Share to:

 

โปรเตสแตนต์

นิกายโปรเตสแตนต์ (อังกฤษ: Protestantism) เป็นนิกายหนึ่งในศาสนาคริสต์ ใช้หมายถึงคริสต์ศาสนิกชนใด ๆ ที่ไม่ใช่โรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์ โปรเตสแตนต์เป็นขบวนการศาสนาที่มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศเยอรมนีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เพื่อคัดค้านหลักความเชื่อและการปฏิบัติแบบโรมันคาทอลิก โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับความรอด การทำให้ชอบธรรม และคริสตจักรวิทยา โปรเตสแตนต์แบ่งออกเป็นหลายคริสตจักรย่อย ซึ่งยึดหลักความเชื่อแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปจะยอมรับหลักการเหมือนกันว่ามนุษย์จะเป็นคนชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยพระคุณจากพระเจ้าผ่านทางความเชื่อเท่านั้น (เรียกว่าหลักโซลากราเซียและโซลาฟีเด) เชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนเป็นปุโรหิต และคัมภีร์ไบเบิลมีอำนาจสูงสุดในการกำหนดหลักความเชื่อและศีลธรรม (เรียกว่าหลักโซลาสกริปตูรา)

ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศิษย์ของมาร์ติน ลูเทอร์ ได้ตั้งคริสตจักรอิแวนเจลิคัลแห่งเยอรมนีและสแกนดิเนเวียขึ้น ส่วนคริสตจักรปฏิรูปในประเทศฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส ตั้งขึ้นโดยฌ็อง กาลแว็ง และนักปฏิรูปศาสนาคนอื่น ๆ เช่น ฮุลดริช ซวิงลี นอกจากนี้ยังมีจอห์น น็อกซ์ ที่ตั้งคริสตจักรปฏิรูปในฮังการีขึ้น ในประเทศอังกฤษการปฏิรูปศาสนานำโดยคริสตจักรแห่งอังกฤษ และยังมีขบวนการปฏิรูปศาสนาอีกหลายกลุ่มเกิดขึ้นทั่วยุโรปภาคพื้นทวีป เช่น การปฏิรูปแบบรุนแรง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกลุ่มอนาแบ๊บติสต์ โมราเวียน และขวนการไพเอทิสต์อื่น ๆ

ในประเทศไทยเรียกคริสต์ศาสนิกชนนิกายโปรเตสแตนต์ว่า "คริสเตียน"

ประวัติ

นิกายโปรเตสแตนต์มีกำเนิดมาจากความคิดเห็นที่แตกแยกกันในเรื่องความเชื่อและการใช้ชีวิตของคริสตชน โดยคำว่า "โปรเตสแตนต์" (Protestant) แปลว่า "ผู้ประท้วง" หรือ "ผู้คัดค้าน" แยกตัวออกมาจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกในปี ค.ศ. 1529 โดย มาร์ติน ลูเทอร์ และผู้สนับสนุน ในช่วงที่คริสตจักรคาทอลิกเกิดปัญหาขึ้นมากมาย

มาร์ติน ลูเทอร์ (10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1483-1546) เกิดที่เมืองไอสเลเบน รัฐซัคเซิน ประเทศเยอรมนี บิดามารดาเป็นคนยากจนและไม่ได้รับศึกษา เมื่อเติบโตขึ้นก็ไม่มีเงินจะให้ลูเทอร์เข้าโรงเรียน ลูเทอร์ต้องเที่ยวร้องเพลงขอทานตามบ้านต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนในโรงเรียน เผอิญมีหญิงมั่งคั่งคนหนึ่งเกิดความเมตตาได้ช่วยเหลือให้เข้ามหาวิทยาลัยเมื่อ ค.ศ. 1500

ลูเทอร์ได้ศึกษาเทววิทยา วรรณคดี ดนตรี และที่เอาใจใส่มากที่สุดคือกฎหมาย บิดาของลูเทอร์ก็ปรารถนาให้ลูเทอร์เป็นนักกฎหมาย แต่เมื่ออายุ 22 ปีเกิดเหตุการณ์หนึ่งคือเพื่อนของลูเทอร์ถูกฆ่าตายในระหว่างดวลต่อสู้กับบุคคลหนึ่ง ทำให้ลูเทอร์กลายเป็นคนกลัวผี ขี้ขลาด ต่อมาอีก 2-3 วันลูเทอร์จะเข้าประตูมหาวิทยาลัย ก็เกิดฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่ามาใกล้ ๆ ลูเทอร์ได้อธิษฐานว่า ถ้ารอดพ้นไปได้จะบวชเป็นพระ

ต่อมาในไม่ช้าในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1505 ลูเทอร์ก็เข้าไปอยู่ในอารามคณะออกัสติเนียนในมหาวิทยาลัยวิทเทนแบร์ก ตั้งหน้าศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างเอาใจใส่ เป็นคนเฉลียวฉลาด พูดเก่ง จนในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้น

ในปี ค.ศ. 1511 ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาราม ลูเทอร์ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่โรม และได้พบเห็นชีวิตของพระสันตะปาปาโอ่โถงหรูหราจนเกือบไม่มีกษัตริย์องค์ใดสู้ได้ และเห็นว่านักบวชไม่ควรดำเนินชีวิตอย่างนั้น

จนในปี ค.ศ. 1515 สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 อยากจะสร้างโบสถ์ให้งดงามสมตำแหน่งจึงได้ตั้งบัญญัติใหม่ว่า ถึงแม้จะทำความผิดเป็นอุกฉกรรจ์มหันตโทษเพียงไร ก็สามารถล้างบาปได้โดยซื้อใบยกโทษบาป และบรรดานายธนาคารทั้งหลายในประเทศต่าง ๆ ก็ตกลงเป็นเอเยนต์รับฝากเงินที่คนทั้งหลายจะชำระล้างบาปโดยไม่ต้องส่งไปกรุงโรม ลูเทอร์ได้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ และเรียกประชุมผู้รู้ทั้งหลายมาปรึกษา โต้เถียงกับบัญญัติใหม่

จนเดือนตุลาคม ค.ศ. 1517 ลูเทอร์ได้นำประกาศที่เรียกว่า ”ญัตติ 95 เรื่อง” (The 95 Theses) ไปปิดไว้ที่ประตู้หน้าโบสถ์เมืองวิทเทนแบร์ก ซึ่งมีเนื้อหาประณามการขายใบไถ่บาปของสมเด็จพระสันตะปาปา และการกระทำที่เหลวแหลกอื่น ๆ ความคิดของลูเทอร์ได้รับการสนับสนุนจากมหาชนเยอรมันเป็นจำนวนมาก แล้วแพร่หลายออกไปทั่วทวีปยุโรป

การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาและฝ่ายมุขนายกไม่พอใจ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1520 ลูเทอร์ได้รับหมายขับออกจากศาสนจักร (Excommunication) ทำให้ลูเทอร์ต้องออกจากเขตปกครองของจักรพรรดิ ไปหลบที่วอร์มส์พร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ที่นั่นท่านได้แปลพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเยอรมัน และได้เขียนงานเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งมิสซาและพิธีศักดิ์สิทธิ์ (Sacraments) ซึ่งลูเทอร์ตั้งใจที่จะให้ชาวบ้านซึ่งไม่เข้าใจภาษาละติน สามารถเข้าถึงหลักคำสอนและมีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ ได้

ตั้งนิกายลูเทอแรน

มาร์ติน ลูเทอร์

นิกายลูเทอแรนเกิดขึ้นโดยมีหลักความเชื่อดังนี้

1. ผู้ชอบธรรมจะต้องดำรงชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น (The Just shall live by Faith alone) คือยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์และความรอด เป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ และการไถ่บาปได้มาจากพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นการต่อต้านความเชื่อของสถาบันสันตะปาปา เกี่ยวกับความจำเป็นของพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อความรอดและการไถ่บาป

2. ผู้ที่เชื่อทุกคนคือผู้รับใช้พระเจ้า (Priesthood of all Believers) คือการยกเลิกนักบวชในศาสนาว่าเป็นผู้กุมกรรมสิทธิ์ในการติดต่อกับพระเจ้า ตามการกล่าวอ้างของศาสนจักร แต่เน้นสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะสามารถมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้าได้

3. เชื่อในคำตรัสของพระเยซูในการรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ถือว่ามีความหมายยิ่งของศาสนาเพราะเป็นการสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูและมนุษย์

4. สิทธิอำนาจสูงสุดมีสิ่งเดียวคือ ”พระวจนะของพระเจ้า” (Word of God) นั่นคือพระวจนะที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล, พระวจนะที่ได้ยินจากคำเทศน์บนธรรมมาสน์ และพระวจนะที่อยู่ในพิธีบัพติสมาและศีลมหาสนิท ดังนั้นจึงเป็นการยกเลิกการยอมรับตามสถาบันสันตะปาปาที่ว่าที่มาแห่งสิทธิอำนาจในศาสนาประกอบด้วยพระคัมภีร์ พิธีกรรม และศาสนจักรคือเป็นการประกาศยกเลิกอำนาจของสันตะปาปานั่นเอง

5. เชื่อในพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจพระองค์ ทำให้มนุษย์ไร้ความหมายที่จะกระทำสิ่งใดด้วยใจอิสระของตนเองเพื่อเปลี่ยนแปลงพระประสงค์ และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้

โดยข้อคิดทั้งหมดนี้ถือเป็นหลักของ ”กลุ่มคริสตจักรปฏิรูป” (Reformed Church) ซึ่งประกาศเป็นทางการในปี ค.ศ. 1530 ณ การประชุมที่เอาก์สบูร์ก (The Diet of Augsburg) ที่แบ่งแยกผู้ติดตามลูเทอร์เป็นนิกายใหม่แยกจากคริสตจักรที่โรม เอกสารรวมความเชื่อนี้เรียกว่าเอกสาร ”การสารภาพแห่งเมืองเอาก์สบูร์ก” (The Confession of Augsburg) ซึ่งเรียกรวมขบวนการปฏิรูปศาสนาที่แยกตัวจากโรมนี้เรียกว่า พวกโปรเตสแตนต์ (The Protestants)

หลังจากการประท้วงดังกล่าวได้ทำให้เกิดคลื่นกระแสการปฏิรูปศาสนาในยุโรปขยายออกไป เริ่มจากในเยอรมนีโดยลูเทอร์ ไปสวิสเซอร์แลนด์โดยฮุลดริช ซวิงลี (Huldrych Zwingli ค.ศ. 1484-1531), ในฝรั่งเศสโดยจอห์น คาลวิน (John Calvin ค.ศ. 1509-1564) และกลายเป็นลัทธิคาลวิน (Calvinism) ซึ่งแพร่หลายอย่างรวดเร็วไปยังเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ฮังการี สกอตแลนด์ และโปแลนด์ ในประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 (ค.ศ. 1509-1547) ซึ่งประสงค์จะหย่าจากพระมเหสีเพื่อจะอภิเษกสมรสกับคนใหม่ เพราะคนเดิมไม่สามารถมีพระโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ แต่พระสันตะปาปาไม่อนุญาตให้หย่า อังกฤษจึงแยกจากโรมนับแต่นั้นโดยตั้งองค์การขึ้นมาใหม่เรียกว่า ”คริสตจักรแห่งอังกฤษ” (Church of England) ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งประมุขเสียเอง ซึ่งนิกายแองกลิคันนี้ยังคงรักษาหลักสำคัญบางประการของคาทอลิกไว้เพียงแต่ไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของสันตะปาปาเท่านั้น

การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์

การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ คือขบวนการการปฏิรูปศาสนาที่เริ่มโดยมาร์ติน ลูเทอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1517 เพื่อแก้ไขความเสื่อมโทรมของนิกายโรมันคาทอลิกและสถาบันสันตะปาปา มาเสร็จสิ้นลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ. 1648[1] ผลจากการปฏิรูปคือการแยกตัวจากนิกายคาทอลิกมาเป็นนิกายโปรเตสแตนต์

คริสตจักรและคณะต่าง ๆ ในนิกายโปรเตสแตนต์

การกำเนิดของนิกายโปรเตสแตนต์ มีผลสำคัญทั้งทางศาสนา และการเมืองมาก เพราะเป็นการทำลาย การติดต่อเกี่ยวพัน ในระหว่างพวกคริสต์ และทำให้กลุ่มคาทอลิก สังคายนาระเบียบ ของตัวเองให้เรียบร้อยขึ้น ขณะเดียวกันยังทำให้ฝ่ายคาทอลิก ตัดรอนอำนาจของสันตปาปาในกรุงโรม ทำให้เกิดรัฐอิสระอีกหลายแห่ง ดังนั้น ในช่วงนี้ จึงเรียกว่าเป็น ช่วงปฏิรูปศาสนาหรือ Reformation การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อนิกายเล็ก ๆ ในภายหลัง โดยกลุ่มที่เป็นตัวเคลื่อนไหวนี้ มีดังนี้คือ

(ไม่ได้แสดงนิกายที่มิใช่ไนซีน, ไม่ถือตรีเอกานุภาพ, และนิกายฟื้นฟูบางนิกาย)
โปรเตสแตนต์โดยศาสนาประจำชาติ:

นิกายลูเทอแรน

นิกายลูเทอแรน (Lutheranism) เป็นผลจากการปฏิรูปศาสนาของลูเทอร์ แม้เขาต้องลี้ภัย แต่ทำให้มีเวลาแปลพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเยอรมัน และได้เขียนเกี่ยวกับพิธีกรรมรวมทั้งศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาเยอรมัน เพื่อให้ชาวบ้านและคนทั่วไปสามารถเข้าใจหลักคำสอนและพิธีกรรม ซึ่งแต่เดิมมาเขียนเป็นภาษาละติน จึงยากแก่การสื่อความหมายให้เข้าถึงได้ จึงรู้ได้เฉพาะปัญญาชน นักบวช และนักศาสนาเท่านั้น

ผลงานของลูเทอร์นี้ ได้สร้างคุณประโยชน์ แก่ผู้ที่ไม่รู้ภาษาละติน ได้มีโอกาสเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของลูเทอร์ ที่ต้องการให้บุคคลสามารถ รับผิดชอบใน ความเชื่อของตน โดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่ 3 เช่น นักบวช กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในศาสนา เป็นเพียง สิ่งเปลือกนอก ที่ไม่สำคัญเท่ากับการที่บุคคลนั้นได้เผชิญหน้าต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยตนเอง นิกายนี้ จึงได้ตัดประเพณี พิธีกรรม ตลอดจนพิธีศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องออกไปเหลือแต่พิธีบัพติศมาและพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ และสนับสนุนให้บุคคลเอาใจใส่ต่อคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเชื่อว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่ทำให้มนุษย์เข้าถึงความรอดส่วนบุคคล ภายในโบสถ์ของโปรเตสแตนต์ จึงไม่มีรูปเคารพ และศิลปกรรมที่ตกแต่ง ดังเช่น โบสถ์คาทอลิก บนแท่นบูชามีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้น ที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ส่วนอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้เป็นเพียง เปลือกนอกที่มาจากตัณหาของมนุษย์ และทำให้เราเกิดความยึดถือ ยึดติด ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้

นิกายเพรสไบทีเรียน หรือ นิกายสายปฏิรูป

ลัทธิฮุลดริช [ฮุลดริช ซวิงลี] (Huldrych Zwingli) เขากำเนิดที่สวิสเซอร์แลนด์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1484 - 1531 ได้รับแนวความคิดจากลูเทอร์ และปรัชญามนุษยนิยม ฮุลดริชไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า พิธีล้างบาป และพิธีศีลมหาสนิท เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเพียงความเชื่อภายนอกเท่านั้น หาใช่ความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เพราะพิธีล้างบาป ก็คือการปฏิญาณตน และพิธีมหาสนิท ก็คือการระลึกถึงวันเลี้ยงมื้อสุดท้ายของพระเยซูเท่านั้น พิธีเหล่านี้ไม่ใช่พิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ในตัวของมันเอง ดังที่เชื่อกัน ในสมัยนั้น จนทำให้คนส่วนมากละเลยที่จะศึกษาพระวจนะ เขาได้ปรับพิธีกรรมให้เรียบง่าย และเน้นที่แก่นแท้ของคำสอน

•ลัทธิคาลวิน (Calvinism) ผู้ริเริ่มและบุกเบิกนิกายนี้ คือ จอห์น คาลวิน หรือกาลแวง เป็นชาว ฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาที่ มหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาได้สนใจ แนวคิดทางศาสนาของลูเทอร์และสวิงลี จึงได้รับคำสอนเหล่านั้นมาปรับปรุง คำสอนของเขาแพร่หลายเข้าไปถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า เปรสไบทีเรียน หรือ เพรสไบทีเรียน คาลวินมีอิทธิพลในกรุงเจนีวา เขาถูกเชิญไปที่นั่นหลายครั้ง จนกระทั่ง ได้อาศัยอยู่ที่เจนีวา จนสิ้นใจ ในปี 1564 ผลงานที่สำคัญ คือ หนังสือศาสนา ที่ต่อมาได้กลายเป็นหลัก เทวศาสตร์ ของโปรเตสแตนต์ ชื่อ "สถาบันศาสนาคริสต์" (The Institutes of the Christian Religion) แต่เดิมเขียนเป็นภาษาละติน แต่ถูกแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส ในเวลาต่อมา และถูกพิมพ์ถึง4 ครั้ง ในช่วงที่คาลวินมีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มนี้ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจ ศรัทธาของชาวคริสต์ คำสอนของนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป อีกทั้งทำให้เราเข้าใจ อำนาจของพระเจ้า เข้าใจในเรื่องบาปกำเนิดและเทวลิขิต นอกจากนี้ คาลวินได้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยเจนีวา และทำให้กรุงเจนีวา เป็นศูนย์นัดพบของชาวโปรเตสแตนต์ทั่วยุโรป

นิกายแองกลิคัน

นิกายแองกลิคัน (Anglicanism) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "คริสตจักรแห่งอังกฤษ" มีกำเนิดในประเทศอังกฤษ โดยมีสาเหตุมาจากพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ต้องการให้พระสันตะปาปาที่กรุงโรมอนุญาตให้พระองค์หย่าร้างและอภิเษกสมรสใหม่ แต่พระสันตะปาปาทรงปฏิเสธ จึงไม่พอพระทัยประกาศตั้งนิกายใหม่ที่เรียกว่าคริสตจักรแห่งอังกฤษ ไม่ขึ้นต่อกรุงโรม และทรงแต่งตั้งธอมัส แครนเมอร์ เป็นอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี

นิกาย แบปทิสต์ และ เพนเทคอสต์

แบปทิสต์ (Baptist)

เริ่มมาจาก กลุ่มหนึ่งของพิวริตันในอังกฤษ ที่แยกตัวจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ ต่อมาได้ขยายไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา เน้นว่าความรอดเป็นของส่วนบุคคล จึงควรให้บัพติศมาแก่ผู้ที่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้เท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการให้บัพติศมาแก่เด็ก เป็นแบบจุ่มทั้งตัวลงไป โดยอ้างจากรากภาษาเดิมของคำว่า แบ๊บติสต์ แปลว่า การฝังลงไป เป็นเครื่องหมายของการฝังชีวิตเก่าขึ้นจากน้ำ หรือ การเป็นขึ้นมาใหม่ กลุ่มนี้มีพระคัมภีร์เป็นมาตรฐานความเชื่อ และการดำเนินชีวิต ให้ความสำคัญด้านสัมพันธภาพสมาชิก

แคนนาดาได้รับอิทธิพลคำสอนของกลุ่มขบวนการชีวิตที่บริสุทธิ์ (Holiness Movement) แล้วนำมาสอนในโรงเรียน ให้มีการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระคัมภีร์เป็นมาตรฐานของความเชื่อและการดำเนินชีวิต

นิกายเมทอดิสต์

นิกายเมทอดิสต์ (Methodism) เกิดขึ้นโดยจอห์น เวสลีย์ (John Wesley ค.ศ. 1703 - 1791) เป็นชาวอังกฤษ ที่มีจุดประสงค์ ต้องการให้ ผู้นับถือพระเจ้า มีอิสรภาพมากขึ้น สามารถปฏิบัติศาสนา ไปตามหลักของเหตุผลให้เหมาะแก่ชีวิตของตน

นิกายแอดเวนทิสต์

คณะเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ (Seven Day Adventists) เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของนิกายแอดเวนทิสต์ (Adventists) กลุ่มนี้เน้นวันสุดท้ายของโลก และการมาครั้งที่สองของพระคริสต์ในการพิพากษาครั้งสุดท้ายเพื่อทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง การถือรักษาวันสะบาโตแบบชาวยิว คือนมัสการพระเจ้าในวันที่เจ็ดคือวันเสาร์ ทานอาหารตามบัญญัติในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม ผู้นับถือมีทั่วโลก สำหรับประเทศไทยนั้น กลุ่มนี้ได้ส่งศาสนทูตเข้ามาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1918

คณะเควกเกอร์ หรือสมาคมมิตรภาพ (Society of Friends)

คณะเควกเกอร์ (Quaker) เกิดในอังกฤษ โดยจอร์จ ฟอกซ์ (George Fox ค.ศ. 1624 - 1691) แต่แพร่หลายในอเมริกาโดย วิลเลี่ยม เพน (William Penn ค.ศ. 1644-1718) โดยเฉพาะในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นดินแดนแห่งแรกที่เพนได้มาตั้งรกรากและทำการเผยแพร่ศาสนา นิกายนี้ต้องการรื้อฟื้นศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิม จึงเน้นประสบการณ์ตรงในการเข้าถึงพระเจ้า โดยใช้แสงสว่างที่เกิดขึ้นภายใน (Inner Light)

อ้างอิง

  1. Simon, Edith (1966). Great Ages of Man: The Reformation. Time-Life Books. pp. 120–121. ISBN 0662278208.
Kembali kehalaman sebelumnya