ตำบลแสลงโทน
แสลงโทน เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ข้อมูลทั่วไปตำบลแสลงโทนตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของอำเภอประโคนชัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่คือเทศบาลตำบลแสลงโทนซึ่งเดิมเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบสภาตำบลเรียกว่า "สภาตำบลแสลงโทน" จัดตั้งครั้งแรกเมื่อ 29 กันยายน พ.ศ. 2513 ต่อมาได้รับการจัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล และได้รับการยกฐานะจัดตั้งเป็นเทศบาลตำบลในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา[2] ประวัติยุคแรกบ้านแสลงโทนเป็นเมืองที่มีการอาศัยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายหรือประมาณ 1,600 - 2,000 ปีมาแล้ว และมีการทิ้งร้างไประยะหนึ่ง จึงมีชุมชนในละแวกใกล้เคียงเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยซ้อนทับชุมชนเมืองโบราณเดิม ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2478 เริ่มมีการศึกษาจากกรมศิลปากร จากภาพถ่ายทางอากาศ เมืองโบราณแสลงโทนมีรูปวงกลมรี มีกำแพงดินและคูเมืองกั้นล้อมรอบเป็นกำแพงเมือง 3 ชั้น ปัจจุบันเหลือเพียงชั้นเดียว และยังพบหลักฐานต่าง ๆ ทางโบราณคดี เช่น ใบเสมาในเขตเมืองโบราณแสลงโทน ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่มคือ ภายในกำแพงเมือง 2 กลุ่ม ที่บริเวณศาลเจ้าพ่อแสลงโทนและโคกพระนอนหน้าโรงพักตำรวจ ส่วนอีกกลุ่มอยู่นอกคูเมืองด้านทิศเหนือ ใบเสมาทั้ง 3 กลุ่มมีลักษณะเป็นหินทรายสีขาวและแดงแบบรูปทรงธรรมชาติ ปักกระจายทั่วบริเวณหนึ่ง โดยไม่กำหนดทิศทางมีทั้งที่ปักคู่และปักเดี่ยว และยังพบหินศิลาแลง หินทรายสีชมพูในบริเวณศาลเจ้าพ่อแสลงโทนและโคกพระนอนหน้าโรงพักตำรวจ และพระพุทธรูป เทวรูปเก่า ไหบรรจุโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องใช้ เครื่องประดับ และเศษภาชนะดินเผา เป็นต้น จากหลักฐานร่องรอยที่ปรากฏ เมื่อเทียบเคียงเอกสารทางวิชาการและเมืองต่างในแถบประเทศไทยที่รับอิธิพลวัฒนธรรมทวารวดี ทำให้สันนิษฐานได้ว่าบ้านแสลงโทนเป็นเมืองโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12–16 หรือ ประมาณ 1,600 - 2,000 ปีมาแล้ว และถูกทิ้งร้างไป (อ้างอิงจากกรมศิลปากร. 2532. "แผนที่ทางโบราณคดีจังหวัดบุรีรัมย์." มปท. หน้า 97 และ วารสารบทความทางวิชาการ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร)[3][4] ส่วนที่มาของชื่อ "แสลงโทน" ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะเป็นการเรียกชื่อภายหลังจากเริ่มมีคนต่างถิ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานทับซ้อนเมืองโบราณเดิม จากการสันนิษฐานและศึกษาเปรียบเทียบกับชุมชนโดยรอบบริเวณนี้ ปรากฏว่ามาจากการตั้งชื่อตามต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ชุมชนบริเวณนั้นตั้งถิ่นฐานอยู่ คำว่า "แสลงโทน" ก็น่าจะมาจากคำว่า "แสลง" คือต้นไม้ชนิดหนึ่งคือ "ต้นแสลง" ที่มีมากในบริเวณของพื้นที่ในสมัยนั้น ส่วนคำว่า "โทน" อาจะเป็นคำเติมในภายหลัง ยุคปัจจุบันเดิมตำบลแสลงโทน เมื่อ พ.ศ. 2443 ขึ้นกับตำบลบ้านไทร ต่อมาเมื่อ 29 กันยายน พ.ศ. 2513 ได้มีการแบ่งเขตพื้นที่การปกครองใหม่โดยแยกพื้นที่บ้านแสลงโทน บ้านสี่เหลี่ยม (พื้นที่ตำบลสี่เหลี่ยม อำเภอประโคนชัย ในปัจจุบัน) และบ้านสำโรง (พื้นที่ตำบลสำโรง อำเภอพลับพลาชัย ในปัจจุบัน) จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นตำบลแสลงโทน และต่อมาใน พ.ศ. 2538 ทางกระทรวงมหาดไทยได้มีนโยบายที่จะจัดตั้งกิ่งอำเภอแสลงโทนขึ้น จึงแยกบ้านสี่เหลี่ยมและบ้านสำโรงจัดตั้งขึ้นเป็นตำบลเพื่อรองรับการยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ แต่ก็ถูกล้มเลิกไปเนื่องจากมีประชาชนบางตำบลคัดค้าน และเป็นผลทำให้เกิดการจัดตั้งอำเภอพลับพลาชัยขึ้นแทน ตำบลแสลงโทนจึงมีฐานะเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอประโคนชัยตั้งแต่นั้นมา ลักษณะภูมิศาสตร์ที่ตั้งภูมิประเทศลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปมีลักษณะพื้นที่เป็นเป็นพื้นที่ราบลุ่ม โดยลาดเอียงจากทิศเหนือลงไปทิศใต้ สภาพทั่วไปเป็นดินร่วนปนทราย โดยอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 150–180 เมตร และพื้นที่ส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประโคนชัยไปทางทิศเหนือประมาณ 19 กิโลเมตร และห่างตัวจังหวัดบุรีรัมย์ไปทางทิศใต้ตามทางหลวงหมายเลข 2445 ประมาณ 25 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 36.45 ตารางกิโลเมตร อาณาเขต
การแบ่งเขตการปกครองตำบลแสลงโทนประกอบด้วย 7 หมู่บ้าน ได้แก่
โครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม การคมนาคมติดต่อระหว่างตำบลและหมู่บ้านใช้การคมนาคมทางบกโดยทางรถยนต์เป็นหลักในการติดต่อและขนส่งผลิตผลทางการเกษตร โดยมีเส้นทางที่สำคัญ ดังนี้
โทรคมนาคม มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย ในเขตเทศบาลมีเสาส่งสัญาณโทรศัพท์ทุกเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบล และมีสายโทรศัพท์ผ่าน ทำให้การติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว การไฟฟ้า อยู่ใกล้ตัวเมืองและมีสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอประโคนชัยตั้งอยู่ในพื้นที่ทำให้สามารถให้บริการไฟฟ้าได้ครอบคลุมแทบทุกหลังคาเรือน ลักษณะสภาพทางเศรษฐกิจราษฎรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนาข้าว แต่โดยศักยภาพด้านพื้นที่ที่อยู่ชานเมืองติดต่อกับเขตตัวเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญของจังหวัดทำให้การขยายตัวด้านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการบริการเป็นไปอย่างรวดเร็ว
มีห้างสรรพสินค้า จำนวน 2 แห่ง
ลักษณะทางสังคม
ด้านสาธารณสุข
ด้านการศาสนาและวัฒนธรรมราษฎรส่วนใหญ่ร้อยละ 98 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 1 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่นร้อยละ 1 มีศาสนสถานที่สำคัญ ดังนี้
ด้านการศึกษาสถานศึกษา จำนวน 3 แห่ง และ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ 2 แห่ง ประกอบด้วย
สถานที่ท่องเที่ยว
ด้านภาษาและวัฒนธรรม
อ้างอิง
|