม่เอาเลยหรือ?”" จนแล้วจนรอดโยบก็ไม่แช่งด่าพระเจ้า หนังสือของเศคาริยาห์เศคาริยาห์เล่าถึงซาตานในฐานะอัยการสวรรค์ เป็นโจทย์ฟ้องร้องความผิดบาปของชนชาติยิวต่อพระยาห์เวห์องค์ตุลาการ "ทูตองค์นั้นได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นมหาปุโรหิตโยชูวายืนอยู่ต่อหน้าทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า และซาตานยืนอยู่ขวามือของเขาเพื่อกล่าวหาเขา" พระยาห์เวห์เห็นหน้าโยชูวาก็ตำหนิซาตาน "“ซาตาน! เราตำหนิเจ้า เราผู้เลือกสรรเยรูซาเล็มตำหนิเจ้า! ชายผู้นี้เป็นดุ้นฟืนติดไฟร้อนที่ถูกดึงออกจากไฟไม่ใช่หรือ?”"[8] หนังสือพงศ์กษัตริย์กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลไม่แน่ใจว่าควรตีเมืองราโมทกิเลอาดของชาวอารัมดีหรือไม่ จึงถามบรรดาผู้เผยพระวจนะสี่ร้อยคน ทุกคนต่างบอกว่าพระเป็นเจ้าอยู่ข้างอาหับ และอาหับจะชนะศึก มีเพียงผู้เผยพระวจนะคนเดียวที่ชื่อมีคายาห์เล่าว่า เขาเห็นนิมิตว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียกประชุมสวรรค์และตรัสว่า "ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?" ซาตานเสนอตัวขึ้นมา พระผู้เป็นเจ้าถามว่าจะทำยังไง ซาตานจึงทูลว่า "ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ" พระเป็นเจ้าตกลง "เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด"[9] กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลไม่เชื่อเรื่องที่มีคายาห์เล่า รับสั่งให้นำตัวมีคายาห์ไปขัง แล้วจึงยกทัพไปตีเมืองราโมทกิเลอาดและถูกธนูยิงสิ้นพระชนม์ที่นั่น ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ มักไม่ค่อยกล่าวถึงชื่อ "ซาตาน" โดยตรง บ้างก็ใช้คำว่า "มาร" บ้างก็ใช้คำว่า "มังกร" (ในนิกายคาทอลิก) บ้างก็ใช้คำว่า "นาค" (ในนิกายโปรเตสแตนต์)[10] บ้างก็ใช้คำว่า "ศัตรู/ปฏิปักษ์"[11] หนังสือวิวรณ์ระบุถึงพญานาคและเหตุการณ์ว่า "...พญานาคสีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา และบนหัวทั้งเจ็ดมีมงกุฎเจ็ดอัน และหางของพญานาคตวัดดวงดาวหนึ่งส่วนสามในท้องฟ้า แล้วทิ้งลงมาบนแผ่นดินโลก...ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับบรรดาทูตสวรรค์ของท่านต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับบริวารของมันก็ต่อสู้ แต่มันพ่ายแพ้และพบว่าไม่มีที่อยู่สำหรับพวกมันในสวรรค์อีกต่อไป พญานาคใหญ่ตัวนั้นคืองูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตานผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก มันถูกโยนลงมาที่แผ่นดินโลก และเหล่าบริวารของมันถูกโยนลงมากับมันด้วย"[12] หัวทั้งเจ็ดหมายถึงสติปัญญารอบรู้ เขาทั้งสิบหมายถึงมากด้วยฤทธิ์เดช มงกุฎทั้งเจ็ดหมายถึงอำนาจปกครองเหนือเจ็ดประเทศในแผ่นดินโลก การตวัดดาวหนึ่งในสามทิ้งสู่แผ่นดินโลกหมายถึงการทำให้ทูตสวรรค์หนึ่งในสามตกจากสวรรค์ งูดึกดำบรรพ์หมายถึงงูที่ล่อลวงอาดัมและเอวา หลังจบสงครามบนสวรรค์ "...ทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของบาดาลลึก และถือโซ่เส้นใหญ่ในมือของท่าน และท่านจับพญานาคที่เป็นงูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นมารและซาตาน แล้วมัดมันไว้หนึ่งพันปี แล้วโยนมันลงไปในบาดาลลึกนั้น ใส่กุญแจและประทับตราไว้ เพื่อไม่ให้มันล่อลวงประชาชาติต่างๆ ได้อีกต่อไป จนครบหนึ่งพันปี หลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง"[13] ได้มีการเล่าถึงตอนที่พระเยซูเดินทางไปในถิ่นกันดารมากและไม่ได้เสวยอาหารหลายวัน มารมาทดสอบพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง" พระเยซูตอบว่า “มีคำเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'"[14] มารนำพระเยซูไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับที่ยอดพระวิหารและทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า...ทูตสวรรค์ของพระองค์จะดูแลท่าน...ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน" พระเยซูตอบว่า "มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’"[14] มารนำพระเยซูขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมากและแสดงทั้งความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรในโลกให้พระเยซูเห็น ซาตานทูลพระองค์ว่า “ทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่านหากท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูพูดเสียงดังว่า "เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น! เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’"[14] มีการกล่าวถึงตอนที่พระเยซูสั่งสอนพวกฟาริสีที่สงสัยในตัวพระเยซูและคัดค้านสิ่งที่พระเยซูทำ "ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว....ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด? นี่เป็นเพราะท่านทนฟังคำสอนของเราไม่ได้ พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา แต่พวกท่านไม่เชื่อเราเพราะเราพูดความจริง"[15] อ้างอิง
ดูเพิ่ม |