ต้านชเว
พลเอกอาวุโส ต้านชเว (พม่า: သန်းရွှေ, ออกเสียง: [θáɰ̃ ʃwè]) ผู้นำเผด็จการของรัฐบาลทหารพม่า ดำรงตำแหน่งประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (เอสพีดีซี) ภายหลังการรัฐประหารล้มอำนาจของพลเอกอาวุโส ซอมอง อดีตประธานสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ (สลอร์ก) เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2535 ประวัติพลเอกอาวุโส ต้านชเว เกิดที่เมืองเจาะแซซึ่งเป็นหมู่บ้านชนบทในพม่าตอนบน พ่อแม่มีอาชีพทำไร่มีฐานะยากจน เมื่ออายุได้ 10 ขวบ พ่อตาย แม่มีสามีใหม่เป็นมุสลิม แม่จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ต้านชเวเลยกลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก ประกอบที่มีหน้าตาเหมือนแขก และแม่มีสามีเป็นชาวมุสลิม จึงมักถูกล้อเลียนว่าเป็น "ไอ้ลูกแขก" เมื่อเป็นเด็ก ต้านชเวเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยยอมเป็นเพื่อนกับใครง่าย ๆ ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปเป็นคนพูดน้อย แต่รักษาคำพูดและสุขุมรอบคอบมาก ต้านชเวเป็นเด็กเรียนหนังสือดี แต่ความไม่พร้อมทำให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ต้านชเวจึงเรียนไม่จบชั้นมัธยม 3 หลังจากออกมาหางานทำเพื่อเลี้ยงครอบครัวและตัวเองแล้ว จึงกลับไปเรียนใหม่จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยมปลายใน พ.ศ. 2494 เมื่อมีอายุ 18 ปี เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ต้านชเวได้ไปสมัครเป็นเสมียนไปรษณีย์ ที่อำเภอเมะทีลา ทำงานได้ 1 ปี จึงไปย่างกุ้งเพื่อสมัครเป็นทหาร แต่สอบเข้าได้เพียงเป็นนักเรียนนายร้อยสำรอง ใช้เวลาเรียนเพียง 6 เดือน ก็จบหลักสูตรนายร้อยสำรองรุ่น 9 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 ได้รับยศร้อยตรี ต้านชเวรับราชการครั้งแรกในตำแหน่งผู้บังคับหมวดปฏิบัติงานสงครามจิตวิทยาสนามที่ 1 โดยมีภารกิจก็คือ ออกปฏิบัติการจิตวิทยากับชนกลุ่มน้อยกลุ่มของประเทศต่าง ๆ ให้ภักดีต่อประเทศพม่า แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยหลัก แต่ด้วยการทำงานอย่างหนักและการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ภายในเวลา 5 ปี ต้านชเวได้พัฒนาตนจนได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันการเมืองและวิทยาศาสตร์ของกองทัพ การทำงานอย่างหนักและอย่างเป็นระบบ ทำให้ต่อมาต้านชเวได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 ของเมืองเชียงตุง รัฐฉาน เป็นผู้บังคับการกรมได้ไม่นานก็ได้เลื่อนเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 88 และผู้บัญชาการภาคของทหารบกในภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคอิรวดี ภายในเวลาเพียง 32 ปี ต้านชเวเขยิบสถานะจากเสมียนไปรษณีย์มาเป็นนายทหารยศพลตรี ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบก เมื่อ พ.ศ. 2528 อีก 3 ปีต่อมา ใน พ.ศ. 2531 ต้านชเวก็ได้ควบตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของ ดร.มองมอง ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่สืบทอดอำนาจจากพลเอก เนวี่น ต้านชเวตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายของพลเอก ซอมอง ยึดอำนาจจากรัฐบาล ดร.มองมอง เมื่อการรัฐประหารยึดอำนาจประสบผลสำเร็จ ต้านชเวได้รับการสถาปนาเป็นพลเอกในตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ควบตำแหน่งรองประธานสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ จากนั้นในปี พ.ศ. 2535 ต้านชเวได้รับตำแหน่งสูงสุดของกองทัพ คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อมาเมื่อสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจจากพุทธสังคมนิยมมาเป็นกึ่งเสรีตามแนวทุนนิยม เปลี่ยนชื่อประเทศจากพม่ามาเป็นเมียนมา เปลี่ยนชื่อคณะผู้ปกครองทหารพม่าจากสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐมาเป็นสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐดังปัจจุบัน ต้านชเวได้ขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศในทุกด้าน ตั้งแต่เป็นประธานสภาสันติภาพฯ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด[4] ชีวิตส่วนตัว ต้านชเวสมรสกับนางไจง์ไจง์และนางนองตีฮะชเว ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 เมื่อตานดาชเว ลูกสาวของต้านชเวที่เกิดกับนางไจง์ไจง์ จัดพิธีสมรสกับนายพันตรีในกองทัพบกพม่า ได้ปรากฏคลิปงานสมรสครั้งนี้กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาและปัญญาชนชาวพม่า เพราะสะท้อนถึงความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของผู้ปกครองประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร[5] อ้างอิง
|