ซุคฮอย ซู-30 (อังกฤษ: Sukhoi Su-30, Flanker-C) (นาโต้ใช้ชื่อรหัสว่าแฟลงเกอร์-ซี) เป็นเครื่องบินทางทหารสองเครื่องยนต์ที่สร้างโดยบริษัทการบินซุคฮอยของรัสเซียและเริ่มนำเข้ามาใช้ปฏิบัติการในปีพ.ศ. 2539 มันเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีสองที่นั่งสำหรับภารกิจขัดขวางทางอากาศและพื้นดินในทุกสภาพอากาศ มันเทียบได้กับเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล
เครื่องบินเป็นรุ่นที่ถูกทำให้ทันสมัยของซู-27ยูบีและมีแบบที่หลากหลาย ซู-30เคและซู-30เอ็มเคเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จทางการค้า แบบอื่น ๆ นั้นถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทที่เข้าแข่งขันกันคือเคเอ็นเอเอพีโอ (Komsomolsk-on-Amur Aircraft Production Association, KnAAPO) และอิร์คุต (IRKUT Corporation) ทั้งสองอยูภายใต้ข้อกำหนดของซุคฮอย บริษัทแรกทำการผลิตซู-30เอ็มเคเคและซู-30เอ็มเค2 ซึ่งออกแบบและขายให้กับจีนและอินโดนีเซีย ไอร์คัทสร้างซู-30เอ็มเคที่มีพิสัยไกลและหลากบทบาท ซึ่งรวมทั้งซู-30เอ็มเคไอที่สร้างมาเพื่อกองทัพอากาศอินเดียและแบบอื่น ๆ ที่พัฒนามาจากมันอย่าง เอ็มเคเอ็ม เอ็มเคเอ และเอ็มเควี ถูกสร้างให้กับมาเลเซีย แอลจีเรีย และเวเนซุเอลาตามลำดับ
การพัฒนา
เครื่องบินสกัดกั้นพิสัยไกลซู-27พียู
ในขณะที่ซู-27 มีพิสัยที่ยอดเยี่ยม มันก็ยังขาดความสามารถในการป้องกันที่เพียงพอตามความต้องการของกองกำลังป้องกันทางอากาศของโซเวียต ซึ่งต้องการให้มันทำการปกคลุมทั่วแผนดินอันกว้างใหญ่ของสหภาพโซเวียต ดังนั้นการพัฒนาจึงเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2529 โดยเรียกว่าซู-27พียู ด้วยความสามารถที่แตกต่างจากซู-27 ที่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องบินสกัดกั้นพิสัยไกลหรือกองบัญชาการทางอากาศได้ ซู-27ยูบีแบบสองที่นั่งถูกเลือกเข้าพัฒนาเป็นซู-27พียู เพราะว่ามันมีการทำงานที่เหมือนกับซู-27 ที่นั่งเดียว และยังมีจุดสำคัญที่นักบินสองนายเพื่อทำภารกิจระยะไกล การบินทดสอบเริ่มขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2530 และนำไปสู่การยกเลิกต้นแบบก่อนหน้า ซู-27พียูทำการบินครั้งแรกที่ไอร์คุทสค์ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2532 และสามลำแรกของซีรีส์สทำการบินในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2535
เพื่อใช้งานซู-27ยูบีในบทบาทใหม่ เครื่องบินจึงมีระบบเติมเชื้อเพลิงทางอากาศเพื่อเพิ่มพิสัย ส่วนนี้ถูกติดตั้งที่ด้านซ้ายของจมูก และเพื่อให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสมจึงมีการติดตั้งระบบไออาร์เอสทีเข้าไปที่ด้านขวา ระบบอิเลคทรอนิกอากาศของมันถูกเปลี่ยนใหม่ ด้วยการติดตั้งระบบการสื่อสารพิเศษและอุปกรณ์นำวิถีเพื่อควบคุมรูปขบวนของซู-27 แบบที่นั่งเดียว ห้องนักบินหลังได้รับการติดตั้งจอแสดงผล[ซีอาร์ที]ซึ่งให้ข้อมูลทางยุทธวิธี ระบบนำร่องและระบบควบคุมการบินที่บังคับด้วยข้อมูลฟลาย-บาย-ไวร์ยังถูกพัฒนาอีกเช่นกัน มันมีเรดาร์เอ็น001 ที่ให้ความสามารถในการโจมตีทางอากาศสู่พื้นและเพื่อติดตามและเข้าปะทะหลายเป้าหมายได้ในเวลาเดียวกัน
ซุคฮอยได้เสนอให้ซู-27พียูเป็นอากาศยานที่เป็นผู้สั่งการและควบคุมเครื่องบินขับไล่ในกลุ่มอื่น ๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของการแจ้งเตือนทางอากาศโดยมีผู้นั่งข้างหลังที่ทำหน้าที่ใช้เรดาร์และการแบ่งข้อมูลเพื่อสั่งการเครื่องบินลำอื่น อย่างไรก็ตามโซเวียตไม่สนใจในการซื้อซู-27พียู ซู-27พียูทั้ง 5 ลำพร้อมชื่อใหม่คือซู-30 เป็นแค่เพียงเครื่องบินฝึกในโซเวียต
ซู-30เอ็มสองที่นั่งถูกเสนอให้กับรัสเซียและสร้างออกมาในจำนวนที่น้อยมากในปีทศวรรษที่ 1990
ซูคอยได้เสนอรุ่นสำหรับส่งออก คือ ซู-30เอ็มเค โดยได้ทำการแสดงในงานที่ปารีสเมื่อปีพ.ศ. 2536
การออกแบบ
ซู-30 เป็นเครื่องบินขับไล่หลากบทบาท มันมีสองที่นั่งพร้อมระบบเบรกอากาศที่อยู่ถัดห้องนักบินไปทางด้านหลัง
เครื่องบินขับไล่ความยืดหยุ่นสูง
ซู-30เอ็มเคสามารถทำภารกิจได้อย่างหลากหลายในระยะไกลจากฐานบิน ได้ในทุกสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม ทั้งกลางวันและกลางคืน
เครื่องบินนี้มีความพอดีในด้านยุทธวิธีและการใช้งาน มันทำงานได้ตั้งแต่การตอบโต้ทางอากาศไปจนถึงการโจมตีภาคพื้นดิน การกดดันการป้องกันทางอากาศของศัตรู การสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด และการโจมตีทางทะเล นอกจากนี้ซู-30เอ็มเคยังสามารถทำหน้าที่แจ้งเตือนทางอากาศเช่นเดียวกับควบคุมบัญชาการการโจมตีทางอากาศที่เข้าร่วมภารกิจ
มุมปะทะ
โครงสร้างอากาศพลศาสตร์ของซู-30เอ็มเคเป็นแบบเครื่องบินปีกสามชุดที่มีเส้นแวงที่ไม่เสถียร เพื่อเพิ่มแรงยกที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความคล่องแคล่วของเครื่องบินจึงมีการติดตั้งปีกปลอมเข้าไป พวกมันจะสะท้อนอัตโนมัติเพื่อทำให้การควบคุมยังอยู่ในมือของนักบินในตอนที่ทำมุมปะทะระดับสูง อย่างไรก็ตามมีเพียงซู-30 บางรุ่นอย่างเอ็มเคไดเท่านั้นที่มีปีกปลอม
กระบวนท่าพูกาเชฟส์คอบรา
ด้วยโครงสร้างทางอากาศพลศาสตร์ที่ผสมเข้ากับความสามารถในการควบคุมแรงขับ บวกกับความสามารถในการทรงตัวเป็นเลิศในทุกย่านความเร็ว มันส่งผลให้เกิดกระบวนท่าที่ไม่เคยมีมาก่อนและการบินขึ้น-ลงที่ไม่เหมือนใคร มันมีระบบฟลาย-บาย-ไวร์แบบดิจิตอลที่ทำให้มันสามารถทำกระบวนท่ายาก ๆ ได้ นั่นรวมทั้งพูกาเชฟส์คอบราและเบลล์ นั่นทำให้เครื่องบินสามารถลดความเร็วได้อย่างรวดเร็วจนทำให้เครื่องบินที่ตามหลังมานั้นหลุดจากการล็อกเป้า[1] เครื่องบินยังสามารถทำการเลี้ยว 360 องศาได้โดยที่ไม่สูญเสียระดับ
เครื่องยนต์หลัก
เครื่องบินมีเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแซทเทิร์น เอแอล-31เอฟพร้อมสันดาปท้ายสองเครื่องยนต์ แต่ละเครื่องให้กำลังเครื่องละ 27,550 ปอนด์เมื่อใช้สันดาปโดยทำความเร็วได้ถึง 2 มัค ทำความเร็วในระดับความสูงต่ำได้ 1,350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราการไต่ระดับที่ 230 เมตรต่อวินาที
ด้วยเชื้อเพลิงปกติขนาด 5,270 กิโลกรัม ซู-30เอ็มเคจะสามารถทำการบินได้ 4.5 ชั่วโมงในระยะ 3,000 กิโลเมตร ในกรณีที่เติมเชื้อเพลิงทางอากาศจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 ชั่วโมงในระยะ 5,200 กิโลเมตร
ด้วยทางเลือกในการเพิ่มระยะอย่างมีประสิทธิภาพทำให้มันมักทำภารกิจตั้งแต่ลาดตระเวนระยะยาวและคุ้มกันการสกัดกั้นระยะไกลไปจนถึงการโจมตีภาคพื้นดิน
นักบินสองนาย
ด้วยนักบินสองนายใช้แนวคิดในการเพิ่มขีดสมรรถนะในการสู้รบเพราะว่าเป็นการลดภาระหลายหน้าที่ ที่นักบินหนึ่งคนจะต้องปฏิบัติ ในขณะที่นักบินคนแรกทำหน้าทีควบคุมเครื่องบิน ตัดสินใจใช้อาวุธ และหลบหนีหลีกเลี่ยง นักบินคนที่สองมีหน้าที่ควบคุมอาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้นเพื่อโจมตีจากระยะไกล ทำการเฝ้าดูสภาพแวดล้อมทางยุทธวิธีเพื่อระวังภัย และทำการควบคุม-บัญชาการงานในกลุ่มที่ทำภารกิจร่วม
ระบบอิเล็กทรอนิกส์สนับสนุนการบิน
- มันมีทั้งเรดาร์เอ็น001วีอีและเอ็น010 ซูค หรือเอ็น011เอ็ม บาร์ส สามารถจับเป้าหมายได้ 15 เป้าหมายในอากาศในขณะที่ทำการโจมตี 4 ในนั้นได้ทันที เรดาร์เอ็น011เอ็ม บาร์สจะตรวจจับข้าศึกขนาดใหญ่ที่อยู่บนผิวน้ำจากระยะ 400 กิโลเมตร และสำหรับเป้าขนาดเล็ก
- ระบบอื่น ระบบอิเล็กทรอนิกส์สนับสนุนการบินยังรวมทั้งระบบนำร่องและแสดงภาพภูมิประเทศพร้อมระบบไจโร หมวกติดจอแสดงผล แสดงภาพสถานการณ์ตรงหน้า/เฮด-อัพดิสเพลย์ จอแอวซีดี และระบบจีพีเอส
- กระเปาะเล็งเป้าอินฟราเรดและเลเซอร์มีไว้เพื่อจับเป้าหมายและเข้าปะทะกับเป้าหมายขนาดเล็กบนพื้นดิน เครื่องบินยังทำหน้าที่รบกวนเรดาร์ของศัตรูได้เช่นกัน
- เครื่องบินมีจุดเด่นที่นักบินอัตโนมัติที่ทำการบินได้ทั้งในระดับต่ำตามภูมิประเทศ และการบินเป็นกลุ่มเพื่อเข้าปะทะเป้าหมายบนพื้นและอากาศ ระบบควบคุมอัตโนมัติจะทำการบินตามเส้นทาง ที่หมาย และทำการลงจอดเอง
ประวัติการใช้งาน
ในปีพศ. 2547 กองทัพอากาศสหรัฐได้ส่ง เอฟ-15ซี/ดี เข้าร่วมซ้อมรบกับกองทัพอากาศอินเดีย ในปฏิบัติการ Cope-India 04 ซึ่งทางอินเดียได้ใช้ Sukhoi Su-30MKI เป็นเครื่องครองสภาพอากาศ ผลปรากฏว่าชัยชนะเป็นของฝ่ายอินเดียในการประลอง [2]
มูลค่า
- ซู-30เคมีมูลค่าประมาณ 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3]
- ซู-30เอ็มเคเคมีมูลค่าประมาณ 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รุ่นต่าง ๆ
- ซู-27พียู
- เป็นเครื่องบินสกัดกั้นพิสัยไกลที่มีพื้นฐานมาจากซู-27ยูบีสองที่นั่ง ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็นซู-30
- ซู-30
- รุ่นทดสอบสำหรับระบบปีกปลอม
- ซู-30เค
- รุ่นสำหรับการตลาดของซู-30
- ซู-30เคไอ
- เป็นรุ่นที่ซุคฮอยเสนอให้กับกองทัพอากาศรัสเซียเพื่อพัฒนาซู-27เอสหนึ่งที่นั่ง นอกจากนี้มันยังถูกเสนอให้กับอินโดนีเซีย ซึ่งสั่งซื้อไว้ 24 ลำแต่ต่อมาต้องยกเลิกเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540[4] มันเป็นเครื่องบินในตระกูลซู-30 แบบเดียวที่มีหนึ่งที่นั่ง
- ซู-30เคเอ็น
- เป็นการพัฒนาของซู-27ยูบี ซู-30 และซู-30เค
- ซู-30เอ็ม
- เป็นการพัฒนาซู-27พียู มันเป็นเครื่องบินขับไล่หลากบทบาทลำแรกในตระกูลซู-27
- ซู-30เอ็มเค
- รุ่นทางการตลาดของซู-30เอ็ม ปรากฏตัวครั้งแรกในปีพ.ศ. 2536
- ซู-30เอ็ม2
- ซู-30เอ็มเคที่ได้รับการพัฒนาด้วยปีกปลอมและทีวีซี
- ซู-30เอ็มเคไอ
- เอ็มเคไอย่อมาจาก "Modernizirovannyi Kommercheskiy Indiski" ที่แปลว่า "Modernized Commercial India" หรือ แบบทางตลาดที่พัฒนาแล้วสำหรับอินเดีย มันเป็นการพัฒนาร่วมกับบริษัทของอินเดีย การควบคุมแรงขับหรือทีวีซีและปีกปลอม มันมีระบบอิเลคทรอนิกสากลที่มีพื้นฐานมาจากทั้งของ อิสราเอล อินเดีย รัสเซีย และฝรั่งเศส[5]
- ซุคฮอย ซู-30เอ็มเคเค
- เป็นรุ่นส่งออกให้กับจีน
- ซู-30เอ็มเคเอ็ม
- มีพื้นฐานมาจากรุ่นเอ็มเคไอ มันได้รับการพัฒานอย่างมากให้กับกองทัพอากาศมาเลเซียโดยมีระบบอิเล็กทรอนิกส์สนับสนุนการบินที่ผสมมาจากของฝรั่งเศส แอฟริกาใต้ และรัสเซีย มันมีจุดเด่นที่จอแสดงภาพสถานการณ์ตรงหน้าเฮด-อัพดิสเพลย์ ระบบอืนฟราเรดนำร่องด้านหน้า และกระเปาะเลเซอร์จากฝรั่งเศส เซ็นเซอร์เตือนขีปนาวุธ เอ็มเอดับบลิว-300 อาร์ดับบลิวเอส-50 และเซ็นเซอร์เตือนเลเซอร์จากซ้าบ[6] เช่นเดียวกับเรดาร์เอ็น001เอ็ม บาร์สจากรัสเซีย ระบบสงครามอิเลคทรอนิก ระบบระบุตำแหน่ง และห้องนักบินที่พัฒนาจอแสดงภาพดิจิตอล[7] อื่น ๆ ก็มีระบบสัญญาณให้ข้อมูล ตอบสนองการสั่งการและการคำนวณควบคุมการบินหลักจากกู้ดริชและระบบสื่อสารจากเยอรมนี
- ซู-30เอ็มเควี
- รุ่นส่งออกให้กับเวเนซูเอล่าที่เหมือนกับซู-30เอ็มเค2 อย่างมาก
- ซู-30เอ็มเค2
- เป็นซู-30เอ็มเคเคที่พัฒนาในเรื่องระบบอิเลคทรอนิกอากาศซึ่งสนับสนุนการใช้ขีปนาวุธต่อต้านเรือ
- ซู-30เอ็มเค2วี
- เป็นซู-30เอ็มเค2 ที่ส่งออกให้กับเวียดนามพร้อมกับการดัดแปลงอีกเล็กน้อย
- ซู-30เอ็มเค3
- ซู-30เอ็มเคเคที่มีเรดาร์ของซูคและมีขีปนาวุธต่อต้านเรือเคเอช-59เอ็มเค
- ซู-30เอ็มเคเอ
- เป็นรุ่นพิเศษของแอลจีเรียที่คล้ายกับรุ่นเอ็มเคไอ แต่ใช้ระบบอิเลคทรอนิกอากาศของรัสเซียและฝรั่งเศสแทน มันมีหน้าจอเฮด-อัพและหน้าจอหลายทางเลือกที่ทำโดยฝรั่งเศส
ประเทศผู้ใช้งาน
- แอลจีเรีย
- สาธารณรัฐประชาชนจีน
- กองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนมีซู-30เอ็มเคเค 76 ลำ (ย่อมาจาก "Modernizirovannyi Kommercheskiy Kitaya" แปลว่า "Modernized Commercial China" หรือ "แบบการตลาดที่พัฒนาแล้วสำหรับจีน") กองทัพอากาศจีนใช้งานซู-27 อยู่แล้ว 38 ลำแรกถูกส่งมอบในระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2543 และสิ้นปีพ.ศ. 2544 อีก 38 ลำถูกสั่งซื้อในปีพ.ศ. 2544 และคาดว่าส่งมอบในปีพ.ศ. 2546
- กองทัพเรือจีนมีซู-30เอ็มเค2 พวกมันถูกสั่งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 และส่งมอบในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547
- อินเดีย
- กองทัพอากาศอินเดียหลังจากที่ทำการเจรจามาสี่ปีก็ได้ตัดสินใจซื้อซู-30 50 ลำและต้องการใบอนุญาตเพื่อทำการผลิตซู-30เอ็มเคไออีก 140 ลำ อินเดียมีซู-30เอ็มเคไอประมาณ 42 ลำในประจำการเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552[4]
- อินโดนีเซีย
- มาเลเซีย
- กองทัพอากาศมาเลเซียหลังจากที่ได้เฝ้าดูซู-30เอ็มเคไอ ได้ทำสัญญาซื้อซู-30เอ็มเอเอ็ม 18 ลำในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2546 ฝูงบินจะสมบูรณ์เมื่อสิ้นพ.ศ. 2551 โดยมีทั้งหมด 18 ลำ ส่วนหนึ่งในข้อตกลงคือรัสเซียรัสเซียจะส่งนักบินอวกาศของมาเลเซียขึ้นไปที่สถานีอวกาศนานาชาติ
- รัสเซีย
- เวเนซุเอลา
- เวียดนาม
รายละเอียดของซู-27พียู/ซู-30
ข้อมูลจำเพาะ[14][15][16]
- นักบิน 2 นาย
- ความยาว:เครื่องบินขับใล่ครองอากาศ สองที่นั่ง
- ระยะระหว่างปลายปีทั้งสอง 17.4 เมตร
- ความสูง 6.36 เมตร
- พื้นที่ปีก 62 ตารางเมตร
- น้ำหนักเปล่า 17,700 กิโลกรัม
- น้ำหนักพร้อมอาวุธ 24,900 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด: 34,500 กิโลกรัม
- ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนเอแอล-31เอฟแอล 2 เครื่องยนต์
- กำลังสูงสุดเครื่องละ 16,754 ปอนด์
- เมื่อใช้สันดาปท้ายให้กำลังเครื่องละ 12,500 ปอนด์
- ความเร็วสูงสุด 2 มัค (2,120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
- พิสัย 3,000 กิโลเมตร
- เพดานบินทำการ 56,800 ฟุต
- อัตราการไต่ระดับ 45,575 ฟุตต่อนาที
- นำหนักบรรทุกที่ปีก่ 401 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
- อัตราแรงขับต่อน้ำหนัก 1.0
- อาวุธ
- ปืนใหญ่อากาศจีเอสเอช-30-1 ขนาด 30 ม.ม. 1 กระบอกพร้อมกระสุน 150 นัด
- ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ
- อาร์-27อีอาร์1 6 ลูก
- อาร์-27อีที1 สองลูก
- อาร์-73อี 6 ลูก
- อาร์-77 อาร์วีวี-เออี 6 ลูก
- ขีปนาวุธอากาศสู่พื้น
- ขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์เคเอช-31พี/เคเอช-31เอ 6 ลูก
- ขีปนาวุธนำวิถีด้วยเลเซอร์เคเอช-29ที/แอล 6 ลูก
- เคเอช-59เอ็มอี 2 ลูก
- ระเบิด
- เคเอบี 500เคอาร์ 6 ลูก
- เคเอบี-1500เคอาร์ 3 ลูก
- เอฟเอบี-500ที 8 ลูก
- โอเอฟเอบี-250-270 28 ลูก
เหตุการณ์สำคัญและอุบัติเหตุ
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ Discovering Novel Fighter Combat Maneuvers.
- ↑ "Russian fighters superior, says Pentagon". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-03-13. สืบค้นเมื่อ 2010-01-15.
- ↑ Su-30, FAS.org
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Sukhoi Su-27 - Operator List. MilAvia.net, 14 March 2009.
- ↑ "SU30MKI". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-18. สืบค้นเมื่อ 2009-07-04.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-04-09. สืบค้นเมื่อ 2009-07-04.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-07. สืบค้นเมื่อ 2009-07-04.
- ↑ Russia delivers two Su-30 fighters to Algeria. GlobalSecurity.org. Retrieved 25 February 2009.
- ↑ "Directory: World Air Forces". Flight International, 11–17 November 2008.
- ↑ "Three Su-27SKM fighter jets are due to be delivered by 2010" เก็บถาวร 2011-09-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. armybase.us, 27 December 2008.
- ↑ Air Forces Monthly, August issue.
- ↑ RIA Novosti - World - Chavez warns U.S. after getting Russian warplanes
- ↑ Franz-Stefan Gady (31 March 2016). "Will Vietnam Buy a Squadron of Russian Su-35 Fighter Jets?". The Diplomat.
- ↑ Sukhoi Su-30MK เก็บถาวร 2008-04-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, KNAAPO.
- ↑ Su-30MK Aircraft performance page เก็บถาวร 2011-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Sukhoi.
- ↑ Gordon and Davison 2006, pp. 92, 95–96.
- ↑ Vincent Lamigeon (18 June 2013). "Les crashes qui ont marqué l'histoire du salon du Bourget". Challenges. สืบค้นเมื่อ 23 January 2015.
- ↑ "Pilot killed in SU-30 MKI crash in Jaisalmer". Rediff.com India. April 30, 2009.
- ↑ "Un avion militaire russe Su-30SM s'écrase en Syrie, selon le ministère russe de la Défense". Sputnik news (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 2018-05-03.
- ↑ "Russian warplane crashed in Jableh coast this morning. South Latakia countryside - Map of Syrian Civil War". Syria news today (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-05-03.
อ่านเพิ่มเติม
- Eden, Paul, บ.ก. (2006-06-01). The Encyclopedia of Modern Military Aircraft. London, UK: Amber Books, 2004. ISBN 1-904687-84-9.
- Gordon, Yefim (1999). Sukhoi Su-27 Flanker: Air Superiority Fighter. Airlife Publishing, 1999. ISBN 1-84037-029-7.
- Williams, Mel, บ.ก. (2002). "Sukhoi 'Super Flankers'". Superfighters: The Next Generation of Combat Aircraft. Norwalk, Connecticut: AIRtime Publishing Inc., 2002. ISBN 1-880588-53-6.
แหล่งข้อมูลอื่น